เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21
http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22
http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23
http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24
http://pantip.com/topic/31195700
บทที่ 25
http://pantip.com/topic/31200679
บทที่ 26
http://pantip.com/topic/31205094
บทที่ 27
http://pantip.com/topic/31210088
*****************
บทที่ 28
กองทัพเล็กๆของพระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากานั้นอยู่ไม่ห่างจากยอดเขาอันเป็นที่ตั้งกองทัพนับแสนของเจ้าฟ้ามูรตีเท่าใดนัก ด้วยเหตุฉะนี้ ทัพสตรีจึงได้เคลื่อนพลมาถึงทัพอนันตาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
พระนางสุบินสวรรค์ พระนางศรีตะกุมะลากา มะจั่นฟาร์ตีฏ์ จะติกะวะนาจิ และตรุมบาดี ต่างเสด็จพระราชดำเนินและเดินกันมาเป็นกลุ่ม นำเหล่าทหารหญิงทั้งหนึ่งร้อยเก้าสิบนางสู่พลับพลาที่ประทับแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตาประเทศ
จากนั้น สองกษัตรียาแห่งเถมรูและภูธราจึงเสด็จพระราชดำเนินเพียงลำพังสองพระองค์เข้าสู่พลับพลา ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางแก้วกานดาประทับนั่งอยู่บนพระที่ แวดล้อมด้วยนางพัดวีและนางสนองพระโอษฐ์มากมาย พร้อมด้วยมหาอำมาตย์เอก และโหราจารย์ ส่วนองค์เจ้าฟ้ามูรตีทรงประทับยืนหันพระขนองให้อยู่ที่มุมหนึ่งด้านในของพลับพลาแห่งนั้น
พระนางแก้วกานดาทรงพิศดูสองกษัตรีย์อยู่ครู่จึ่งทรงเปรยยิ้มให้ด้วยไมตรีจิตอันดี ก่อนทรงผุดลุกขึ้นจากพระที่มาให้การต้อนรับพลางทรงลดพระองค์แล้วน้อมพระเศียรลง
" ถวายบังคมเพคะสองกษัตรียา "
" ตามสบายเถิด พระนาง "
สองกษัตรียาผู้มาเยือนทรงมีพระราชดำรัสตอบ และในครากระนั้น พระนางแก้วกานดาทรงหันไปทางองค์เจ้าฟ้ามูรตีซึ่งยังคงทรงประทับยืนนิ่งแลหันพระขนองให้อยู่นั้นก่อนกราบทูลด้วยพระสุรเสียงแช่มชื่น
" ท่านเจ้าเพคะ สองกษัตรียาทรงมาแล้ว มิไยไม่ทรงรีบแจวมาต้อนรับ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเงียบงันมิทรงยอมหันพระพักตร์มา ยังผลให้พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากาสีพระพักตร์เสียไปโดยพลัน พระนางสุบินสวรรค์เสด็จพระราชดำเนินไปหยุดประทับยืนอยู่เบื้องหลังเจ้าฟ้ามูรตีจึ่งตรัสไปด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลชวนฝันแลหวานหยดย้อย
" มัชฌันติกสมัยสวัสดิ์ มูรตี "
ณ บัดนั้นนั้นเอง...
เจ้าฟ้ามูรตีทรงหันพระวรกายมาอย่างช้าๆ ดวงพระพักตร์สุกใสเนียนสว่างเปล่งรัศมีเรืองรองพร่างพราวราวกับเทพบุตร ดวงพระเนตรส่องประกายวาววับจับหทัยราวกับใยมรกต พระโอษฐ์เผยอยิ้มอย่างยั่วยวนรัญจวนอุราจิตรากายาปานสายพิรุณธาราฟาดฟันจนสวรรคาลัย
" งามไม่เสื่อมคลายนะ สุบินสวรรค์เจ้า "
ทรงมีพระดำรัสเสียงสง่า
พระนางสุบินสวรรค์ทรงแกว่งพระพาหาไปมาด้วยพระหฤทัยเหนียมอายพร้อมทรงเปรยพระสรวลอย่างเริงร่าปานมัจฉาต้องสายวารีอันฉ่ำเย็น
" แหม... ท่านเจ้าฟ้าก็... โอษฐ์หวานปานสุราบานเมืองสมิงจริงๆนะ "
" จะบอกให้...อันที่จริงดวงหทัยเราก็เฝ้าใฝ่ฝันหาในตัวท่านมานานหลายฉนำแล้วนะ "
เจ้าฟ้าหนุ่มทรงมีพระดำรัสพางทรงยักพระขนงเล่นจึ่งตรัสอีกครา
" เป็นอันว่าพวกเราจะร่วมมือกันตีละวิรัฐใช่หรือไม่ "
" ตามหทัยทางท่านก็แล้วกันหนอ ทางฝ่ายเราเฝ้าขอเป็นผู้อุดหนุนอยู่ข้างๆ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเปรย
" เฉลยพระเนตรมาแลเหลียวหม่อมฉันบ้าง อย่ามัวค้างพระอารมณ์อยู่ตรงนั้น "
พระนางแก้วกานดาเสด็จพระดำเนินมายืนเคียงข้างเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งองค์เจ้าฟ้าทรงยกพระพาหาทั้งสองข้างขึ้นโอบพระวรกายพระนางสุบินสวรรค์และพระนางแก้วกานดาเอาไว้อย่างแนบแน่นพลางทรงเปรยยิ้มกว้าง
" เอาเป็นว่าเจ้าทั้งสองเป็นพระมเหสีฝ่ายขวาและซ้ายของเราก็แล้วกันนะ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเหลียวพระเนตรไปยังพระนางทั้งสองนั้น แลทั้งสองพระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มโสมนัสเป็นที่ยิ่งจึ่งตรัสขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
" เพคะ ท่านเจ้า "
มโหรียินดีเหลือหลาย ต่างร่วมบรรเลงเพลง พระรามตามได้นางสีดาแถมพิเศษนางมโนราห์มาอีกหนึ่ง สามเที่ยวจบ พร้อมลั่นมโหระทึกสามคราต่อด้วยการรัวสังข์และสั่นจะเข้
ในการนี้ พระนางสุบินสวรรค์ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่พระมเหสีฝ่ายขวา เนื่องเพราะทรงมีพระยศถาเป็นพระราชินีมาก่อนเก่า ส่วนพระนางแก้วกานดา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย เนื่องเพราะทรงมีเชื้อสายละวิรัฐอริราช อีกทั้งยังทรงเป็นนางรองพระบาทมานานมากเกินควรแล้ว
โอ้เอย พระนางแก้วฯ... ไยจึงทรงตกต่ำประหนึ่งเสือถูกแร้วเช่นนี้หนา โอ้เอยอนันตา ฤาครานี้จะมีราชินีถึงสองพระองค์ก็มิรู้ ใครเล่าจะเป็นผู้ตอบได้ ถ้าไม่ใช่องค์เทวาพระองค์เดิม
- - - - - - - - -
เสริมต่อจากกาลครั้งกระนั้น...
เมื่อกรุงอนันตาถูกโจมตีด้วยลูกปืนใหญ่จากกรุงเถมรู ภายใต้การบัญชาการของเจ้านางมาหยารัศมีผู้คิดคด
บัดนี้ เปลวเพลิงที่เผาไหม้องค์ปราสาทและพระมหามณเฑียร ตลอดจนพระวิมานทั้งหลาย ได้มอดดับไปนานแล้ว หากแต่เปลวเพลิงในดวงหทัยของชาวอนันตาทุกผู้ยังคงคุกรุ่นอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะดับ
สภาพกรุงอนันตาในเพลานี้ แลไปยังหนทางใดก็เห็นแต่บ้านเรือนที่ถูกเผาจนหมอดไหม้เหลือแต่ซาก กลิ่นเขม่าควันและซากศพโชยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ชวนให้น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก
ในส่วนของพระบรมมหาราชวังนั้น ขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงและก่อสร้างต่อเติมส่วนที่ถูกเผากันเป็นการใหญ่ เพราะถือได้ว่าวังหลวงนั้นเป็นหัวใจของแผ่นดิน
ภายในท้องพระโรง ขุนตะวัน ผู้เป็นขุนวังและแม่กองงานบูรณะปฏิสังขรณ์ต่อเติมพระบรมมหาราชวังกำลังสั่งงานบรรดาช่างสิบหมู่อยู่อย่างขะมักเขม้นขมีขมัน บรรยากาศอันขมุกขมัวขะมอมขะแมมไปด้วยเขม่าได้เคลื่อนเข้ามาครอบคลุมอีกคราเมื่อท้องฟ้าเริ่มคล้อยเข้าสู่พลบค่ำ
" เอาล่ะทุกคน... วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน รุ่งขึ้นค่อนยเริ่มสานงานต่อ "
ขุนตะวันกล่าวไปและเหล่าช่างทั้งหลายทั้งปวงต่างก็พากันเก็บเครื่องไม้เครื่องมือของตนแล้วพากันเดินออกจากท้องพระโรงไป หากแต่ขุนตะวันผู้นั้นยังคงเดินตรวจตราดูงานต่อ หาได้ติดตามเหล่าช่างทั้งหมดออกไปไม่ เขาแลดูภาพเขียนต่างๆบนฝาผนังท้องพระโรงอย่างพินิจก่อนเปรยขึ้นว่า
" ไม่น่าเลยอนันตาเรา ไม่น่าถูกเผาจนวอดวายเช่นนี้ "
ครู่หนึ่ง... มหาดเล็กหลวงก็วิ่งหน้าตาตื่นมากระซิบขุนวังว่า
" ท่านขุนขอรับ "
" กระไร "
" บัดนี้ พะคัมด์ได้เคลื่อนพลเข้ามาใกล้พระนครแล้ว "
ประดุจสายอสุนีบาตฟาดลงสู่ห้วงหัวใจอันอ่อนโยนและชอกช้ำ ขุนตะวันหันขวับมา
" อันใดนะ !! พะคัมด์ฤา "
เขาเงยหน้ามองเพดานจึ่งว่าต่อ
" นี่องค์เทวาจะลงโทษอนันตาเราอีกฤาไฉน "
" เห็นจะใช่เป็นแน่ "
" เจ้าจงรีบไปเตรียมการรับมือ อย่าให้ข่าวลือแพร่สะพัดจนเกินความ "
" ขอรับท่านขุน "
มหาดเล็กพุ่งตัวจากไปในบัดดล จุนตะวันทอดสายตาออกจากพระบัญชรท้องพระโรงไปด้วยจิตใจอันไหวหวั่น
- - - - - - - - -
บนเทือกเขาซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายโยชน์...
กองทัพนับแสนของพระเจ้าเตวูได้เคลื่อนพลมาถึงแล้ว องค์กษัตริย์กำลังทรงใช้พระแว่นส่องทางไกลทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศโดยรอบกรุงอนันตา โดยมีเหล่าขันทีพลีสวาททั้งห้าคนนั่งบ้างยืนบ้างรายรอบพระองค์อยู่มิห่าง พวกหล่อนต่างพากันโบกพัดไปมาด้วยความระอุอบอ้าว
พระเจ้าเตวูทรงลดพระหัตถ์ที่ทรงถือพระแว่นส่องทางไกลลงอย่างช้าๆและสง่างามจึ่งตรัสขึ้น
" หึ หึ หึ ... อานุภาพปืนใหญ่แห่งเถมรูช่างรุนแรงเหลือประมาณเสียจริง ข้าเพิ่งจะเห็นเป็นประจักษ์ก็คราวนี้ "
" วุ้ย ! ...กระไรได้ จะสักเท่าไหร่กัน ขอหม่อมฉันแลสักคราสิเพฮะ "
ถูไถเดินมาใกล้พระองค์ พระเจ้าเตวูทรงยื่นพระแว่นส่องทางไกลพระราชทานให้ ครั้นเมื่อถูไถรับพระราชทานมาแล้วยกขึ้นส่อง พลันหล่อนก็ต้องตะลึงงันในทันทีพลางร้องก้อง
" เริด... เริดมาก แลหนใดก็เห็นแต่ซากวิมาน ดูสิ ตำหนักหลังนั้นที่พวกเราเคยไปวิ่งเล่นกันมาแต่ก่อนเก่า ถูกพระเพลิงเผาเสียราบเชียว "
" ไหน ไหน ขอข้าดูบ้าง "
ไซ้เนินและขันทีคนอื่นๆต่างรีบกรูกันมา
พระเจ้าเตวูทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งตรัสว่า
" นางมาหยารัศมีผู้นี้ช่างร้ายกาจเกินสตรีธรรมดานัก ข้าชักอยากรู้จักเสียแล้ว "
- - - - - - - - -
ณ กรุงเถมรู
ภายในพระนครหลวงแห่งอาณาจักรเถมรูแห่งนั้น เหล่าปวงประชาชีต่างกำลังรื่นเริงอยู่กับงานเฉลิมฉลองอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นงานเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นครองราชบัลลังก์ของเจ้านางมาหยารัศมี
ภายในพระบรมมหาราชวังเถมรูอันโอ่อ่าอลังการด้วยอัคนีศิลาสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยเมฆาบนยอดเขา เหล่าข้าราชบริพารอันขึ้นตรงต่อเจ้านางมาหยารัศมีต่างมาร่วมชุมนุมกันในพระราชพิธีสวมมงกุฏราชินีภิเษกของนางกันอย่างถ้วนหน้า
มโหรีกระหึ่มเพลง รัศมีเสวยราชย์ ซึ่งได้แต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ครู่ใหญ่ เจ้านางมาหยารัศมีในชุดเครื่องทรงนางกษัตริย์เถมรูอย่างเต็มยศก็เข้าสู่ท้องพระโรงใหญ่อันเต็มไปด้วยข้าราชการชั้นสูง ขบวนของนางนั้นประกอบไปด้วยเครื่องยศมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของมีค่าที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
ขบวนของนางหยุดลงตรงหน้าทางขึ้นสู่พระบรมราชบัลลังก์โมกขเฑียรราชอาสน์ แล้วนางก็เดินขึ้นไปตามบันไดกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาแล้วหย่อนกายลงนั่งบนบัลลังก์ในทันที
มโหรีประโคมฆ้องฉาบแตรสังข์มโหระทึกจนกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว มหาอำมาตย์เอกอัญเชิญพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถาน อันประทับอยู่บนพานมหิศเตศวรสุวรรณ ก่อนสทบบาทเข้ามาแล้วถวายบังคมลงคราหนึ่งจึงชูพานขึ้นเหนือเศียรที่เบื้องหน้าเจ้านางมาหยารัศมีผู้นั้น
" เจ้านางมาหยารัศมีรับมงกุฏอันงามสง่าองค์นั้นขึ้นมาแล้ววางลงบนศีรษะของตนเองในทันที
มโหรีรัวฉาบดังสนั่น...
พลัน มหาอำมาตย์เอกตะโกนลั่นไปทั้งท้องพระโรงว่า
" ขอพระนางมาหยารัศมีจงทรงพระเจริญ ไชโย ไชโย ไชโย "
" ไชโย "
ขุนนางอำมาตย์และข้าราชบริพารทั้งมวลต่างร่วมไชโยโห่ร้องโดยพร้อมเพรียงกัน
- - - - - - - - -
หลายวันผ่านไป ภายในท้องพระโรงพระราชวังเถมรู พระนางมาหยารัศมีเสด็จออกว่าราชการงานเมืองอยู่เป็นปฐม โดยมีฎิวต์ โซซาร์ติฏ์ และปรันเปริน คอยรับสนองพระบรมราชโองการอยู่มิห่าง
ครู่หนึ่ง มหาดเล็กหนุ่มก็วิ่งร่าเข้ามาทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลี พระปกวจีชาวเถมรู ณ บัดนี้ ได้ตัวพวกที่ก่อการกระด้างกระเดื่องเบื้องพระยุคลบาทแล้วพระเจ้าข้า "
" จะทรงทำเช่นไรดีเพคะ "
ปรันเปรินโน้มกายมากราบทูล
พระนางมาหยารัศมีเสด็จพระดำเนินมายังพระบัญชรจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงห้าวเหี้ยมดุจพญาสีหราชสาวรุ่น
" บังอาจกระด้างกระเดื่องต่อเบื้องสูง โทษของพวกมันคือ... หั่นเป็นชิ้น !! "
" หา... !!! "
ทุกคนตะลึง
พระนางทรงหันขวับกลับมา ดวงพระพักตร์นั้นเหี้ยมเกรียมดุดันสุดประมาณ ดวงพระเนตรลุกโชนดั่งเปลวสุริยายามเที่ยงวัน
" พระเจ้าข้า... "
มหาดเล็กสนองรับพระราชบัญชาก่อนถอยคลาคลาดจากไป
ครู่หนึ่ง... มหาดเล็กอีกผู้ก็ลู่ตัวเข้ามาแทนที่พลางกราบทูลต่อเนื่อง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีเมืองกระเดื่องเถมรู ณ บัดนี้ มีรายงานมาว่า ทัพหนึ่งล้านเก้าแสนของพระนางสุบินสวรรค์อดีตราชินีเถมรู ได้สูญสิ้นสภาพ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยร้อยเก้าสิบคน คิดหยิบยืมกำลังอนันตาสู้พสุธาละวิรัฐพระเจ้าข้าพระนาง... "
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 28
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24 http://pantip.com/topic/31195700
บทที่ 25 http://pantip.com/topic/31200679
บทที่ 26 http://pantip.com/topic/31205094
บทที่ 27 http://pantip.com/topic/31210088
*****************
บทที่ 28
กองทัพเล็กๆของพระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากานั้นอยู่ไม่ห่างจากยอดเขาอันเป็นที่ตั้งกองทัพนับแสนของเจ้าฟ้ามูรตีเท่าใดนัก ด้วยเหตุฉะนี้ ทัพสตรีจึงได้เคลื่อนพลมาถึงทัพอนันตาได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
พระนางสุบินสวรรค์ พระนางศรีตะกุมะลากา มะจั่นฟาร์ตีฏ์ จะติกะวะนาจิ และตรุมบาดี ต่างเสด็จพระราชดำเนินและเดินกันมาเป็นกลุ่ม นำเหล่าทหารหญิงทั้งหนึ่งร้อยเก้าสิบนางสู่พลับพลาที่ประทับแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตาประเทศ
จากนั้น สองกษัตรียาแห่งเถมรูและภูธราจึงเสด็จพระราชดำเนินเพียงลำพังสองพระองค์เข้าสู่พลับพลา ทรงทอดพระเนตรเห็นพระนางแก้วกานดาประทับนั่งอยู่บนพระที่ แวดล้อมด้วยนางพัดวีและนางสนองพระโอษฐ์มากมาย พร้อมด้วยมหาอำมาตย์เอก และโหราจารย์ ส่วนองค์เจ้าฟ้ามูรตีทรงประทับยืนหันพระขนองให้อยู่ที่มุมหนึ่งด้านในของพลับพลาแห่งนั้น
พระนางแก้วกานดาทรงพิศดูสองกษัตรีย์อยู่ครู่จึ่งทรงเปรยยิ้มให้ด้วยไมตรีจิตอันดี ก่อนทรงผุดลุกขึ้นจากพระที่มาให้การต้อนรับพลางทรงลดพระองค์แล้วน้อมพระเศียรลง
" ถวายบังคมเพคะสองกษัตรียา "
" ตามสบายเถิด พระนาง "
สองกษัตรียาผู้มาเยือนทรงมีพระราชดำรัสตอบ และในครากระนั้น พระนางแก้วกานดาทรงหันไปทางองค์เจ้าฟ้ามูรตีซึ่งยังคงทรงประทับยืนนิ่งแลหันพระขนองให้อยู่นั้นก่อนกราบทูลด้วยพระสุรเสียงแช่มชื่น
" ท่านเจ้าเพคะ สองกษัตรียาทรงมาแล้ว มิไยไม่ทรงรีบแจวมาต้อนรับ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเงียบงันมิทรงยอมหันพระพักตร์มา ยังผลให้พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากาสีพระพักตร์เสียไปโดยพลัน พระนางสุบินสวรรค์เสด็จพระราชดำเนินไปหยุดประทับยืนอยู่เบื้องหลังเจ้าฟ้ามูรตีจึ่งตรัสไปด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลชวนฝันแลหวานหยดย้อย
" มัชฌันติกสมัยสวัสดิ์ มูรตี "
ณ บัดนั้นนั้นเอง...
เจ้าฟ้ามูรตีทรงหันพระวรกายมาอย่างช้าๆ ดวงพระพักตร์สุกใสเนียนสว่างเปล่งรัศมีเรืองรองพร่างพราวราวกับเทพบุตร ดวงพระเนตรส่องประกายวาววับจับหทัยราวกับใยมรกต พระโอษฐ์เผยอยิ้มอย่างยั่วยวนรัญจวนอุราจิตรากายาปานสายพิรุณธาราฟาดฟันจนสวรรคาลัย
" งามไม่เสื่อมคลายนะ สุบินสวรรค์เจ้า "
ทรงมีพระดำรัสเสียงสง่า
พระนางสุบินสวรรค์ทรงแกว่งพระพาหาไปมาด้วยพระหฤทัยเหนียมอายพร้อมทรงเปรยพระสรวลอย่างเริงร่าปานมัจฉาต้องสายวารีอันฉ่ำเย็น
" แหม... ท่านเจ้าฟ้าก็... โอษฐ์หวานปานสุราบานเมืองสมิงจริงๆนะ "
" จะบอกให้...อันที่จริงดวงหทัยเราก็เฝ้าใฝ่ฝันหาในตัวท่านมานานหลายฉนำแล้วนะ "
เจ้าฟ้าหนุ่มทรงมีพระดำรัสพางทรงยักพระขนงเล่นจึ่งตรัสอีกครา
" เป็นอันว่าพวกเราจะร่วมมือกันตีละวิรัฐใช่หรือไม่ "
" ตามหทัยทางท่านก็แล้วกันหนอ ทางฝ่ายเราเฝ้าขอเป็นผู้อุดหนุนอยู่ข้างๆ "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงเปรย
" เฉลยพระเนตรมาแลเหลียวหม่อมฉันบ้าง อย่ามัวค้างพระอารมณ์อยู่ตรงนั้น "
พระนางแก้วกานดาเสด็จพระดำเนินมายืนเคียงข้างเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งองค์เจ้าฟ้าทรงยกพระพาหาทั้งสองข้างขึ้นโอบพระวรกายพระนางสุบินสวรรค์และพระนางแก้วกานดาเอาไว้อย่างแนบแน่นพลางทรงเปรยยิ้มกว้าง
" เอาเป็นว่าเจ้าทั้งสองเป็นพระมเหสีฝ่ายขวาและซ้ายของเราก็แล้วกันนะ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเหลียวพระเนตรไปยังพระนางทั้งสองนั้น แลทั้งสองพระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มโสมนัสเป็นที่ยิ่งจึ่งตรัสขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
" เพคะ ท่านเจ้า "
มโหรียินดีเหลือหลาย ต่างร่วมบรรเลงเพลง พระรามตามได้นางสีดาแถมพิเศษนางมโนราห์มาอีกหนึ่ง สามเที่ยวจบ พร้อมลั่นมโหระทึกสามคราต่อด้วยการรัวสังข์และสั่นจะเข้
ในการนี้ พระนางสุบินสวรรค์ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นที่พระมเหสีฝ่ายขวา เนื่องเพราะทรงมีพระยศถาเป็นพระราชินีมาก่อนเก่า ส่วนพระนางแก้วกานดา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย เนื่องเพราะทรงมีเชื้อสายละวิรัฐอริราช อีกทั้งยังทรงเป็นนางรองพระบาทมานานมากเกินควรแล้ว
โอ้เอย พระนางแก้วฯ... ไยจึงทรงตกต่ำประหนึ่งเสือถูกแร้วเช่นนี้หนา โอ้เอยอนันตา ฤาครานี้จะมีราชินีถึงสองพระองค์ก็มิรู้ ใครเล่าจะเป็นผู้ตอบได้ ถ้าไม่ใช่องค์เทวาพระองค์เดิม
- - - - - - - - -
เสริมต่อจากกาลครั้งกระนั้น...
เมื่อกรุงอนันตาถูกโจมตีด้วยลูกปืนใหญ่จากกรุงเถมรู ภายใต้การบัญชาการของเจ้านางมาหยารัศมีผู้คิดคด
บัดนี้ เปลวเพลิงที่เผาไหม้องค์ปราสาทและพระมหามณเฑียร ตลอดจนพระวิมานทั้งหลาย ได้มอดดับไปนานแล้ว หากแต่เปลวเพลิงในดวงหทัยของชาวอนันตาทุกผู้ยังคงคุกรุ่นอยู่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะดับ
สภาพกรุงอนันตาในเพลานี้ แลไปยังหนทางใดก็เห็นแต่บ้านเรือนที่ถูกเผาจนหมอดไหม้เหลือแต่ซาก กลิ่นเขม่าควันและซากศพโชยคลุ้งไปทั่วบริเวณ ชวนให้น่าสะอิดสะเอียนเป็นยิ่งนัก
ในส่วนของพระบรมมหาราชวังนั้น ขณะนี้กำลังมีการปรับปรุงและก่อสร้างต่อเติมส่วนที่ถูกเผากันเป็นการใหญ่ เพราะถือได้ว่าวังหลวงนั้นเป็นหัวใจของแผ่นดิน
ภายในท้องพระโรง ขุนตะวัน ผู้เป็นขุนวังและแม่กองงานบูรณะปฏิสังขรณ์ต่อเติมพระบรมมหาราชวังกำลังสั่งงานบรรดาช่างสิบหมู่อยู่อย่างขะมักเขม้นขมีขมัน บรรยากาศอันขมุกขมัวขะมอมขะแมมไปด้วยเขม่าได้เคลื่อนเข้ามาครอบคลุมอีกคราเมื่อท้องฟ้าเริ่มคล้อยเข้าสู่พลบค่ำ
" เอาล่ะทุกคน... วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน รุ่งขึ้นค่อนยเริ่มสานงานต่อ "
ขุนตะวันกล่าวไปและเหล่าช่างทั้งหลายทั้งปวงต่างก็พากันเก็บเครื่องไม้เครื่องมือของตนแล้วพากันเดินออกจากท้องพระโรงไป หากแต่ขุนตะวันผู้นั้นยังคงเดินตรวจตราดูงานต่อ หาได้ติดตามเหล่าช่างทั้งหมดออกไปไม่ เขาแลดูภาพเขียนต่างๆบนฝาผนังท้องพระโรงอย่างพินิจก่อนเปรยขึ้นว่า
" ไม่น่าเลยอนันตาเรา ไม่น่าถูกเผาจนวอดวายเช่นนี้ "
ครู่หนึ่ง... มหาดเล็กหลวงก็วิ่งหน้าตาตื่นมากระซิบขุนวังว่า
" ท่านขุนขอรับ "
" กระไร "
" บัดนี้ พะคัมด์ได้เคลื่อนพลเข้ามาใกล้พระนครแล้ว "
ประดุจสายอสุนีบาตฟาดลงสู่ห้วงหัวใจอันอ่อนโยนและชอกช้ำ ขุนตะวันหันขวับมา
" อันใดนะ !! พะคัมด์ฤา "
เขาเงยหน้ามองเพดานจึ่งว่าต่อ
" นี่องค์เทวาจะลงโทษอนันตาเราอีกฤาไฉน "
" เห็นจะใช่เป็นแน่ "
" เจ้าจงรีบไปเตรียมการรับมือ อย่าให้ข่าวลือแพร่สะพัดจนเกินความ "
" ขอรับท่านขุน "
มหาดเล็กพุ่งตัวจากไปในบัดดล จุนตะวันทอดสายตาออกจากพระบัญชรท้องพระโรงไปด้วยจิตใจอันไหวหวั่น
- - - - - - - - -
บนเทือกเขาซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายโยชน์...
กองทัพนับแสนของพระเจ้าเตวูได้เคลื่อนพลมาถึงแล้ว องค์กษัตริย์กำลังทรงใช้พระแว่นส่องทางไกลทอดพระเนตรสภาพภูมิประเทศโดยรอบกรุงอนันตา โดยมีเหล่าขันทีพลีสวาททั้งห้าคนนั่งบ้างยืนบ้างรายรอบพระองค์อยู่มิห่าง พวกหล่อนต่างพากันโบกพัดไปมาด้วยความระอุอบอ้าว
พระเจ้าเตวูทรงลดพระหัตถ์ที่ทรงถือพระแว่นส่องทางไกลลงอย่างช้าๆและสง่างามจึ่งตรัสขึ้น
" หึ หึ หึ ... อานุภาพปืนใหญ่แห่งเถมรูช่างรุนแรงเหลือประมาณเสียจริง ข้าเพิ่งจะเห็นเป็นประจักษ์ก็คราวนี้ "
" วุ้ย ! ...กระไรได้ จะสักเท่าไหร่กัน ขอหม่อมฉันแลสักคราสิเพฮะ "
ถูไถเดินมาใกล้พระองค์ พระเจ้าเตวูทรงยื่นพระแว่นส่องทางไกลพระราชทานให้ ครั้นเมื่อถูไถรับพระราชทานมาแล้วยกขึ้นส่อง พลันหล่อนก็ต้องตะลึงงันในทันทีพลางร้องก้อง
" เริด... เริดมาก แลหนใดก็เห็นแต่ซากวิมาน ดูสิ ตำหนักหลังนั้นที่พวกเราเคยไปวิ่งเล่นกันมาแต่ก่อนเก่า ถูกพระเพลิงเผาเสียราบเชียว "
" ไหน ไหน ขอข้าดูบ้าง "
ไซ้เนินและขันทีคนอื่นๆต่างรีบกรูกันมา
พระเจ้าเตวูทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งตรัสว่า
" นางมาหยารัศมีผู้นี้ช่างร้ายกาจเกินสตรีธรรมดานัก ข้าชักอยากรู้จักเสียแล้ว "
- - - - - - - - -
ณ กรุงเถมรู
ภายในพระนครหลวงแห่งอาณาจักรเถมรูแห่งนั้น เหล่าปวงประชาชีต่างกำลังรื่นเริงอยู่กับงานเฉลิมฉลองอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าใดนัก เนื่องจากเป็นงานเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นครองราชบัลลังก์ของเจ้านางมาหยารัศมี
ภายในพระบรมมหาราชวังเถมรูอันโอ่อ่าอลังการด้วยอัคนีศิลาสีขาวบริสุทธิ์ดุจปุยเมฆาบนยอดเขา เหล่าข้าราชบริพารอันขึ้นตรงต่อเจ้านางมาหยารัศมีต่างมาร่วมชุมนุมกันในพระราชพิธีสวมมงกุฏราชินีภิเษกของนางกันอย่างถ้วนหน้า
มโหรีกระหึ่มเพลง รัศมีเสวยราชย์ ซึ่งได้แต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ครู่ใหญ่ เจ้านางมาหยารัศมีในชุดเครื่องทรงนางกษัตริย์เถมรูอย่างเต็มยศก็เข้าสู่ท้องพระโรงใหญ่อันเต็มไปด้วยข้าราชการชั้นสูง ขบวนของนางนั้นประกอบไปด้วยเครื่องยศมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งของมีค่าที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน
ขบวนของนางหยุดลงตรงหน้าทางขึ้นสู่พระบรมราชบัลลังก์โมกขเฑียรราชอาสน์ แล้วนางก็เดินขึ้นไปตามบันไดกว้างอย่างช้าๆ ก่อนจะหันหน้ากลับมาแล้วหย่อนกายลงนั่งบนบัลลังก์ในทันที
มโหรีประโคมฆ้องฉาบแตรสังข์มโหระทึกจนกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว มหาอำมาตย์เอกอัญเชิญพระมหาสุริยมงกุฏพิสุทธิ์สถาน อันประทับอยู่บนพานมหิศเตศวรสุวรรณ ก่อนสทบบาทเข้ามาแล้วถวายบังคมลงคราหนึ่งจึงชูพานขึ้นเหนือเศียรที่เบื้องหน้าเจ้านางมาหยารัศมีผู้นั้น
" เจ้านางมาหยารัศมีรับมงกุฏอันงามสง่าองค์นั้นขึ้นมาแล้ววางลงบนศีรษะของตนเองในทันที
มโหรีรัวฉาบดังสนั่น...
พลัน มหาอำมาตย์เอกตะโกนลั่นไปทั้งท้องพระโรงว่า
" ขอพระนางมาหยารัศมีจงทรงพระเจริญ ไชโย ไชโย ไชโย "
" ไชโย "
ขุนนางอำมาตย์และข้าราชบริพารทั้งมวลต่างร่วมไชโยโห่ร้องโดยพร้อมเพรียงกัน
- - - - - - - - -
หลายวันผ่านไป ภายในท้องพระโรงพระราชวังเถมรู พระนางมาหยารัศมีเสด็จออกว่าราชการงานเมืองอยู่เป็นปฐม โดยมีฎิวต์ โซซาร์ติฏ์ และปรันเปริน คอยรับสนองพระบรมราชโองการอยู่มิห่าง
ครู่หนึ่ง มหาดเล็กหนุ่มก็วิ่งร่าเข้ามาทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลี พระปกวจีชาวเถมรู ณ บัดนี้ ได้ตัวพวกที่ก่อการกระด้างกระเดื่องเบื้องพระยุคลบาทแล้วพระเจ้าข้า "
" จะทรงทำเช่นไรดีเพคะ "
ปรันเปรินโน้มกายมากราบทูล
พระนางมาหยารัศมีเสด็จพระดำเนินมายังพระบัญชรจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงห้าวเหี้ยมดุจพญาสีหราชสาวรุ่น
" บังอาจกระด้างกระเดื่องต่อเบื้องสูง โทษของพวกมันคือ... หั่นเป็นชิ้น !! "
" หา... !!! "
ทุกคนตะลึง
พระนางทรงหันขวับกลับมา ดวงพระพักตร์นั้นเหี้ยมเกรียมดุดันสุดประมาณ ดวงพระเนตรลุกโชนดั่งเปลวสุริยายามเที่ยงวัน
" พระเจ้าข้า... "
มหาดเล็กสนองรับพระราชบัญชาก่อนถอยคลาคลาดจากไป
ครู่หนึ่ง... มหาดเล็กอีกผู้ก็ลู่ตัวเข้ามาแทนที่พลางกราบทูลต่อเนื่อง
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีเมืองกระเดื่องเถมรู ณ บัดนี้ มีรายงานมาว่า ทัพหนึ่งล้านเก้าแสนของพระนางสุบินสวรรค์อดีตราชินีเถมรู ได้สูญสิ้นสภาพ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยร้อยเก้าสิบคน คิดหยิบยืมกำลังอนันตาสู้พสุธาละวิรัฐพระเจ้าข้าพระนาง... "