เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://pantip.com/topic/31162220
*****************
บทที่ 18
ห้าขันทีพลีสวาท ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้าเตวู
นับตั้งแต่เป็นขันทีวัยเยาว์ และติดตามกลุ่มขันทีน้อยใหญ่สี่พันคนจากภูธรามาอนันตา รับราชการสนองพระเดชพระคุณในราชสำนัก คอยปรณนิบัติเหล่านางสนมกำนัลจนกระทั่งขันทีทั้งหลายได้สูญสิ้นชีวาไปหมด เหลือเพียงพวกเขาทั้งห้า และต่อมาได้ติดตามพระนางแก้วกานดาซึ่งทรงอยากเปิดพระกรรณเปิดพระเนตรชมสิ่งต่างๆ จึงทรงมาประพาสบนเขา แต่แล้วกลับเกิดพลัดพรากจากกัน ฝ่ายขันทีไม่กล้ากลับไปสู้พระพักตร์เจ้าฟ้ามูรตีจึงพากันหลบหนีมาพะคัมด์เพื่อหวังจะทำมาหากินดังเช่นที่เป็นอยู่
พระเจ้าเตวูทรงเห็นพระทัยเหล่าขันทีเป็นอันมาก ดั่งนั้น จึ่งทรงให้ห้าขันทีพลีสวาทเข้ารับใช้สนองพระเดชพระคุณอยู่ในราชสำนักพะคัมด์ ทั้งนี้ด้วยทรงมีแผนการณ์จะให้ห้าขันทีเปิดเผยความเป็นไปในกรุงอนันตา เพื่อประกอบการโจมตีในครั้งนี้ด้วย
- - - - - - - - -
กล่าวถึงกองทัพอันมหึมามหาศาลของเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งเคลื่อนพลมาตามวนาอย่างช้าๆ เพราะสภาพภูมิประเทศโดยรอบค่อนข้างทุรกันดาร แต่กระนั้น เจ้าฟ้ามูรตีก็ยังทรงเพลิดเพลินพระอารมณ์อยู่กับนางสนมกำนัลที่ทรงนำมาด้วยบนหลังช้างทรงนั่นเอง
พลทหารนายหนึ่งวิ่งถือหอกมาจากหัวขบวนแล้วรายงานต่อแม่ทัพซึ่งอยู่บนหลังม้าว่า
" ท่านแม่ทัพขอรับ "
" มีเรื่องอันใดฤา พลสุข "
แม่ทัพทองถึงไต่ถามเอาความ
" เบื้องหน้ามีเจดีย์ใหญ่ขวางกั้นอยู่ จะให้กระทำเช่นไรดีขอรับ "
" เจดีย์ใหญ่รึ "
แม่ทัพครุ่นคิดคราหนึ่ง ก่อนจะสานวาจาต่อ
" ถ้าเช่นนั้นเราจำต้องเบี่ยงขบวนทัพไปทางซ้าย "
" ทางซ้ายก็เป็นหุบเหวลึกขอรับ "
พลสุขรายงาน
" หุบเหวเรอะ... อึ้มมม... แล้วทางด้านขวาล่ะ "
" ทางขวาหาด้อยกว่าทางด้านหน้าและซ้ายไม่ "
" เช่นใด "
" เนื่องเพราะเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีเอกสวนไร่นาเรียงรายบานตะไทอยู่อย่างคนานับ "
แม่ทัพทองถึงอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เบื้องหน้าเป็นเจดีย์ใหญ่ เบื้องซ้ายเป็นหุบเหว เบื้องขวาเป็นหมู่บ้าน ครั้นจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบก็เกรงพระอาญา เพราะกำลังทรงพระสำราญพระราชหฤทัยอยู่บนหลังช้าง ครั้นจะหยุดขบวนทัพก็เกรงพระอาญาอีก เพราะเป็นการขัดพระบรมราชโองการ หยุดทัพโดยมิได้มีพระบรมราชานุญาติ ต้องโทษถึงประหารชีวิต
ด้วยเหตุฉะนี้ แม่ทัพทองถึงจึงต้องใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดไตร่ตรองไคร่ครวญอย่างหนักหน่วงถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ และในที่สุด ห้วงแห่งความคิดคำนึงก็ได้ปะทุขึ้นในจิตใจของแม่ทัพหนุ่ม
- - - - - - - - -
บนช้างทรง ภายในบุษบกที่ประทับอันมีพระวิสูตรกางกั้นโดยรอบ
เจ้าฟ้ามูรตีผู้องอาจ กำลังทรสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาว นางสนมคู่พระหทัย โดยไม่ทรงทราบเลยว่า เบื้องล่างในกองทัพนั้น แม่ทัพทองถึงกำลังวางแผนการณ์ใหญ่อยู่
" อ๊ะ... อ๊ะ... อย่าเพคะ เจ้าฟ้ามูรตี "
ลำดวนดาวยกหัตถ์ปัดป้องการตระกองกอดของเข้าฟ้าหนุ่ม
" ไยเล่า ? เจ้าจะขัดขืนข้าไปด้วยเหตุใด เพลานี้แก้วกานดาพระสนมเอกแห่งข้าก็สูญหายไป ไม่มาคอยขวางศอ มิไยเราทั้งสองจึงไม่มารื่นรมย์สมสู่ให้ชื่นชูหฤหรรษ์บันเทิงอุรา
" อุแหม... พระองค์เนี่ย ดำรัสไฉนก็ไม่รู้ "
ลำดวนดาวเปรยยิ้มพลางทูลต่อ
" แล้วบรรดาทหารหาญในกองทัพเล่า พวกเขามิสงสัยเราทั้งสองดอกหรือเพคะ "
" จะสงสัยกระไรได้ ก็เรามิได้กระทำอะไรให้เป็นพิรุธ อันบุษบกหลังช้างนี่หรือก็ปกปิดมิดชิดด้วยวิสูตรทอง ลำดวนดาวเอ๋ย เจ้าอย่าเฉไฉอยู่เลย "
" แต่ดวน "
" นะ นะ "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสพลางโถมพระวรกายลง
" อ๊ะ... อย่า อย่า อย่าเพคะ อ๊ะ หม่อมฉัน... อ้า... ? "
บุษบกสั่นไหวคราหนึ่ง มโหรีที่ติดตามมาโดยช้างเชือกหลังๆดั่งรู้ทัน รีบประโคมเพลงกล่อมรานีเป็นการเคล้าคลอ
ช้างทรงยังคงดำเนินต่อไป...
เบื้องล่าง เหล่าทหารอนันตาต่างหยุดพักผ่อน ม้าศึกถูกผูกรวมกันไว้ที่มุมหนึ่งของป่า ทหารบางกลุ่มกำลังล้อมวงสนทนากัน ในขณะที่อีกหลายคนกำลังตกแต่งจัดการเครื่องแต่งกายและอาวุธศาสตรา กองเพลิงถูกจุดขึ้นเพื่อไล่ยุงป่าและหุงหาอาหาร
ฝ่ายแม่ทัพทองถึง มหาอำมาตย์เอก และโหราจารย์ ก็กำลังปรึกษาราชการกันอยู่ที่มุมหนึ่ง
" อุบายท่านแยบยลจริงแท้นะแม่ทัพทองถึง "
มหาอำมาตย์เอกเปรยปากชม
" หยุดทัพโดยไม่มีพระบัญชา มิเกรงกลัวพระราชอาญาหรอกล่ะหรือ "
โหราจารย์ท้วงติง
" จะมาเอาความว่าข้าหยุดทัพกระนั้นหาได้ไม่ เนื่องด้วยข้าสั่งให้หยุดแต่เฉพาะไพร่พล หากแต่หัวใจของกองทัพนั้นเล่า...หาหยุดไม่ "
แม่ทัพทองถึงกล่าวจบ เหล่าบรรดาข้าราชการทั้งสามต่างเหลียวไปมองหัวใจของกองทัพที่แม่ทัพทองถึงอ้างถึง
ช้างทรงของเจ้าฟ้ามูรตียังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆเป็นแนววงกลมรอบต้นไม้ใหญ่ โดยที่เจ้าฟ้ามูรตีมิทรงรู้เรื่องราวเลยว่ากองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์นั้นได้หยุดชะงักพักผ่อนกันไปเสียนมนานแล้ว
" หากแม้นทรงทราบว่าท่านออกคำสั่งให้หยุดทัพอยู่กับที่โดยออกอุบายให้ช้างทรงเดินวนเป็นวงดั่งนี้ มีหวังถูกประหารอย่างแน่นอน "
โหราจารย์ครวญ
" เหอะน่า ท่านโหราฯ มิไยเราไม่มาช่วยกันคบคิดแก้ปัญหาเรื่องเส้นทางเดินทัพกันดีกว่า ช่างกษัตราท่านปะไรเล่า เอาว่าไงท่านแม่ทัพ "
มหาอำมาตย์เอกว่า
" มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือเราต้องกลับทัพไปอ้อมเขาลูกนั้นแทน "
แม่ทัพเสนอ
" กลับทัพ ? !! "
มหาอำมาตย์เอกอุทานพลางว่าต่อ
" จะให้กลับทันกระนั้นฤา คงยากเสียละกระมังท่าน กาลล่วงเอาป่านนี้ องค์กษัตราต้องทรงล่วงรู้เป็นแน่แท้ เนื่องเพราะสภาพภูมิประเทศแลหนทางผันเปลี่ยนไป นอกจากนั้น ยังเสียเพลาอีกหลายวันกระนั้นเชียวนะ ข้าว่าน่าจะเสี่ยงผ่านหมู่บ้านไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด "
" ไม่ได้ หากผ่านหมู่บ้าน จะทำให้ปวงประชาราษฎรเดือดร้อนกันบานตะไท ไม่มีเว้นที่ดินกินนอนเรือกสวนไร่นาสาโทวอดวายมลายวัวควายตายเกลื่อน ไม่ลืมเลือนเพียงแค่นั้น เหล่าชาวบ้านยังอาจเคียดแค้นตอบแทนเราได้ในภายหลังประดังเข้ามาหาที่สุดมิได้อีกหลายชั่วนาตาปี "
แม่ทัพค้านศีรษะชนภูผา
" ไฉนไม่สร้างสะพานข้ามทางหุบเหว ข้าว่าจะดูไม่เลวทีเดียวเชียวนะ "
โหราจารย์เสนอแนวคิดพลางยิ้ม
" ไม่เอ้า... ไม่เอา "
มหาอำมาตย์เอื้อนเอ่ยวาจาออดอ้อน
" หือ... "
" ข้ากลัวความสูง... "
มหาอำมาตย์ออกจะเหนียมอายนิดๆ
" โถ... พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง กลับมาเสียเถิดนะขวัญเอ๋ย... "
โหราจารย์กระเซ้า
" เลิกยั่วเย้าหยอกล้อกันเสียที...เป็นการเป็นงานนะหนอนี่ "
" จ๋าจ้ะ "
มหาอำมาตย์ยิ้ม
" แล้วเช่นนี้จะเอาอย่างไรกัน ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังประดังกันติด คิดไม่ออก กระทำอันใดไม่ได้ทั้งนั้นเลย "
แม่ทัพทองถึงเกิดอาการหน่ายพอสมควร
" มิไยพวกเราไม่ทิ้งทัพ... "
โหราจารย์นัยน์ตากรุ้มกริ่ม
" ทิ้งทัพ !!? "
แม่ทัพและมหาอำมาตย์ครวญพร้อมกัน
" ใช่.... ถูกต้อง หากแม้นพวกเราหลบหนีไปกันให้หมดในเพลานี้ องค์มูรตีก็มิทรงรู้ เพราะทรงดู๋ดี๋อยู่กับแม่ลำดวนดาวบนหลังช้างนั่น "
มหาอำมาตย์ส่งนัยน์ตาขวางเข้าใส่โหราจารย์อย่างจังพลางตวาด
" กอบกิจคิดการชั่ว เฉกเช่นตัวอสูรกายก็ไม่ปาน "
" อยากทะยานกายหลบหนีต้องพลีชีพก่อน "
จบคำ แม่ทัพทองถึงชักดาบออกจากฝักในทันใด
มโหรีรัวระนาดคราหนึ่ง ขุนนางทั้งสามร้องบทกลอนโต้ตอบกัน เริ่มจากแม่ทัพ มหาอำมาตย์ และโหราจารย์
" พระเสโทหลั่งไหลมากมายมาหลายแล้ว เพียงให้แผ้วผองภัยมลายสิ้น "
" ไยโหราฯมาโกงพระองค์อินทร์ อยากดาวดิ้นก็เชิญไป... "
" ไม่อยากตาย.... "
จบคำ โหราจารย์ทรุดกายลงร่ำไห้ราวกับทารก
มโหรีจบลงด้วยการครวญเพลงห่วงหาอาลัยมิไยจะทิ้งทัพ สองชั้น ต่อด้วยการรัวจะเข้
ภายในบุษบกที่ประทับ
ขณะที่เจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาวนั้น พลันองค์เจ้าฟ้าก็ทรงผุดลุกขึ้นนั่งในทันใด ยังความตกใจแก่สนมสาวเป็นที่ยิ่ง
" ไฉนทรงผุดเพคะท่านเจ้า "
" รู้สึกพิกลอยู่ "
" อันใดเพคะ "
" เหมือนว่าเรากำลังเคลื่อนเป็นวงกลม "
" วงกลม ? "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงขยับพระวรกายมา พลางทรงกระชากพระวิสูตรออก แสงสุริยาจากเบื้องนอกสาดส่องเข้ามาภายในบุษบกแห่งนั้น
ฉับพลันทันใด...
สิ่งที่เจ้าฟ้ามูรตีทรงแลเห็น ได้ยังความพิโรธแก่พระองค์เป็นอันมาก ประหนึ่งสายอัสนีบาตฟาดลงในพระหทัย พระองค์ทรงกวาดพระเนตรไปโดยรอบ ทรงแลเห็นเหล่าทหารของพระองค์กำลังผักผ่อน บ้างก็กำลังสนทนาพาทีต่อกัน บ้างก็ให้หญ้าอ่อนแก่ม้า ส่วนช้างทรงของพระองค์นั้นเล่าก็กำลังเดินต่อไปอย่างช้าๆภายในป่า วนเป็นวงกลมโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ความเดือดดาลเพิ่มทวีขึ้นในพระหทัยอย่างฉับพลัน จนในที่สุด
" หยุดไอยรา... "
พระสุรเสียงดังสนั่นลั่นทัพ
ควาญช้างทรงรีบหันขวับมาด้วยใบหน้าตระหนกยิ่งนัก ก่อนจะรีบร้อนให้สัญญาณหยุดช้าง
เหล่าไพร่พลทั้งมวลต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่งพลางคุกเข่าลงกราบถวายบังคม
แม่ทัพ มหาอำมาตย์ และโหราจารย์รีบตรงไปยังช้างทรงในทันที
เจ้าฟ้ามูรตีทรงลงจากหลังช้างอย่างว่องไว พลางทอดพระเนตรไปยังเหล่าทหารทั้งหลายที่รายรอบจึ่งตรัส
" นี่มันอะไรกัน จะหยุดทัพไฉนไม่บอกข้า แม่ทัพอยู่หนใด ? "
" ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า "
แม่ทัพทองถึงลีลาศเข้ามาเฝ้าพลางกราบบังคมทูลเบื้องพระบาท
" รึเจ้าจะว่าไร ทองถึง "
" ขอเดชะ ข้าพระองค์เกรงจะเป็นการขัดพระสำราญของพระองค์กับ... "
แม่ทัพชำเลืองมองขึ้นไปยังสนมลำดวนดาว ซึ่งแอบอย่หลังพระวิสูตรในบุษบกบนหลังช้างทรง
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้มเล็กๆ
" เจ้าก็เลยออกอุบายให้ช้างเราเนเป็นวง ในขณะที่กองทัพหยุดพัก "
" พระอาญาไม่พ้นเกล้า ล้วนเป็นเช่นนั้นแลพระเจ้าข้า "
" ดี... "
มหาอำมาตย์เอกและโหราจารย์ต่างกุมมือซึ่งกันและกันด้วยความหวั่นหวาดว่าครานี้แม่ทัพทองถึงคงไม่รอดจากพระแสงดาบเป็นแม่นมั่น
แต่... ราวกับเดือนดับสุริยาโผล่
เจ้าฟ้ามูรตีทรงลั่นพระสรวลออกมาพลางว่า
" ดูทีโหราฯ มหาอำมาตย์ แม่ทัพเราฉลาดจริง เกรงเรากับสนมไม่สมรัก เลยคิดหักหน้าออกอุบายแยบยล... เอ้า... ว่ามาเสียทีฤา ว่ามีเหตุอันใดเกิดขึ้น เจ้าจึงถือวิสาสะขัดคำสั่งเช่นนี้ "
แม่ทัพทองถึงโปรยยยิ้มก่อนก้มลงกราบถวายบังคมอีกครา
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ มีปราการสามสิ่งขวางกั้นเส้นทางเดินทัพของเราอยู่ทั้งสามด้าน ข้าพระพุทธเจ้าไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ปราการแต่ละสิ่งล้วนมีความสำคัญแตกต่างกันออกไป มิทราบจะหาหนทางอันใดมาแก้ไขให้ลุล่วงดังประสงค์ พระเจ้าข้า "
" อึ้ม... แล้วมีปราการอันใดบ้างล่ะ "
ตรัสจบ แม่ทัพ โหรา มหาอำมาตย์ กราบทูลเรียงลำดับเป็นบทกวีอันมีมโหรีประกอบ
" ทางเบื้องหน้านั้นหรือคือเจดีย์ใหญ่ "
" แลเบื้องขวานั้นเล่า ชาวนาไร่ "
" ทางเบื้องซ้ายหุบเหว ไม่เลวเทียว "
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 18
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
*****************
บทที่ 18
ห้าขันทีพลีสวาท ได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแก่พระเจ้าเตวู
นับตั้งแต่เป็นขันทีวัยเยาว์ และติดตามกลุ่มขันทีน้อยใหญ่สี่พันคนจากภูธรามาอนันตา รับราชการสนองพระเดชพระคุณในราชสำนัก คอยปรณนิบัติเหล่านางสนมกำนัลจนกระทั่งขันทีทั้งหลายได้สูญสิ้นชีวาไปหมด เหลือเพียงพวกเขาทั้งห้า และต่อมาได้ติดตามพระนางแก้วกานดาซึ่งทรงอยากเปิดพระกรรณเปิดพระเนตรชมสิ่งต่างๆ จึงทรงมาประพาสบนเขา แต่แล้วกลับเกิดพลัดพรากจากกัน ฝ่ายขันทีไม่กล้ากลับไปสู้พระพักตร์เจ้าฟ้ามูรตีจึงพากันหลบหนีมาพะคัมด์เพื่อหวังจะทำมาหากินดังเช่นที่เป็นอยู่
พระเจ้าเตวูทรงเห็นพระทัยเหล่าขันทีเป็นอันมาก ดั่งนั้น จึ่งทรงให้ห้าขันทีพลีสวาทเข้ารับใช้สนองพระเดชพระคุณอยู่ในราชสำนักพะคัมด์ ทั้งนี้ด้วยทรงมีแผนการณ์จะให้ห้าขันทีเปิดเผยความเป็นไปในกรุงอนันตา เพื่อประกอบการโจมตีในครั้งนี้ด้วย
- - - - - - - - -
กล่าวถึงกองทัพอันมหึมามหาศาลของเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งเคลื่อนพลมาตามวนาอย่างช้าๆ เพราะสภาพภูมิประเทศโดยรอบค่อนข้างทุรกันดาร แต่กระนั้น เจ้าฟ้ามูรตีก็ยังทรงเพลิดเพลินพระอารมณ์อยู่กับนางสนมกำนัลที่ทรงนำมาด้วยบนหลังช้างทรงนั่นเอง
พลทหารนายหนึ่งวิ่งถือหอกมาจากหัวขบวนแล้วรายงานต่อแม่ทัพซึ่งอยู่บนหลังม้าว่า
" ท่านแม่ทัพขอรับ "
" มีเรื่องอันใดฤา พลสุข "
แม่ทัพทองถึงไต่ถามเอาความ
" เบื้องหน้ามีเจดีย์ใหญ่ขวางกั้นอยู่ จะให้กระทำเช่นไรดีขอรับ "
" เจดีย์ใหญ่รึ "
แม่ทัพครุ่นคิดคราหนึ่ง ก่อนจะสานวาจาต่อ
" ถ้าเช่นนั้นเราจำต้องเบี่ยงขบวนทัพไปทางซ้าย "
" ทางซ้ายก็เป็นหุบเหวลึกขอรับ "
พลสุขรายงาน
" หุบเหวเรอะ... อึ้มมม... แล้วทางด้านขวาล่ะ "
" ทางขวาหาด้อยกว่าทางด้านหน้าและซ้ายไม่ "
" เช่นใด "
" เนื่องเพราะเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีเอกสวนไร่นาเรียงรายบานตะไทอยู่อย่างคนานับ "
แม่ทัพทองถึงอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เบื้องหน้าเป็นเจดีย์ใหญ่ เบื้องซ้ายเป็นหุบเหว เบื้องขวาเป็นหมู่บ้าน ครั้นจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบก็เกรงพระอาญา เพราะกำลังทรงพระสำราญพระราชหฤทัยอยู่บนหลังช้าง ครั้นจะหยุดขบวนทัพก็เกรงพระอาญาอีก เพราะเป็นการขัดพระบรมราชโองการ หยุดทัพโดยมิได้มีพระบรมราชานุญาติ ต้องโทษถึงประหารชีวิต
ด้วยเหตุฉะนี้ แม่ทัพทองถึงจึงต้องใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดไตร่ตรองไคร่ครวญอย่างหนักหน่วงถึงวิธีการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ และในที่สุด ห้วงแห่งความคิดคำนึงก็ได้ปะทุขึ้นในจิตใจของแม่ทัพหนุ่ม
- - - - - - - - -
บนช้างทรง ภายในบุษบกที่ประทับอันมีพระวิสูตรกางกั้นโดยรอบ
เจ้าฟ้ามูรตีผู้องอาจ กำลังทรสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาว นางสนมคู่พระหทัย โดยไม่ทรงทราบเลยว่า เบื้องล่างในกองทัพนั้น แม่ทัพทองถึงกำลังวางแผนการณ์ใหญ่อยู่
" อ๊ะ... อ๊ะ... อย่าเพคะ เจ้าฟ้ามูรตี "
ลำดวนดาวยกหัตถ์ปัดป้องการตระกองกอดของเข้าฟ้าหนุ่ม
" ไยเล่า ? เจ้าจะขัดขืนข้าไปด้วยเหตุใด เพลานี้แก้วกานดาพระสนมเอกแห่งข้าก็สูญหายไป ไม่มาคอยขวางศอ มิไยเราทั้งสองจึงไม่มารื่นรมย์สมสู่ให้ชื่นชูหฤหรรษ์บันเทิงอุรา
" อุแหม... พระองค์เนี่ย ดำรัสไฉนก็ไม่รู้ "
ลำดวนดาวเปรยยิ้มพลางทูลต่อ
" แล้วบรรดาทหารหาญในกองทัพเล่า พวกเขามิสงสัยเราทั้งสองดอกหรือเพคะ "
" จะสงสัยกระไรได้ ก็เรามิได้กระทำอะไรให้เป็นพิรุธ อันบุษบกหลังช้างนี่หรือก็ปกปิดมิดชิดด้วยวิสูตรทอง ลำดวนดาวเอ๋ย เจ้าอย่าเฉไฉอยู่เลย "
" แต่ดวน "
" นะ นะ "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสพลางโถมพระวรกายลง
" อ๊ะ... อย่า อย่า อย่าเพคะ อ๊ะ หม่อมฉัน... อ้า... ? "
บุษบกสั่นไหวคราหนึ่ง มโหรีที่ติดตามมาโดยช้างเชือกหลังๆดั่งรู้ทัน รีบประโคมเพลงกล่อมรานีเป็นการเคล้าคลอ
ช้างทรงยังคงดำเนินต่อไป...
เบื้องล่าง เหล่าทหารอนันตาต่างหยุดพักผ่อน ม้าศึกถูกผูกรวมกันไว้ที่มุมหนึ่งของป่า ทหารบางกลุ่มกำลังล้อมวงสนทนากัน ในขณะที่อีกหลายคนกำลังตกแต่งจัดการเครื่องแต่งกายและอาวุธศาสตรา กองเพลิงถูกจุดขึ้นเพื่อไล่ยุงป่าและหุงหาอาหาร
ฝ่ายแม่ทัพทองถึง มหาอำมาตย์เอก และโหราจารย์ ก็กำลังปรึกษาราชการกันอยู่ที่มุมหนึ่ง
" อุบายท่านแยบยลจริงแท้นะแม่ทัพทองถึง "
มหาอำมาตย์เอกเปรยปากชม
" หยุดทัพโดยไม่มีพระบัญชา มิเกรงกลัวพระราชอาญาหรอกล่ะหรือ "
โหราจารย์ท้วงติง
" จะมาเอาความว่าข้าหยุดทัพกระนั้นหาได้ไม่ เนื่องด้วยข้าสั่งให้หยุดแต่เฉพาะไพร่พล หากแต่หัวใจของกองทัพนั้นเล่า...หาหยุดไม่ "
แม่ทัพทองถึงกล่าวจบ เหล่าบรรดาข้าราชการทั้งสามต่างเหลียวไปมองหัวใจของกองทัพที่แม่ทัพทองถึงอ้างถึง
ช้างทรงของเจ้าฟ้ามูรตียังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆเป็นแนววงกลมรอบต้นไม้ใหญ่ โดยที่เจ้าฟ้ามูรตีมิทรงรู้เรื่องราวเลยว่ากองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์นั้นได้หยุดชะงักพักผ่อนกันไปเสียนมนานแล้ว
" หากแม้นทรงทราบว่าท่านออกคำสั่งให้หยุดทัพอยู่กับที่โดยออกอุบายให้ช้างทรงเดินวนเป็นวงดั่งนี้ มีหวังถูกประหารอย่างแน่นอน "
โหราจารย์ครวญ
" เหอะน่า ท่านโหราฯ มิไยเราไม่มาช่วยกันคบคิดแก้ปัญหาเรื่องเส้นทางเดินทัพกันดีกว่า ช่างกษัตราท่านปะไรเล่า เอาว่าไงท่านแม่ทัพ "
มหาอำมาตย์เอกว่า
" มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้น นั่นคือเราต้องกลับทัพไปอ้อมเขาลูกนั้นแทน "
แม่ทัพเสนอ
" กลับทัพ ? !! "
มหาอำมาตย์เอกอุทานพลางว่าต่อ
" จะให้กลับทันกระนั้นฤา คงยากเสียละกระมังท่าน กาลล่วงเอาป่านนี้ องค์กษัตราต้องทรงล่วงรู้เป็นแน่แท้ เนื่องเพราะสภาพภูมิประเทศแลหนทางผันเปลี่ยนไป นอกจากนั้น ยังเสียเพลาอีกหลายวันกระนั้นเชียวนะ ข้าว่าน่าจะเสี่ยงผ่านหมู่บ้านไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด "
" ไม่ได้ หากผ่านหมู่บ้าน จะทำให้ปวงประชาราษฎรเดือดร้อนกันบานตะไท ไม่มีเว้นที่ดินกินนอนเรือกสวนไร่นาสาโทวอดวายมลายวัวควายตายเกลื่อน ไม่ลืมเลือนเพียงแค่นั้น เหล่าชาวบ้านยังอาจเคียดแค้นตอบแทนเราได้ในภายหลังประดังเข้ามาหาที่สุดมิได้อีกหลายชั่วนาตาปี "
แม่ทัพค้านศีรษะชนภูผา
" ไฉนไม่สร้างสะพานข้ามทางหุบเหว ข้าว่าจะดูไม่เลวทีเดียวเชียวนะ "
โหราจารย์เสนอแนวคิดพลางยิ้ม
" ไม่เอ้า... ไม่เอา "
มหาอำมาตย์เอื้อนเอ่ยวาจาออดอ้อน
" หือ... "
" ข้ากลัวความสูง... "
มหาอำมาตย์ออกจะเหนียมอายนิดๆ
" โถ... พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง กลับมาเสียเถิดนะขวัญเอ๋ย... "
โหราจารย์กระเซ้า
" เลิกยั่วเย้าหยอกล้อกันเสียที...เป็นการเป็นงานนะหนอนี่ "
" จ๋าจ้ะ "
มหาอำมาตย์ยิ้ม
" แล้วเช่นนี้จะเอาอย่างไรกัน ทั้งซ้ายขวาหน้าหลังประดังกันติด คิดไม่ออก กระทำอันใดไม่ได้ทั้งนั้นเลย "
แม่ทัพทองถึงเกิดอาการหน่ายพอสมควร
" มิไยพวกเราไม่ทิ้งทัพ... "
โหราจารย์นัยน์ตากรุ้มกริ่ม
" ทิ้งทัพ !!? "
แม่ทัพและมหาอำมาตย์ครวญพร้อมกัน
" ใช่.... ถูกต้อง หากแม้นพวกเราหลบหนีไปกันให้หมดในเพลานี้ องค์มูรตีก็มิทรงรู้ เพราะทรงดู๋ดี๋อยู่กับแม่ลำดวนดาวบนหลังช้างนั่น "
มหาอำมาตย์ส่งนัยน์ตาขวางเข้าใส่โหราจารย์อย่างจังพลางตวาด
" กอบกิจคิดการชั่ว เฉกเช่นตัวอสูรกายก็ไม่ปาน "
" อยากทะยานกายหลบหนีต้องพลีชีพก่อน "
จบคำ แม่ทัพทองถึงชักดาบออกจากฝักในทันใด
มโหรีรัวระนาดคราหนึ่ง ขุนนางทั้งสามร้องบทกลอนโต้ตอบกัน เริ่มจากแม่ทัพ มหาอำมาตย์ และโหราจารย์
" พระเสโทหลั่งไหลมากมายมาหลายแล้ว เพียงให้แผ้วผองภัยมลายสิ้น "
" ไยโหราฯมาโกงพระองค์อินทร์ อยากดาวดิ้นก็เชิญไป... "
" ไม่อยากตาย.... "
จบคำ โหราจารย์ทรุดกายลงร่ำไห้ราวกับทารก
มโหรีจบลงด้วยการครวญเพลงห่วงหาอาลัยมิไยจะทิ้งทัพ สองชั้น ต่อด้วยการรัวจะเข้
ภายในบุษบกที่ประทับ
ขณะที่เจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาวนั้น พลันองค์เจ้าฟ้าก็ทรงผุดลุกขึ้นนั่งในทันใด ยังความตกใจแก่สนมสาวเป็นที่ยิ่ง
" ไฉนทรงผุดเพคะท่านเจ้า "
" รู้สึกพิกลอยู่ "
" อันใดเพคะ "
" เหมือนว่าเรากำลังเคลื่อนเป็นวงกลม "
" วงกลม ? "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงขยับพระวรกายมา พลางทรงกระชากพระวิสูตรออก แสงสุริยาจากเบื้องนอกสาดส่องเข้ามาภายในบุษบกแห่งนั้น
ฉับพลันทันใด...
สิ่งที่เจ้าฟ้ามูรตีทรงแลเห็น ได้ยังความพิโรธแก่พระองค์เป็นอันมาก ประหนึ่งสายอัสนีบาตฟาดลงในพระหทัย พระองค์ทรงกวาดพระเนตรไปโดยรอบ ทรงแลเห็นเหล่าทหารของพระองค์กำลังผักผ่อน บ้างก็กำลังสนทนาพาทีต่อกัน บ้างก็ให้หญ้าอ่อนแก่ม้า ส่วนช้างทรงของพระองค์นั้นเล่าก็กำลังเดินต่อไปอย่างช้าๆภายในป่า วนเป็นวงกลมโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ความเดือดดาลเพิ่มทวีขึ้นในพระหทัยอย่างฉับพลัน จนในที่สุด
" หยุดไอยรา... "
พระสุรเสียงดังสนั่นลั่นทัพ
ควาญช้างทรงรีบหันขวับมาด้วยใบหน้าตระหนกยิ่งนัก ก่อนจะรีบร้อนให้สัญญาณหยุดช้าง
เหล่าไพร่พลทั้งมวลต่างพากันตกตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่งพลางคุกเข่าลงกราบถวายบังคม
แม่ทัพ มหาอำมาตย์ และโหราจารย์รีบตรงไปยังช้างทรงในทันที
เจ้าฟ้ามูรตีทรงลงจากหลังช้างอย่างว่องไว พลางทอดพระเนตรไปยังเหล่าทหารทั้งหลายที่รายรอบจึ่งตรัส
" นี่มันอะไรกัน จะหยุดทัพไฉนไม่บอกข้า แม่ทัพอยู่หนใด ? "
" ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า "
แม่ทัพทองถึงลีลาศเข้ามาเฝ้าพลางกราบบังคมทูลเบื้องพระบาท
" รึเจ้าจะว่าไร ทองถึง "
" ขอเดชะ ข้าพระองค์เกรงจะเป็นการขัดพระสำราญของพระองค์กับ... "
แม่ทัพชำเลืองมองขึ้นไปยังสนมลำดวนดาว ซึ่งแอบอย่หลังพระวิสูตรในบุษบกบนหลังช้างทรง
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้มเล็กๆ
" เจ้าก็เลยออกอุบายให้ช้างเราเนเป็นวง ในขณะที่กองทัพหยุดพัก "
" พระอาญาไม่พ้นเกล้า ล้วนเป็นเช่นนั้นแลพระเจ้าข้า "
" ดี... "
มหาอำมาตย์เอกและโหราจารย์ต่างกุมมือซึ่งกันและกันด้วยความหวั่นหวาดว่าครานี้แม่ทัพทองถึงคงไม่รอดจากพระแสงดาบเป็นแม่นมั่น
แต่... ราวกับเดือนดับสุริยาโผล่
เจ้าฟ้ามูรตีทรงลั่นพระสรวลออกมาพลางว่า
" ดูทีโหราฯ มหาอำมาตย์ แม่ทัพเราฉลาดจริง เกรงเรากับสนมไม่สมรัก เลยคิดหักหน้าออกอุบายแยบยล... เอ้า... ว่ามาเสียทีฤา ว่ามีเหตุอันใดเกิดขึ้น เจ้าจึงถือวิสาสะขัดคำสั่งเช่นนี้ "
แม่ทัพทองถึงโปรยยยิ้มก่อนก้มลงกราบถวายบังคมอีกครา
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ณ บัดนี้ มีปราการสามสิ่งขวางกั้นเส้นทางเดินทัพของเราอยู่ทั้งสามด้าน ข้าพระพุทธเจ้าไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ปราการแต่ละสิ่งล้วนมีความสำคัญแตกต่างกันออกไป มิทราบจะหาหนทางอันใดมาแก้ไขให้ลุล่วงดังประสงค์ พระเจ้าข้า "
" อึ้ม... แล้วมีปราการอันใดบ้างล่ะ "
ตรัสจบ แม่ทัพ โหรา มหาอำมาตย์ กราบทูลเรียงลำดับเป็นบทกวีอันมีมโหรีประกอบ
" ทางเบื้องหน้านั้นหรือคือเจดีย์ใหญ่ "
" แลเบื้องขวานั้นเล่า ชาวนาไร่ "
" ทางเบื้องซ้ายหุบเหว ไม่เลวเทียว "