เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
*****************
บทที่ 6
แผ่นดินละวิรัฐเมื่อปราศจากสมเด็จเจ้าฟ้ฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ มาทรงเอาพระทัยใส่ดังเช่นที่เคยเป็นมา ก็ดูราวกับว่าความสับสนวุ่นวายต่างๆอันพึงจะมีนั้นก็พลันอุบัติขึ้นทีละน้อย
อันสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายาผู้ทรงต้องแบกพระราชภาระกิจแทนเจ้าฟ้าฉกรรณราชากระนั้น ก็หาทรงปฏบัติพระราชกรณียกิจการงานเมืองได้เต็มประสิทธิภาพไม่ เนื่องเพราะทรงได้รับมอบหมายจากพระสวามีให้คอยดูแลอบรมสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา พระขนิษฐาผู้มีพระสติไม่ใคร่ปกติดังชนทั่วไปอยู่นั้น
- - - - - - - - -
วันหนึ่ง...
" เจ้านางแก้วกานดา...? "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ทรงดำรัสด้วยพระสุรเสียงลั่น ในทันทีที่สายพระเนตรทั้งคู่ของพระนางพลันทอดไปเห็นสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาทรงกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนยอดพระมหามณเฑียรปราสาท โดยมีบรรดานางรองบาททั้งหลายต่างพากันเต้นผ่างพลางกรีดร้องก้อง
" อ๊ายยย... !!!! เจ้านางเพคะ อย่าเพคะเจ้านาง "
" ทรงลงมาเถิดเพคะ เดี๋ยวทองหุ้มยอดพระมณเฑียรหมองหม่น "
" ทรงลงมายลโฉมพฤกษาที่เบื้องพสุธาข้างล่างนี้ดีกว่าเพคะเจ้านางขา "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงชี้พระดัชนีไปที่สมเด็จเจ้านางแก้วกานดา จึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสนั่นปานเทวบัญชา
" แก้วกานดา !!...จงลงมาเดี๋ยวนี้ "
- - - - - - - - -
ภายในท้องพระโรงเล็ก
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา เสด็จประทับบนพระโธรนทองคำ ทรงทอดพระเนตรไปยังสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา ซึ่งทรงประทับนั่งอยู่ ณ พระแท่นอีกองค์ โดยมีเหล่าบรรดานางรองบาทหมอบราบอยู่กับพื้นด้วยเกรงพระอาญา
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงทอดพระเนตรเหล่าข้าราชบริพารเหล่านั้นคราหนึ่งจึ่งตรัส
" พวกเจ้าจงออกไปก่อน "
สิ้นพระวาจาแห่งพระนาง เหล่านางกำนัลทั้งมวลก็พากันคลานออกจากท้องพระโรงเล็กแห่งนั้นไป
เมื่อทวารท้องพระโรงปิดสนิท สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาก็ทรงลุกขึ้นจากพระโธรนทองคำ พลางทรงพระดำเนินมายังสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาซึ่งทรงประทับนั่งนิ่งเงียบอยู่นั้น
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงประทับลงนั่งเคียงคู่พลางทรงยกพระหัตถาขึ้นลูบไล้เรือนพระเกศาอันอำขลับแห่งสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาผู้เลอโฉมคราหนึ่งจึ่งตรัส
" แก้วกานดา... เจ้ารู้หรือไม่ว่าละวิรัฐประเทศเรานี้ กำลังตกอยู่ในที่ลำบากนัก อันทูลกระหม่อมพ่อของเจ้าก็ทรงชราภาพแลประชวรอยู่เป็นนิจ กิจการงานเมืองทั้งมวลจึงต้องตกเป็นพระราชภาระแห่งเจ้าพี่ฉกรรณราชา ซึ่งครานี้ก็กำลังทรงเดินทางไปเกาะเทพธิดา เช่นนี้ เจ้ายังจะมามัวสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงจิตราเช่นทารกอยู่ได้กระนั้นฤา หากแม้นอริราชศัตรูล่วงรู้จุดอ่อนแห่งเราแล้วไซร้ อาจฉวยโอกาสจู่โจมละวิรัฐจนแตกดับ เจ้าจะมีหน้ารอพบเจ้าพี่ฉกรรณราชาอยู่ได้กระไรกัน "
เจ้านางแก้วกานดาทรงหันพระพักตร์มาจึ่งตรัส
" ข้ามิเห็นเลยว่าละวิรัฐเราจะด้อยกว่าอาณาจักรอื่นตรงไหน ดูไปแล้วออกจะกล้าแกร่งกว่าเหล่าอริราชเสียด้วยซ้ำ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาดำรัสขึ้นครานั้นว่า
"ดูรา แก้วกานดายาหยี เจ้านั้นประมาทกำลังข้าศึกเกินไป อย่างน้อยก็ยังมี เจ้าฟ้ามูรตี แห่งอนันตา กระนั้นเล่า ร่ำลือกันหนากรรณว่าเป็นพระอุปราชเจ้าผู้เหี้ยมหาญดุดันเหลือประมาณ กระทำศึกรอบด้านแผ่ขยายอาณาเขตประเทศให้แก่สมเด็จพระเจ้ากรุงอนันตาจนเลื่องลือระบือนามไปทั่วทุกแห่งหนในเกวลปฐพี
เจ้านางแก้วกานดาเสด็จลุกขึ้นจากพระที่ พลางทรงพระดำเนินมายังพระบัญชรสถาน ก่อนจะทรงทอดพระเนตรออกไปไกลยังขอบฟ้าด้านเบื้องหรดีทิศา อันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอนันตา
" เช่นนั้นก็ดีสิ... หากแม้นองค์มูรตีกรีฑาทัพอนันตามาละวิรัฐเมื่อใด ข้าจะพลีกายเซ่นสวาทเย้นหยันเจ้าพี่ฉกรรณราชาเสียเลยกระนั้น "
ฉับพลัน ราวกลองมโหรทึกลั่น...
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงผุดลุกขึ้นทันใดพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงสะท้าน
" แก้วกานดาเจ้า... !! มิไยจึ่งตรัสอุบาทว์วจีรานให้เสื่อมราศีละวิรัฐประเทศกระนี้หนอ "
" ข้าขอองค์ "
จบคำ สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาทรงเชิดพระพักตร์พลางทรงสะบัดชายพระภูษาขึ้นคล้องพระพาหาก่อนทรงพระดำเนินออกจากท้องพระโรงเล็กแห่งนั้นไปด้วยพระทีท่าองอาจดุจนางพญา ทิ้งให้สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงยืนนิ่งอึงอยู่ครู่ใหญ่
" โอ้เอย ละวิรัฐ ฤาครานี้จะถึงกาลวิบัติแห่งแผ่นดินเสียแล้วนี่ก็มิรู้ "
จบคำ สมเด็จทรงทอดพระเนตรเหล่าหมู่นกกระแต้วแร้วที่บินเคียงคู่กันผ่านขอบฟ้าด้านหรดีทิศาไป
- - - - - - - - -
ท่ามกลางสมรภูมิรบอันหฤโหด...
เหล่าไพร่พลคชสารแลอัศวมหาศาลแห่งอนันตา ได้กรีฑาทัพเข้าทำศึกกับอาณาจักรพะคัมด์ด้วยความห้าวหาญ
เสียงศาสตราวุธกระทบกันดังสนั่นลั่นทุ่ง แลไปยังทิศใดก็เห็นแต่ฝุ่นควันธุลีจากดินทรายและกองเพลิงที่เผาไหม้โชยคลุ้งไปทั่วแดน
การศึกครั้งนี้ ไพร่พลทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ซึ่งในที่สุดแล้ว ฝ่ายอนันตาก็เป็นผู้ได้ชัย จนสามารถตีเมืองสำคัญๆคืนมาได้จนเกือบหมด
เมื่อการศึกจบสิ้นลงครานี้ พลันปรากฏฝีเท้าอาชาตัวหนึ่งเหยาะย่างผ่านเหล่าซากศพที่นอนเรียงรายตายเกลื่อนสุดสังเวชบนพื้นพสุธาแห่งนั้นไปอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าเหล่าไพร่พลทหารหาญซึ่งกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้น
บุรุษผู้สง่าลงจากอาชานั้น ที่แท้เป็นองค์สมเด็จเจ้าฟ้ามหามูรตีศรีอุปราช พระชนมายุ 33 พระชันษาเศษ ซึ่งขณะนี้ ทรงมีพระวรกายงดงามสูงใหญ่ดุจราชสีห์ ดวงพระพักตร์เอิบอิ่มสุขปลั่งกระจ่างใสราวกับเทพยดาบนเบื้องสรวง พระขนงดกดำขลับแลหนาน่าหลงใหล อีกทั้งพระนาสิกนั้นเล่าก็งดงามเข้ารูปกับพระโอษฐ์อันเรียวบางดุจกลีบดอกจำปา
มโหรีประจำกองทัพพลันประโคมเพลง เทวาประสิทธิชัย ก่อนเจ้าพนักงานลั่นระฆังกังวาลก้องสามคำรบ
แม่ทัพทองถึง ยาตราเข้ามาคุกเข่าถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม มาตรว่าเพลานี้ ทัพอนันตาเราตีได้เมืองเก่าอันถูกอาณาจักรพะคัมด์ยึดครองไปนั้นกลับคืนมาจนหมดสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ "
" ดี... เช่นนั้น คืนนี้เราจะจัดงานเฉลิมฉลองที่กองทัพ ให้ไพร่พลยุทธนาได้ผ่อนคลาย "
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ "
- - - - - - - - -
ณ ราตรีนั้น... ขณะที่กองทัพอนันตากำลังมีงานรื่นเริง
บนยอดเขาอันสูงใหญ่ เจ้าฟ้ามูรตีกำลังประทับยืนอยู่กับมหาอำมาตย์เอก พลางทรงทอดพระเนตรออกไปไกลยังขอบฟ้าด้านอุดรทิศาจึ่งตรัส
" ถัดจากเทือกเขาโน่นไปคงเป็นอาณาจักรละวิรัฐมิใช่หรือท่านอำมาตย์ "
" พะย่ะค่ะ ใต้ฝ่าพระบาท "
" แล้วท่านมีความเห็นเป็นประการใด ถ้าหากว่าเราจะกรีฑาทัพไปละวิรัฐ "
" ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉันตรองดูแล้วเห็นว่าเพลานี้พระเจ้ากรุงละวิรัฐทรงชราภาพมาก และกำลังประชวรหนัก หากแม้นเรายกทัพไปตี อาจถูกครหาว่าข่มเหงผู้ชรา ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศขัตติยราชได้ เช่นนั้น จึงควรจะปล่อยให้ตายไปเอง จนกว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชาผู้มีชันษาเสมอใต้ฝ่าพระบาทขึ้นครองแผ่นดินค่อยกระทำศึกก็ยังมิสาย "
" เราก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับท่านอำมาตย์ "
ตรัสจบ มหาอำมาตย์เอกดั่งรู้ทัน จึงขยับกายเข้าชิดองค์พลางกระซิบกราบทูล
" แต่ร่ำลือกันมากว่า เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงมีพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตที่ทรงพระสิริโฉมดุจเทพธิดาอยู่หนึ่งพระองค์ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงทำดวงพระเนตรเบิกโพลงคราหนึ่งจึ่งตรัส
" เช่นนั้น เห็นทีครานี้เราคงต้องขอยลโฉมสักคราว่าจะงามจริงดังคำท่านว่าฤาไม่ "
- - - - - - - - -
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีกาล...
เจ้าฟ้ามูรตีทรงปลอมพระองค์ด้วยชุดฉลองพระองค์สีดำสนิทมิดชิดรัดกุม ก่อนจะทรงจูงม้าคู่พระทัยแล้วผลุบออกจากค่ายไปโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้
ทรงบังคับม้าควบผ่านผืนป่าลำเนาห้วยละหานโจนทะยานผ่านข้ามคูคันนามุ่งสู่กรุงละวิรัฐราวราชสีห์ผยองลำพองกาย
ตราบกระทั่งเมื่อพระองค์ทรงม้าเข้ามาจนใกล้ขอบขันฑสีมาพระนครละวิรัฐจึงทรงหยุดแลผูกม้าของพระองค์ไว้ยังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะทอดพระเนตรไปยังประตูพระนครอันมีทหารรักษาการณ์คอยตรวจตราผู้ผ่านเข้าออกอยู่อย่างเข้มงวด
อันกรุงละวิรัฐในยามนั้น ถึงแม้จะเป็นเพลาราตรีภาค หากแต่เป็นพระนครอันยิ่งใหญ่ จึงมีผู้คนแลกองเกวียนแบกขนสรรพสัมภาระนานาผ่านไปมาอยู่เป็นเนืองนิจมิได้ขาด
เบื้องในจากกำแพงพระนครนี้มีบ้านเรือนประชาชนปลูกสร้างอยู่มากมาย เรียงรายตลอดสองข้างทางอันมุ่งสู่พระบรมมหาราชวังอันโอฬารตระการตาที่เบื้องหน้า
พระราชวังละวิรัฐอันโออ่าอลังการโอบล้อมด้วยกำแพงวังอันสูงใหญ่และแข็งแกร่งดุจภูผาหินอันตระหง่านท้าลมฝน เหล่าทหารพระราชวังต่างเดินเวรยามกันเป็นกิจวัตร แลเห็นคบเพลิงมากมายจุดกระจายกันอยู่ตามป้อมและหอรักษาการณ์แลดูแน่นหนาน่าสะพรึงกลัว
ถัดจากกำแพงพระราชวังนี้เข้าไป จะเป็นหมู่พระตำหนัก พระมณเฑียร หอพระเทพอีมู หอกลอง หอระฆัง จนกระทั่งถึงพระที่นั่งบรมสวรรค์อันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชรา
รอบๆพระที่นั่งนั้น มีทหารรักษาการณ์เดินเวรยามกันอยู่แน่นหนาก็จริง หากแต่ภายในพระที่นั่งนั้นออกจะดูมืดสลัวแลเงียบสงัด
เนื่องจากเป็นเขตพระราชฐานชั้นในเฉพาะพระมหากษัตริย์แลพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง หามีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาได้ไม่
ภายในห้องพระบรรทมแห่งสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา เพลานั้น เจ้านางทรงกำลังบรรทมอย่างสบายอยู่บนพระแท่น อันมีพระวิสูตรบางเบากางกั้นอยู่กลายชั้น
ทันใดกันนั้นเอง พระวิสูตรทั้งมวลก็พลันถูกกระชากออกจนหมดโดยมืออันฉกาจฉกรรจ์ จนเจ้านางทรงตกพระทัยตื่นบรรทมแลหันมาทอดพระเนตรด้วยความตะลึง
" อ๊ะ..!!! ท่านเจ้าฟ้ามูรตี... "
เจ้านางดำรัสเสียงแหลมไปยังบุรุษผู้กระชากพระวิสูตรออกนั้น
" เจ้า... เจ้ารู้นามเราได้กระไรกัน "
" พระนามแลพระบรมสาทิสลักษณ์ประจักษ์ไปทั่วแว่นแคว้นแดนละวิรัฐ "
" โอเจ้า... แก้วกานดาแม่ยาหยี "
" ท่านเจ้าฟ้ามูรตีผู้งามสง่า "
" ไปอโยธยากับเราเถิด "
จบพระดำรัส เจ้านางแก้วกานดาทรงทำพระเนตรโต
" อุ๊ย...กระไรได้ "
ทรงหยุดไปครู่พลางทรงค้อนควัก
" จะมาตรัสง่ายๆเช่นนี้... ไม่มีทาง "
" แต่เจ้าต้องไป "
เจ้าฟ้ามูรตีดำรัสลั่น
" ไม่เพคะ "
" ต้องไป "
" ไม่ "
เจ้านางทรงลั่นตอบด้วยพระสุรเสียงสนั่น
บัดดลกันนั้น...
ฉาด..ด..ด !! เจ้าฟ้ามูรตีทรงวาดพระหัตถาซัดพระพักตร์เจ้านางจนองค์ทรุดสลบไศลไปในทันที
ด้วยเหตุฉะนี้ เจ้าฟ้ามูรตีจึงทรงแบกพระร่างเจ้านางแก้วกานดาไปได้โดยง่าย
* * * * * * * * *
จบบทที่ 6 โปรดติดตามต่อบทที่ 7
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 6
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
*****************
บทที่ 6
แผ่นดินละวิรัฐเมื่อปราศจากสมเด็จเจ้าฟ้ฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ มาทรงเอาพระทัยใส่ดังเช่นที่เคยเป็นมา ก็ดูราวกับว่าความสับสนวุ่นวายต่างๆอันพึงจะมีนั้นก็พลันอุบัติขึ้นทีละน้อย
อันสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายาผู้ทรงต้องแบกพระราชภาระกิจแทนเจ้าฟ้าฉกรรณราชากระนั้น ก็หาทรงปฏบัติพระราชกรณียกิจการงานเมืองได้เต็มประสิทธิภาพไม่ เนื่องเพราะทรงได้รับมอบหมายจากพระสวามีให้คอยดูแลอบรมสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา พระขนิษฐาผู้มีพระสติไม่ใคร่ปกติดังชนทั่วไปอยู่นั้น
- - - - - - - - -
วันหนึ่ง...
" เจ้านางแก้วกานดา...? "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ทรงดำรัสด้วยพระสุรเสียงลั่น ในทันทีที่สายพระเนตรทั้งคู่ของพระนางพลันทอดไปเห็นสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาทรงกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนยอดพระมหามณเฑียรปราสาท โดยมีบรรดานางรองบาททั้งหลายต่างพากันเต้นผ่างพลางกรีดร้องก้อง
" อ๊ายยย... !!!! เจ้านางเพคะ อย่าเพคะเจ้านาง "
" ทรงลงมาเถิดเพคะ เดี๋ยวทองหุ้มยอดพระมณเฑียรหมองหม่น "
" ทรงลงมายลโฉมพฤกษาที่เบื้องพสุธาข้างล่างนี้ดีกว่าเพคะเจ้านางขา "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงชี้พระดัชนีไปที่สมเด็จเจ้านางแก้วกานดา จึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสนั่นปานเทวบัญชา
" แก้วกานดา !!...จงลงมาเดี๋ยวนี้ "
- - - - - - - - -
ภายในท้องพระโรงเล็ก
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา เสด็จประทับบนพระโธรนทองคำ ทรงทอดพระเนตรไปยังสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา ซึ่งทรงประทับนั่งอยู่ ณ พระแท่นอีกองค์ โดยมีเหล่าบรรดานางรองบาทหมอบราบอยู่กับพื้นด้วยเกรงพระอาญา
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงทอดพระเนตรเหล่าข้าราชบริพารเหล่านั้นคราหนึ่งจึ่งตรัส
" พวกเจ้าจงออกไปก่อน "
สิ้นพระวาจาแห่งพระนาง เหล่านางกำนัลทั้งมวลก็พากันคลานออกจากท้องพระโรงเล็กแห่งนั้นไป
เมื่อทวารท้องพระโรงปิดสนิท สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาก็ทรงลุกขึ้นจากพระโธรนทองคำ พลางทรงพระดำเนินมายังสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาซึ่งทรงประทับนั่งนิ่งเงียบอยู่นั้น
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงประทับลงนั่งเคียงคู่พลางทรงยกพระหัตถาขึ้นลูบไล้เรือนพระเกศาอันอำขลับแห่งสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาผู้เลอโฉมคราหนึ่งจึ่งตรัส
" แก้วกานดา... เจ้ารู้หรือไม่ว่าละวิรัฐประเทศเรานี้ กำลังตกอยู่ในที่ลำบากนัก อันทูลกระหม่อมพ่อของเจ้าก็ทรงชราภาพแลประชวรอยู่เป็นนิจ กิจการงานเมืองทั้งมวลจึงต้องตกเป็นพระราชภาระแห่งเจ้าพี่ฉกรรณราชา ซึ่งครานี้ก็กำลังทรงเดินทางไปเกาะเทพธิดา เช่นนี้ เจ้ายังจะมามัวสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงจิตราเช่นทารกอยู่ได้กระนั้นฤา หากแม้นอริราชศัตรูล่วงรู้จุดอ่อนแห่งเราแล้วไซร้ อาจฉวยโอกาสจู่โจมละวิรัฐจนแตกดับ เจ้าจะมีหน้ารอพบเจ้าพี่ฉกรรณราชาอยู่ได้กระไรกัน "
เจ้านางแก้วกานดาทรงหันพระพักตร์มาจึ่งตรัส
" ข้ามิเห็นเลยว่าละวิรัฐเราจะด้อยกว่าอาณาจักรอื่นตรงไหน ดูไปแล้วออกจะกล้าแกร่งกว่าเหล่าอริราชเสียด้วยซ้ำ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาดำรัสขึ้นครานั้นว่า
"ดูรา แก้วกานดายาหยี เจ้านั้นประมาทกำลังข้าศึกเกินไป อย่างน้อยก็ยังมี เจ้าฟ้ามูรตี แห่งอนันตา กระนั้นเล่า ร่ำลือกันหนากรรณว่าเป็นพระอุปราชเจ้าผู้เหี้ยมหาญดุดันเหลือประมาณ กระทำศึกรอบด้านแผ่ขยายอาณาเขตประเทศให้แก่สมเด็จพระเจ้ากรุงอนันตาจนเลื่องลือระบือนามไปทั่วทุกแห่งหนในเกวลปฐพี
เจ้านางแก้วกานดาเสด็จลุกขึ้นจากพระที่ พลางทรงพระดำเนินมายังพระบัญชรสถาน ก่อนจะทรงทอดพระเนตรออกไปไกลยังขอบฟ้าด้านเบื้องหรดีทิศา อันเป็นที่ตั้งของอาณาจักรอนันตา
" เช่นนั้นก็ดีสิ... หากแม้นองค์มูรตีกรีฑาทัพอนันตามาละวิรัฐเมื่อใด ข้าจะพลีกายเซ่นสวาทเย้นหยันเจ้าพี่ฉกรรณราชาเสียเลยกระนั้น "
ฉับพลัน ราวกลองมโหรทึกลั่น...
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงผุดลุกขึ้นทันใดพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงสะท้าน
" แก้วกานดาเจ้า... !! มิไยจึ่งตรัสอุบาทว์วจีรานให้เสื่อมราศีละวิรัฐประเทศกระนี้หนอ "
" ข้าขอองค์ "
จบคำ สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาทรงเชิดพระพักตร์พลางทรงสะบัดชายพระภูษาขึ้นคล้องพระพาหาก่อนทรงพระดำเนินออกจากท้องพระโรงเล็กแห่งนั้นไปด้วยพระทีท่าองอาจดุจนางพญา ทิ้งให้สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงยืนนิ่งอึงอยู่ครู่ใหญ่
" โอ้เอย ละวิรัฐ ฤาครานี้จะถึงกาลวิบัติแห่งแผ่นดินเสียแล้วนี่ก็มิรู้ "
จบคำ สมเด็จทรงทอดพระเนตรเหล่าหมู่นกกระแต้วแร้วที่บินเคียงคู่กันผ่านขอบฟ้าด้านหรดีทิศาไป
- - - - - - - - -
ท่ามกลางสมรภูมิรบอันหฤโหด...
เหล่าไพร่พลคชสารแลอัศวมหาศาลแห่งอนันตา ได้กรีฑาทัพเข้าทำศึกกับอาณาจักรพะคัมด์ด้วยความห้าวหาญ
เสียงศาสตราวุธกระทบกันดังสนั่นลั่นทุ่ง แลไปยังทิศใดก็เห็นแต่ฝุ่นควันธุลีจากดินทรายและกองเพลิงที่เผาไหม้โชยคลุ้งไปทั่วแดน
การศึกครั้งนี้ ไพร่พลทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ซึ่งในที่สุดแล้ว ฝ่ายอนันตาก็เป็นผู้ได้ชัย จนสามารถตีเมืองสำคัญๆคืนมาได้จนเกือบหมด
เมื่อการศึกจบสิ้นลงครานี้ พลันปรากฏฝีเท้าอาชาตัวหนึ่งเหยาะย่างผ่านเหล่าซากศพที่นอนเรียงรายตายเกลื่อนสุดสังเวชบนพื้นพสุธาแห่งนั้นไปอย่างช้าๆ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้าเหล่าไพร่พลทหารหาญซึ่งกำลังหมอบกราบอยู่กับพื้น
บุรุษผู้สง่าลงจากอาชานั้น ที่แท้เป็นองค์สมเด็จเจ้าฟ้ามหามูรตีศรีอุปราช พระชนมายุ 33 พระชันษาเศษ ซึ่งขณะนี้ ทรงมีพระวรกายงดงามสูงใหญ่ดุจราชสีห์ ดวงพระพักตร์เอิบอิ่มสุขปลั่งกระจ่างใสราวกับเทพยดาบนเบื้องสรวง พระขนงดกดำขลับแลหนาน่าหลงใหล อีกทั้งพระนาสิกนั้นเล่าก็งดงามเข้ารูปกับพระโอษฐ์อันเรียวบางดุจกลีบดอกจำปา
มโหรีประจำกองทัพพลันประโคมเพลง เทวาประสิทธิชัย ก่อนเจ้าพนักงานลั่นระฆังกังวาลก้องสามคำรบ
แม่ทัพทองถึง ยาตราเข้ามาคุกเข่าถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม มาตรว่าเพลานี้ ทัพอนันตาเราตีได้เมืองเก่าอันถูกอาณาจักรพะคัมด์ยึดครองไปนั้นกลับคืนมาจนหมดสิ้นแล้วพะย่ะค่ะ "
" ดี... เช่นนั้น คืนนี้เราจะจัดงานเฉลิมฉลองที่กองทัพ ให้ไพร่พลยุทธนาได้ผ่อนคลาย "
" เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้วพะย่ะค่ะ "
- - - - - - - - -
ณ ราตรีนั้น... ขณะที่กองทัพอนันตากำลังมีงานรื่นเริง
บนยอดเขาอันสูงใหญ่ เจ้าฟ้ามูรตีกำลังประทับยืนอยู่กับมหาอำมาตย์เอก พลางทรงทอดพระเนตรออกไปไกลยังขอบฟ้าด้านอุดรทิศาจึ่งตรัส
" ถัดจากเทือกเขาโน่นไปคงเป็นอาณาจักรละวิรัฐมิใช่หรือท่านอำมาตย์ "
" พะย่ะค่ะ ใต้ฝ่าพระบาท "
" แล้วท่านมีความเห็นเป็นประการใด ถ้าหากว่าเราจะกรีฑาทัพไปละวิรัฐ "
" ขอเดชะ เกล้ากระหม่อมฉันตรองดูแล้วเห็นว่าเพลานี้พระเจ้ากรุงละวิรัฐทรงชราภาพมาก และกำลังประชวรหนัก หากแม้นเรายกทัพไปตี อาจถูกครหาว่าข่มเหงผู้ชรา ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศขัตติยราชได้ เช่นนั้น จึงควรจะปล่อยให้ตายไปเอง จนกว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชาผู้มีชันษาเสมอใต้ฝ่าพระบาทขึ้นครองแผ่นดินค่อยกระทำศึกก็ยังมิสาย "
" เราก็คิดเห็นเช่นเดียวกันกับท่านอำมาตย์ "
ตรัสจบ มหาอำมาตย์เอกดั่งรู้ทัน จึงขยับกายเข้าชิดองค์พลางกระซิบกราบทูล
" แต่ร่ำลือกันมากว่า เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงมีพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตที่ทรงพระสิริโฉมดุจเทพธิดาอยู่หนึ่งพระองค์ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงทำดวงพระเนตรเบิกโพลงคราหนึ่งจึ่งตรัส
" เช่นนั้น เห็นทีครานี้เราคงต้องขอยลโฉมสักคราว่าจะงามจริงดังคำท่านว่าฤาไม่ "
- - - - - - - - -
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีกาล...
เจ้าฟ้ามูรตีทรงปลอมพระองค์ด้วยชุดฉลองพระองค์สีดำสนิทมิดชิดรัดกุม ก่อนจะทรงจูงม้าคู่พระทัยแล้วผลุบออกจากค่ายไปโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้
ทรงบังคับม้าควบผ่านผืนป่าลำเนาห้วยละหานโจนทะยานผ่านข้ามคูคันนามุ่งสู่กรุงละวิรัฐราวราชสีห์ผยองลำพองกาย
ตราบกระทั่งเมื่อพระองค์ทรงม้าเข้ามาจนใกล้ขอบขันฑสีมาพระนครละวิรัฐจึงทรงหยุดแลผูกม้าของพระองค์ไว้ยังต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะทอดพระเนตรไปยังประตูพระนครอันมีทหารรักษาการณ์คอยตรวจตราผู้ผ่านเข้าออกอยู่อย่างเข้มงวด
อันกรุงละวิรัฐในยามนั้น ถึงแม้จะเป็นเพลาราตรีภาค หากแต่เป็นพระนครอันยิ่งใหญ่ จึงมีผู้คนแลกองเกวียนแบกขนสรรพสัมภาระนานาผ่านไปมาอยู่เป็นเนืองนิจมิได้ขาด
เบื้องในจากกำแพงพระนครนี้มีบ้านเรือนประชาชนปลูกสร้างอยู่มากมาย เรียงรายตลอดสองข้างทางอันมุ่งสู่พระบรมมหาราชวังอันโอฬารตระการตาที่เบื้องหน้า
พระราชวังละวิรัฐอันโออ่าอลังการโอบล้อมด้วยกำแพงวังอันสูงใหญ่และแข็งแกร่งดุจภูผาหินอันตระหง่านท้าลมฝน เหล่าทหารพระราชวังต่างเดินเวรยามกันเป็นกิจวัตร แลเห็นคบเพลิงมากมายจุดกระจายกันอยู่ตามป้อมและหอรักษาการณ์แลดูแน่นหนาน่าสะพรึงกลัว
ถัดจากกำแพงพระราชวังนี้เข้าไป จะเป็นหมู่พระตำหนัก พระมณเฑียร หอพระเทพอีมู หอกลอง หอระฆัง จนกระทั่งถึงพระที่นั่งบรมสวรรค์อันเป็นที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชรา
รอบๆพระที่นั่งนั้น มีทหารรักษาการณ์เดินเวรยามกันอยู่แน่นหนาก็จริง หากแต่ภายในพระที่นั่งนั้นออกจะดูมืดสลัวแลเงียบสงัด
เนื่องจากเป็นเขตพระราชฐานชั้นในเฉพาะพระมหากษัตริย์แลพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง หามีผู้ใดกล้าล่วงล้ำเข้ามาได้ไม่
ภายในห้องพระบรรทมแห่งสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา เพลานั้น เจ้านางทรงกำลังบรรทมอย่างสบายอยู่บนพระแท่น อันมีพระวิสูตรบางเบากางกั้นอยู่กลายชั้น
ทันใดกันนั้นเอง พระวิสูตรทั้งมวลก็พลันถูกกระชากออกจนหมดโดยมืออันฉกาจฉกรรจ์ จนเจ้านางทรงตกพระทัยตื่นบรรทมแลหันมาทอดพระเนตรด้วยความตะลึง
" อ๊ะ..!!! ท่านเจ้าฟ้ามูรตี... "
เจ้านางดำรัสเสียงแหลมไปยังบุรุษผู้กระชากพระวิสูตรออกนั้น
" เจ้า... เจ้ารู้นามเราได้กระไรกัน "
" พระนามแลพระบรมสาทิสลักษณ์ประจักษ์ไปทั่วแว่นแคว้นแดนละวิรัฐ "
" โอเจ้า... แก้วกานดาแม่ยาหยี "
" ท่านเจ้าฟ้ามูรตีผู้งามสง่า "
" ไปอโยธยากับเราเถิด "
จบพระดำรัส เจ้านางแก้วกานดาทรงทำพระเนตรโต
" อุ๊ย...กระไรได้ "
ทรงหยุดไปครู่พลางทรงค้อนควัก
" จะมาตรัสง่ายๆเช่นนี้... ไม่มีทาง "
" แต่เจ้าต้องไป "
เจ้าฟ้ามูรตีดำรัสลั่น
" ไม่เพคะ "
" ต้องไป "
" ไม่ "
เจ้านางทรงลั่นตอบด้วยพระสุรเสียงสนั่น
บัดดลกันนั้น...
ฉาด..ด..ด !! เจ้าฟ้ามูรตีทรงวาดพระหัตถาซัดพระพักตร์เจ้านางจนองค์ทรุดสลบไศลไปในทันที
ด้วยเหตุฉะนี้ เจ้าฟ้ามูรตีจึงทรงแบกพระร่างเจ้านางแก้วกานดาไปได้โดยง่าย
* * * * * * * * *
จบบทที่ 6 โปรดติดตามต่อบทที่ 7