เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
*****************
บทที่ 4
ท่ามกลางไอสุริยาอันทอรัศมีแผดจ้าเหนือแผ่นพื้นวสุนธราแห่งอาณาจักรละวิรัฐ
บัดเพลานั้น...
ณ บริเวณริมฝั่งสวรรค์ธารามหานทีอันยิ่งใหญ่ที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตทั้งสองฝากฝั่งให้ดำเนินเนื่องไปตามครรลอง
เหล่าทาสมากมายทั้งชายหญิงกำลังเร่งรีบแบกหามก้อนหินผาแลกรวดดินทรายไปถมลำน้ำเพื่อขวางกั้นกระแสชลให้เอ่อล้นขึ้นเป็นเขื่อนเก็บกักน้ำอันมโหฬารบานตะไท ภายใต้เบื้องพระบัญชาการแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ พระราชโอรสแห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐองค์ปัจจุบันอันชราภาพ
การทุกสิ่งสรรพในแผ่นดินนั้น เป็นพระราชภาระอันหนักอึ้งที่องค์เจ้าฟ้าหนุ่มผู้องอาจสง่างามผู้นี้พึงจะต้องปฏิบัติแทนองค์กษัตริย์ผู้เป็นพระราชบิดาจนดูราวกับว่าพระราชอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศเขตขัณฑสีมานั้นจะตกอยู่แก่องค์เจ้าฟ้าพระองค์นี้อยู่เป็นพื้น
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงทอดพระเนตรการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำด้วยความสนพระราชหฤทัยเป็นที่ยิ่ง ทรงมีพระดำรัสขึ้นว่า
" การทุกอย่างสำเร็จไปกี่มากน้อยแล้ว ท่านอำมาตย์ "
อำมาตย์ชราผู้หนึ่งกราบถวายบังคมจึ่งทูลสนอง
" ขอเดชะใต้ฝ่าพระบาทองค์เจ้าฟ้าผู้ผ่านพิภพละวิรัฐ ณ บัดนี้ การสำเร็จไปกว่าค่อนของทั้งโดยรวมแล้ว พระเจ้าข้าขอรับ "
" ประเสริฐนัก จงโหมงานให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผลก่อนฤดูน้ำหลากในอีกไตรมาสเบื้องหน้าจะเป็นการเหมาะ "
" รับสนองพระราชโองการประสานทุกสรรพสิ่งพระเจ้าข้า "
ครู่หนึ่ง... องค์เจ้าฟ้าทรงผินพระพักตร์ซ้ายขวาจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสนั่น
" เอ๊ะนี่... สมเด็จพระขนิษฐาแห่งเราไปอยู่ ณ ที่หนใด "
เหล่าข้าราชบริพารต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกเป็นที่ยิ่งเมื่อได้ยินพระดำรัสหา มหาดเล็กผู้หนึ่งรีบยื่นหน้าสลอนกราบบังคม
" ขอเดชะ ทรงอยู่ในสวนมะเดื่อแลสวนหนวด พระเจ้าข้าขอรับ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงพระเนตรเบิกโพลงในบัดดล
- - - - - - - - -
ภายในมุมหนึ่งของป่าละเมาะ...
บังเกิดสุรเสียงอันอึงมี่ของเหล่าบรรดาอิสตรีมากมายนับร้อยดังระงมไปทั่วป่า ตามด้วยเสียงดังพึบพับของผ้านุ่งที่โบกสะบัดไปทั่วจนฝุ่นธุลีคละคลุ้งขาวโพลนราวกับมีกลศึกจากอริราช
" อุ๊ย... นางกำนัลทั้งมวลจ๊ะ ลองทำตามวิธีอย่างเรานี่สิ สนุกกระไรเลย "
เจ้านางพระองค์หนึ่งทรงถลามายังกอต้นไม้กลุ่มหนึ่งซึ่งมีหนวดยาวชูไสว ก่อนจะทรงถลกชายพระภูษาขึ้นแล้วยืนคร่อมลงไปบนกอไม้นั้น
" เริด... พอฤทัยยิ่ง "
" จริงๆ เพคะ เจ้านาง "
ทันใดกันนั้นเอง บังเกิดฝ่าหัตถาอันกล้าแกร่งพุ่งทะยานมาจากทิศใดไม่ทราบได้
ฉาด..ด..ด..ด !!
ฝ่ามือนั้นวาดเข้าซัดพระพักตร์แห่งเจ้านางสาวรุ่นพระองค์นั้นจนพระวรร่างถลาไถลลอยละลิ่วไปล้มฟุบอยู่กับพื้นหญ้าอันหนานุ่ม สไบฉีกขาด แลสร้อยพระศอทับทิมประดับเพทายขาดกระจายเกลื่อน ก่อนจะทรงผุดขึ้นประทับนั่งพลางทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ที่ถูกกระหน่ำซัดจนแดงก่ำนั้นพลันตวาดใส่ผู้ทำร้ายองค์
" ทรงตบหม่อมฉันด้วยเหตุฉันใดกันเพคะ เจ้าพี่ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชา เจ้าของหัตถาผู้สาดซัดได้ทรงชี้พระดัชนีมายังเจ้านางพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงเดือดดาลสุดประมาณนับ
" แก้วกานดาขนิษฐาเรา มิไยเข้าจึงกอบกิจคิดอุบาทว์ชาติอสูรเช่นนี้ "
" เจ้าพี่ทรงลองดูสิเพคะ "
สมเด็จเจ้านางแก้วกานดา อิสตรีผู้นั้นพลันถลำกายเข้ามาใกล้ก่อนทรงยื่นพระพักตร์สลอนยั่วพระโทสะ
ฉาด..ด..ด !!
สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศผู้เป็นพระเชษฐาสุดจะยังยั้งพระอารมณ์เดือดเอาไว้ได้จึ่งทรงวาดพระหัตถาใส่พระพักตร์สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระขนิษฐาอีกคราจนเจ้านางทรงถลาล้มคว่ำคะมำหงายไปในบัดดล
" เสลี่ยงอยู่หนใด ? "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสจบ เหล่าโขลนนับสิบต่างรีบกุลีกุจออัญเชิญพระเสลี่ยงองค์หนึ่งวิ่งมาโดยพลัน
" พระเสลี่ยงมาแล้วเพคะฝ่าพระบาท "
นางกำนัลผู้หนึ่งกราบทูล
" เชิญเสด็จสมเด็จพระขนิษฐากลับวัง "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสจบ เจ้านางแก้วกานดาทรงผุดลุกขึ้นเสด็จประทับพระเสลี่ยงด้วยพระอารมณ์ขุ่นข้อง ฝ่ายองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเองก็ทรงพระดำเนินไปยังพระเสลี่ยงประจำพระองค์ ก่อนจะประทับบนพระเสลี่ยงองค์นั้น
ครู่หนึ่ง เจ้าพนักงานมโหรีพลันประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ และประทั่งมโหระทึกเป็นสัญญาณก่อนที่กระบวนเสด็จสองเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งอาณาจักรละวิรัฐค่อยๆเคลื่อนคล้อยออกจากบริเวณนั้นมุ่งสู่พระบรมมหาราชวังในทันใด
เหล่าพสกนิกรทั้งหลายต่างมาเรียงรายเฝ้าแหนแลยลพระพักตร์หน่อองค์กษัตราผู้งามสง่าทั้งสองพระองค์ ซึ่งหนึ่งในหมู่มวลประชาราษฎร์ที่หมอบราบอยู่กับพื้นนั้นก็มีหนึ่งเป็นอิสตรีวัยเยาว์ผู้งดงามตานามว่า มาร์ฒแม้นดารณีย์ รวมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
นางมาร์ฒแม้นดารณีย์ผู้นี้มีจิตปฏิพัทธ์ในองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาอยู่เป็นพื้น นางมักจะเฝ้าติดตามองค์เจ้าฟ้าในทุกๆที่ที่เสด็จ เพียงเพื่อจะได้ยลโฉมอันงามสง่าดุจเทพยดาบนสรวงสวรรค์แห่งเจ้าฟ้าสุพรรณราชาพระองค์นั้นแค่นี้นางก็ชื่นแก่หทัยแล้ว
ครานี้ก็เช่นกัน นางมาร์ฒแม้นดารณีย์ดวงหทัยระทวยระทึกโดยพลันเมื่อได้ยลโฉมเชื้อพระวงศ์พระองค์นั้นอย่างใกล้ชิด ดวงเนตรอันแช่มช้อยของนางนั้นชอนไชไปทั่วทุกสรรพางค์แห่งองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาอย่างคลั่งไคล้แลใหลหลง กระทั่งพระเสลี่ยงที่ประทับแห่งองค์นั้นเคลื่อนลับไปแล้ว นางก็ยังคงชะเง้อคอมองอย่างไม่วางตา จนอิสตรีอีกผู้ที่นั่งหมอบอยู่ข้างๆได้กล่าวขึ้นว่า
" มองตาไม่กระพริบเชียวหนอเจ้า "
" งามดุจเทพบุตรเช่นนี้ หากแม้นได้อยู่ชิดเคียงใกล้สนองบาทบาทาไท้คงสุขสมฤทัยปอง "
" มิไยไม่ไปเสนอตนถวายตัวที่วังเจ้าล่ะ ได้ข่าวว่าเพลานี้ทางวังหลวงกำลังสรรหาอิสตรีหน้าใหม่ไปเป็นนางในกระนั้น "
สตรีผู้นั้นกล่าวจบ มาร์ฒแม้นดารณีย์หันขวับมาทำตาโตพลางยิ้มอย่างปรีดายิ่ง นางเอ่ย
" จริงฤาเจ้า... !! โอ... ครานี้เห็นทีข้าคงสุขสมหวังดังหทัยเป็นแน่แท้ "
" รีบไปสิแม่คุณ ประเดี๋ยวจะพลาดตำแหน่งงามๆ "
จบคำกล่าวของนางผู้นั้น มาร์ฒแม้นดารณีย์ก็หายตัวไปพลันราวกับพายุ
- - - - - - - - -
ณ ท้องพระโรงพระราชวังละวิรัฐอันโออ่าอลังการแลโอฬารยิ่ง
เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาอิสตรีทั้งหลายจากทั่วพระราชอาณาจักรในชุดอาภรณ์พรรณอันหลากหลายสีที่กำลังหมอบราบอยู่กับพื้น ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชราผู้เป็นพระราชบิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชาพระโอรส และสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระราชธิดา
ในครานี้ มหาดเล็กหน้าพระที่ได้อ่านพระบรมราชโองการด้วยเสียงอันดังสนั่นว่า
" ด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระตำหนักในนั้นขาดนางพระกำนัลอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทรงมีพระบัณฑูรแถลงให้จัดหาเหล่าอิสตรีที่เหมาะสมแก่การสนองพระราชกิจเป็นการเฉพาะ ดังนั้น จึงเห็นควรให้เหล่าสตรีที่ได้รับการคัดเลือกแลได้เฝ้าถวายบังคมอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้แล้วเป็นนางในรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท ส่วนอิสตรีที่เหลือนับจากนี้ไปให้ตั้งสำรองไว้ในกรณีที่มีผู้ใดไม่สามารถสนองกิจการได้ "
มหาดเล็กอ่านพระราชโองการจบก็กราบถวายบังคมลา
ฝ่ายมาร์ฒแม้นดารณีย์ผู้มาล่าช้า จึงต้องก้มหน้าตาละห้อยศอตกกลับนิวาสสถานบ้านช่องห้องหอของตนไปด้วยความผิดหวัง
- - - - - - - - -
ภายหลังจากนั้นอีกหลายวัน
ขณะที่มาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังซักอาภรณ์พรรณของตนอยู่ที่ริมท่าน้ำหน้าเรือน โดยพลัน... ก็มีเรือแจวลำหนึ่งแต่งเครื่องอย่างเรือในวังลอยลำเข้ามาใกล้ บนเรือมีชายสามคน สองสวมชุดอย่างมหาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งสวมชุดอย่างพลทหารแลเห็นผู้แจวเรือลำนั้น ทั้งหมดตรงมายังเหย้าเรือนของมาร์ฒแม้นดารณีย์ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตะโกนร้องถามนางซึ่งกำลังซักอาภรณ์อยู่ว่า
" ที่แห่งนี้คือเหย้าเรือนของมาร์ฒแม้นดารณีย์ใช่หรือไม่ "
มาร์ฒแม้นดารณีย์เงยหน้ามองชายทั้งสามจึ่งตอบไปว่า
"ใช่แล้วพ่อคุณ ข้านี่แหละมาร์ฒแม้นดารณีย์ที่ท่านถามหา "
ทันใดกันนั้น... มหาดเล็กผู้หนึ่งพลันฉวยมวนผ้าผืนหนึ่งพลันคลี่ออก ที่แท้เป็นมวนผ้าอักขระ ซึ่งมหาดเล็กผู้นั้นก็อ่านข้อความที่ลิขิตไว้บนผ้าผืนนั้นด้วยเสียงอันดังสนั่นลั่นไปทั้งคุ้งน้ำจนเหล่าบรรดาชาวบ้านจากเรือนต่างๆในละแวกนั้นพากันชะโงกหน้ามามองกันสลอน
" ด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ เหตุฉะนี้ จึ่งทรงมีพระบัณฑูรแถลงตามที่คุณท้าวธรรมเนียมวังได้กราบบังคมทูลว่า มาร์ฒแม้นดารณีย์ อิสตรีผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในพระองค์ได้มุ่งมั่นในอันที่จะสนองรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทเป็นยิ่งนัก ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้นางมาร์ฒแม้นดารณีย์เข้าวังโดยด่วนที่สุด เพื่อถวายตัวเป็นนางในแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ในบัดดล "
มหาดเล็กอ่านพระบรมราชโองการจบก็มอบมวนพระราชโองการทั้งนั้นให้แก่มาร์ฒแม้นดารณีย์รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปกราบบูชา มาร์ฒแม้นดารณีย์ปลื้มปิติเป็นล้นพ้นสุดประมาณจนสายน้ำอัสสุชลท้วมท้นเจิงนองอาบชุ่มพลางตะโกนก้องไปทั่วท้องน้ำด้วยความเริงร่า
" ข้าได้เข้าวังแล้ว... "
ทันใด.. เหล่ามหาดเล็กรีบกล่าวขึ้น
" อย่าช้าไย รีบเข้าวังเถิด "
" ขอข้าเก็บสัมภาระสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่ "
" ทิ้งไว้ที่นี่แหละ ในวังมีดาษดื่น มิต้องเตรียมสิ่งใดไป "
จบคำ เหล่าชายทั้งมวลรีบกุลีกุจอพามาร์ฒแม้นดารณีย์ลงเรือลำนั้นไปโดยพลัน แลเรือแจวลำนั้นก็ลอยละล่องไปตามลำน้ำอย่างรวดเร็ว "
" เหตุฉันใดจึงต้องรีบร้อนปานฉะนี้ข้าเองเสียอีกปรีดากว่ายังมิร้อนหทัยดั่งพวกท่านกระนั้นเลย แล้วนี่นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช นั้นคือกิจการอันใดกันหรือท่าน "
เหล่ามหาดเล็กต่างมองหน้ากันก่อนกล่าวขึ้นว่า
" ก็นางแบกกระโถนนะสิเจ้าเอ๋ย "
" หา...!!? "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงพลางร้องเสียงหลง
- - - - - - - - -
กาลต่อมา...
ขณะมาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังนั่งหมอบอยู่หน้าหญิงชราผู้หนึ่งซึ่งกำลังขบเคี้ยวหมากในปากอย่างเอร็ดอร่อยพลางจ้องมาด้วยนัยน์ตาเขม็ง หญิงชราผู้นี้คือ คุณท้าวธรรมเนียมวัง มีหน้าที่ฝึกปรือเหล่าบรรดานางในทั้งหลาย
ครู่หนึ่ง มีนางในอัญเชิญพระสุพรรณศรี แลพระสุพรรณราชมาอย่างละองค์ ก่อนจะวางลงตรงหน้ามาร์ฒแม้นดารณีย์นั้น ซึ่งนางก็จ้องมองกระโถนสีทองอร่ามตาทั้งสองใบด้วยใจระทึก คุณท้าวธรรมเนียมวังได้กล่าวขึ้นว่า
" กระโถนใหญ่ นั่นคือพระสุพรรณราช ใช้รองรับพระบังคนหนักและเบา หรืออุจจาระแลปัสสาวะ ส่วนกระโถนเล็กนั้นเล่าคือพระสุพรรณศรี ใช้รองรับพระน้ำหมาก อันหน้าที่ของเจ้านั้นก็คือคอยแบกสองสิ่งนี้ตามเสด็จองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาไปทุกหน เข้าใจไหม "
" เจ้าค่ะ คุณท้าว "
มาร์ฒแม้นดารณีย์รับคำก่อนจะหัดแบกกระโถนทั้งสองใบจนช่ำชองภายในเวลาไม่นานนัก เหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ ชะรอยคงเป็นเพราะดวงจิตปฏิพัทธ์ในอันที่จะได้สนองรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทองค์เจ้าฟ้าหนุ่มผู้งามสง่าอย่างใกล้ชิดกระนั้นเองกระมังหนอ
แท้ที่จริงแล้ว นางกลับมุ่งหมายมากมายกว่านั้น ความฝันอันสูงสุดแห่งนางนั้นก็คือ ได้เป็นนางสนมกำนัลในอนาคต ซึ่งนางก็จำจะต้องอดทนรอต่อไปด้วยจิตใจอันมาตรมั่นกระนั้นฤา
แต่การกลับมิได้เป็นดังหวังเสียแล้วกระมังนี่...
- - - - - - - - -
ณ ราตรีหนึ่ง...
ขณะที่มาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ตรงมายังหน้าห้องพระบรรทมแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ
เพลานั้น พลันหูของนางก็สดับได้ถึงพระสุรเสียงแห่งองค์เจ้าฟ้าผู้งามสง่ากำลังสนทนาพาทีอยู่กับบุรุษผู้หนึ่งในห้องพระบรรทมอย่างสนิทสนมกลมเกลียวกันเกินสหายสามัญธรรมดา
" อ๊ะ อ๊ะ... อย่าทำเช่นนั้นสิจ๊ะ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นเข้าจะเป็นที่ครหานินทาว่าร้ายแลเอาไปสาธยายต่อจนก่อให้เกิดความ "
พระสุรเสียงแห่งองค์เจ้าฟ้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงชายหนุ่มอันนุ่มลึกชวนหลงใหล
" มิมีผู้ใดอยู่ใกล้ในเพลานี้หรอกฝ่าบาท มาเถิด มาให้ข้าพระองค์ชื่นชมนวลปรางองค์หน่อยประไรไป "
มาร์ฒแม้นดารณีย์แนบกายเข้าชิดที่ข้างฝาอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆแง้มพระวิสูตรขึ้นเล็กน้อยเพื่อแอบชำเลืองมองภายในห้องพระบรรทมแห่งนั้น
[นิยายแนววายอลังการงานสร้าง] เจ้าฟ้ามูรตี : บทที่ 4
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
*****************
บทที่ 4
ท่ามกลางไอสุริยาอันทอรัศมีแผดจ้าเหนือแผ่นพื้นวสุนธราแห่งอาณาจักรละวิรัฐ
บัดเพลานั้น...
ณ บริเวณริมฝั่งสวรรค์ธารามหานทีอันยิ่งใหญ่ที่ไหลหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตทั้งสองฝากฝั่งให้ดำเนินเนื่องไปตามครรลอง
เหล่าทาสมากมายทั้งชายหญิงกำลังเร่งรีบแบกหามก้อนหินผาแลกรวดดินทรายไปถมลำน้ำเพื่อขวางกั้นกระแสชลให้เอ่อล้นขึ้นเป็นเขื่อนเก็บกักน้ำอันมโหฬารบานตะไท ภายใต้เบื้องพระบัญชาการแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ พระราชโอรสแห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐองค์ปัจจุบันอันชราภาพ
การทุกสิ่งสรรพในแผ่นดินนั้น เป็นพระราชภาระอันหนักอึ้งที่องค์เจ้าฟ้าหนุ่มผู้องอาจสง่างามผู้นี้พึงจะต้องปฏิบัติแทนองค์กษัตริย์ผู้เป็นพระราชบิดาจนดูราวกับว่าพระราชอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศเขตขัณฑสีมานั้นจะตกอยู่แก่องค์เจ้าฟ้าพระองค์นี้อยู่เป็นพื้น
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงทอดพระเนตรการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำด้วยความสนพระราชหฤทัยเป็นที่ยิ่ง ทรงมีพระดำรัสขึ้นว่า
" การทุกอย่างสำเร็จไปกี่มากน้อยแล้ว ท่านอำมาตย์ "
อำมาตย์ชราผู้หนึ่งกราบถวายบังคมจึ่งทูลสนอง
" ขอเดชะใต้ฝ่าพระบาทองค์เจ้าฟ้าผู้ผ่านพิภพละวิรัฐ ณ บัดนี้ การสำเร็จไปกว่าค่อนของทั้งโดยรวมแล้ว พระเจ้าข้าขอรับ "
" ประเสริฐนัก จงโหมงานให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผลก่อนฤดูน้ำหลากในอีกไตรมาสเบื้องหน้าจะเป็นการเหมาะ "
" รับสนองพระราชโองการประสานทุกสรรพสิ่งพระเจ้าข้า "
ครู่หนึ่ง... องค์เจ้าฟ้าทรงผินพระพักตร์ซ้ายขวาจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสนั่น
" เอ๊ะนี่... สมเด็จพระขนิษฐาแห่งเราไปอยู่ ณ ที่หนใด "
เหล่าข้าราชบริพารต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกเป็นที่ยิ่งเมื่อได้ยินพระดำรัสหา มหาดเล็กผู้หนึ่งรีบยื่นหน้าสลอนกราบบังคม
" ขอเดชะ ทรงอยู่ในสวนมะเดื่อแลสวนหนวด พระเจ้าข้าขอรับ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงพระเนตรเบิกโพลงในบัดดล
- - - - - - - - -
ภายในมุมหนึ่งของป่าละเมาะ...
บังเกิดสุรเสียงอันอึงมี่ของเหล่าบรรดาอิสตรีมากมายนับร้อยดังระงมไปทั่วป่า ตามด้วยเสียงดังพึบพับของผ้านุ่งที่โบกสะบัดไปทั่วจนฝุ่นธุลีคละคลุ้งขาวโพลนราวกับมีกลศึกจากอริราช
" อุ๊ย... นางกำนัลทั้งมวลจ๊ะ ลองทำตามวิธีอย่างเรานี่สิ สนุกกระไรเลย "
เจ้านางพระองค์หนึ่งทรงถลามายังกอต้นไม้กลุ่มหนึ่งซึ่งมีหนวดยาวชูไสว ก่อนจะทรงถลกชายพระภูษาขึ้นแล้วยืนคร่อมลงไปบนกอไม้นั้น
" เริด... พอฤทัยยิ่ง "
" จริงๆ เพคะ เจ้านาง "
ทันใดกันนั้นเอง บังเกิดฝ่าหัตถาอันกล้าแกร่งพุ่งทะยานมาจากทิศใดไม่ทราบได้
ฉาด..ด..ด..ด !!
ฝ่ามือนั้นวาดเข้าซัดพระพักตร์แห่งเจ้านางสาวรุ่นพระองค์นั้นจนพระวรร่างถลาไถลลอยละลิ่วไปล้มฟุบอยู่กับพื้นหญ้าอันหนานุ่ม สไบฉีกขาด แลสร้อยพระศอทับทิมประดับเพทายขาดกระจายเกลื่อน ก่อนจะทรงผุดขึ้นประทับนั่งพลางทรงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบพระพักตร์ที่ถูกกระหน่ำซัดจนแดงก่ำนั้นพลันตวาดใส่ผู้ทำร้ายองค์
" ทรงตบหม่อมฉันด้วยเหตุฉันใดกันเพคะ เจ้าพี่ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชา เจ้าของหัตถาผู้สาดซัดได้ทรงชี้พระดัชนีมายังเจ้านางพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงเดือดดาลสุดประมาณนับ
" แก้วกานดาขนิษฐาเรา มิไยเข้าจึงกอบกิจคิดอุบาทว์ชาติอสูรเช่นนี้ "
" เจ้าพี่ทรงลองดูสิเพคะ "
สมเด็จเจ้านางแก้วกานดา อิสตรีผู้นั้นพลันถลำกายเข้ามาใกล้ก่อนทรงยื่นพระพักตร์สลอนยั่วพระโทสะ
ฉาด..ด..ด !!
สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศผู้เป็นพระเชษฐาสุดจะยังยั้งพระอารมณ์เดือดเอาไว้ได้จึ่งทรงวาดพระหัตถาใส่พระพักตร์สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระขนิษฐาอีกคราจนเจ้านางทรงถลาล้มคว่ำคะมำหงายไปในบัดดล
" เสลี่ยงอยู่หนใด ? "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสจบ เหล่าโขลนนับสิบต่างรีบกุลีกุจออัญเชิญพระเสลี่ยงองค์หนึ่งวิ่งมาโดยพลัน
" พระเสลี่ยงมาแล้วเพคะฝ่าพระบาท "
นางกำนัลผู้หนึ่งกราบทูล
" เชิญเสด็จสมเด็จพระขนิษฐากลับวัง "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสจบ เจ้านางแก้วกานดาทรงผุดลุกขึ้นเสด็จประทับพระเสลี่ยงด้วยพระอารมณ์ขุ่นข้อง ฝ่ายองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเองก็ทรงพระดำเนินไปยังพระเสลี่ยงประจำพระองค์ ก่อนจะประทับบนพระเสลี่ยงองค์นั้น
ครู่หนึ่ง เจ้าพนักงานมโหรีพลันประโคมสังข์ แตร ดุริยางค์ และประทั่งมโหระทึกเป็นสัญญาณก่อนที่กระบวนเสด็จสองเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงแห่งอาณาจักรละวิรัฐค่อยๆเคลื่อนคล้อยออกจากบริเวณนั้นมุ่งสู่พระบรมมหาราชวังในทันใด
เหล่าพสกนิกรทั้งหลายต่างมาเรียงรายเฝ้าแหนแลยลพระพักตร์หน่อองค์กษัตราผู้งามสง่าทั้งสองพระองค์ ซึ่งหนึ่งในหมู่มวลประชาราษฎร์ที่หมอบราบอยู่กับพื้นนั้นก็มีหนึ่งเป็นอิสตรีวัยเยาว์ผู้งดงามตานามว่า มาร์ฒแม้นดารณีย์ รวมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
นางมาร์ฒแม้นดารณีย์ผู้นี้มีจิตปฏิพัทธ์ในองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาอยู่เป็นพื้น นางมักจะเฝ้าติดตามองค์เจ้าฟ้าในทุกๆที่ที่เสด็จ เพียงเพื่อจะได้ยลโฉมอันงามสง่าดุจเทพยดาบนสรวงสวรรค์แห่งเจ้าฟ้าสุพรรณราชาพระองค์นั้นแค่นี้นางก็ชื่นแก่หทัยแล้ว
ครานี้ก็เช่นกัน นางมาร์ฒแม้นดารณีย์ดวงหทัยระทวยระทึกโดยพลันเมื่อได้ยลโฉมเชื้อพระวงศ์พระองค์นั้นอย่างใกล้ชิด ดวงเนตรอันแช่มช้อยของนางนั้นชอนไชไปทั่วทุกสรรพางค์แห่งองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาอย่างคลั่งไคล้แลใหลหลง กระทั่งพระเสลี่ยงที่ประทับแห่งองค์นั้นเคลื่อนลับไปแล้ว นางก็ยังคงชะเง้อคอมองอย่างไม่วางตา จนอิสตรีอีกผู้ที่นั่งหมอบอยู่ข้างๆได้กล่าวขึ้นว่า
" มองตาไม่กระพริบเชียวหนอเจ้า "
" งามดุจเทพบุตรเช่นนี้ หากแม้นได้อยู่ชิดเคียงใกล้สนองบาทบาทาไท้คงสุขสมฤทัยปอง "
" มิไยไม่ไปเสนอตนถวายตัวที่วังเจ้าล่ะ ได้ข่าวว่าเพลานี้ทางวังหลวงกำลังสรรหาอิสตรีหน้าใหม่ไปเป็นนางในกระนั้น "
สตรีผู้นั้นกล่าวจบ มาร์ฒแม้นดารณีย์หันขวับมาทำตาโตพลางยิ้มอย่างปรีดายิ่ง นางเอ่ย
" จริงฤาเจ้า... !! โอ... ครานี้เห็นทีข้าคงสุขสมหวังดังหทัยเป็นแน่แท้ "
" รีบไปสิแม่คุณ ประเดี๋ยวจะพลาดตำแหน่งงามๆ "
จบคำกล่าวของนางผู้นั้น มาร์ฒแม้นดารณีย์ก็หายตัวไปพลันราวกับพายุ
- - - - - - - - -
ณ ท้องพระโรงพระราชวังละวิรัฐอันโออ่าอลังการแลโอฬารยิ่ง
เพลานั้น กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งบรรดาอิสตรีทั้งหลายจากทั่วพระราชอาณาจักรในชุดอาภรณ์พรรณอันหลากหลายสีที่กำลังหมอบราบอยู่กับพื้น ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชราผู้เป็นพระราชบิดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชาพระโอรส และสมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระราชธิดา
ในครานี้ มหาดเล็กหน้าพระที่ได้อ่านพระบรมราชโองการด้วยเสียงอันดังสนั่นว่า
" ด้วยสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระตำหนักในนั้นขาดนางพระกำนัลอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทรงมีพระบัณฑูรแถลงให้จัดหาเหล่าอิสตรีที่เหมาะสมแก่การสนองพระราชกิจเป็นการเฉพาะ ดังนั้น จึงเห็นควรให้เหล่าสตรีที่ได้รับการคัดเลือกแลได้เฝ้าถวายบังคมอยู่ ณ ท้องพระโรงแห่งนี้แล้วเป็นนางในรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาท ส่วนอิสตรีที่เหลือนับจากนี้ไปให้ตั้งสำรองไว้ในกรณีที่มีผู้ใดไม่สามารถสนองกิจการได้ "
มหาดเล็กอ่านพระราชโองการจบก็กราบถวายบังคมลา
ฝ่ายมาร์ฒแม้นดารณีย์ผู้มาล่าช้า จึงต้องก้มหน้าตาละห้อยศอตกกลับนิวาสสถานบ้านช่องห้องหอของตนไปด้วยความผิดหวัง
- - - - - - - - -
ภายหลังจากนั้นอีกหลายวัน
ขณะที่มาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังซักอาภรณ์พรรณของตนอยู่ที่ริมท่าน้ำหน้าเรือน โดยพลัน... ก็มีเรือแจวลำหนึ่งแต่งเครื่องอย่างเรือในวังลอยลำเข้ามาใกล้ บนเรือมีชายสามคน สองสวมชุดอย่างมหาดเล็ก ส่วนอีกหนึ่งสวมชุดอย่างพลทหารแลเห็นผู้แจวเรือลำนั้น ทั้งหมดตรงมายังเหย้าเรือนของมาร์ฒแม้นดารณีย์ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตะโกนร้องถามนางซึ่งกำลังซักอาภรณ์อยู่ว่า
" ที่แห่งนี้คือเหย้าเรือนของมาร์ฒแม้นดารณีย์ใช่หรือไม่ "
มาร์ฒแม้นดารณีย์เงยหน้ามองชายทั้งสามจึ่งตอบไปว่า
"ใช่แล้วพ่อคุณ ข้านี่แหละมาร์ฒแม้นดารณีย์ที่ท่านถามหา "
ทันใดกันนั้น... มหาดเล็กผู้หนึ่งพลันฉวยมวนผ้าผืนหนึ่งพลันคลี่ออก ที่แท้เป็นมวนผ้าอักขระ ซึ่งมหาดเล็กผู้นั้นก็อ่านข้อความที่ลิขิตไว้บนผ้าผืนนั้นด้วยเสียงอันดังสนั่นลั่นไปทั้งคุ้งน้ำจนเหล่าบรรดาชาวบ้านจากเรือนต่างๆในละแวกนั้นพากันชะโงกหน้ามามองกันสลอน
" ด้วยพระบุญญาธิการแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ เหตุฉะนี้ จึ่งทรงมีพระบัณฑูรแถลงตามที่คุณท้าวธรรมเนียมวังได้กราบบังคมทูลว่า มาร์ฒแม้นดารณีย์ อิสตรีผู้มีจิตปฏิพัทธ์ในพระองค์ได้มุ่งมั่นในอันที่จะสนองรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทเป็นยิ่งนัก ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้นางมาร์ฒแม้นดารณีย์เข้าวังโดยด่วนที่สุด เพื่อถวายตัวเป็นนางในแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ในบัดดล "
มหาดเล็กอ่านพระบรมราชโองการจบก็มอบมวนพระราชโองการทั้งนั้นให้แก่มาร์ฒแม้นดารณีย์รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปกราบบูชา มาร์ฒแม้นดารณีย์ปลื้มปิติเป็นล้นพ้นสุดประมาณจนสายน้ำอัสสุชลท้วมท้นเจิงนองอาบชุ่มพลางตะโกนก้องไปทั่วท้องน้ำด้วยความเริงร่า
" ข้าได้เข้าวังแล้ว... "
ทันใด.. เหล่ามหาดเล็กรีบกล่าวขึ้น
" อย่าช้าไย รีบเข้าวังเถิด "
" ขอข้าเก็บสัมภาระสักประเดี๋ยวจะได้หรือไม่ "
" ทิ้งไว้ที่นี่แหละ ในวังมีดาษดื่น มิต้องเตรียมสิ่งใดไป "
จบคำ เหล่าชายทั้งมวลรีบกุลีกุจอพามาร์ฒแม้นดารณีย์ลงเรือลำนั้นไปโดยพลัน แลเรือแจวลำนั้นก็ลอยละล่องไปตามลำน้ำอย่างรวดเร็ว "
" เหตุฉันใดจึงต้องรีบร้อนปานฉะนี้ข้าเองเสียอีกปรีดากว่ายังมิร้อนหทัยดั่งพวกท่านกระนั้นเลย แล้วนี่นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช นั้นคือกิจการอันใดกันหรือท่าน "
เหล่ามหาดเล็กต่างมองหน้ากันก่อนกล่าวขึ้นว่า
" ก็นางแบกกระโถนนะสิเจ้าเอ๋ย "
" หา...!!? "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงพลางร้องเสียงหลง
- - - - - - - - -
กาลต่อมา...
ขณะมาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังนั่งหมอบอยู่หน้าหญิงชราผู้หนึ่งซึ่งกำลังขบเคี้ยวหมากในปากอย่างเอร็ดอร่อยพลางจ้องมาด้วยนัยน์ตาเขม็ง หญิงชราผู้นี้คือ คุณท้าวธรรมเนียมวัง มีหน้าที่ฝึกปรือเหล่าบรรดานางในทั้งหลาย
ครู่หนึ่ง มีนางในอัญเชิญพระสุพรรณศรี แลพระสุพรรณราชมาอย่างละองค์ ก่อนจะวางลงตรงหน้ามาร์ฒแม้นดารณีย์นั้น ซึ่งนางก็จ้องมองกระโถนสีทองอร่ามตาทั้งสองใบด้วยใจระทึก คุณท้าวธรรมเนียมวังได้กล่าวขึ้นว่า
" กระโถนใหญ่ นั่นคือพระสุพรรณราช ใช้รองรับพระบังคนหนักและเบา หรืออุจจาระแลปัสสาวะ ส่วนกระโถนเล็กนั้นเล่าคือพระสุพรรณศรี ใช้รองรับพระน้ำหมาก อันหน้าที่ของเจ้านั้นก็คือคอยแบกสองสิ่งนี้ตามเสด็จองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาไปทุกหน เข้าใจไหม "
" เจ้าค่ะ คุณท้าว "
มาร์ฒแม้นดารณีย์รับคำก่อนจะหัดแบกกระโถนทั้งสองใบจนช่ำชองภายในเวลาไม่นานนัก เหตุที่เป็นเช่นนี้ได้ ชะรอยคงเป็นเพราะดวงจิตปฏิพัทธ์ในอันที่จะได้สนองรับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทองค์เจ้าฟ้าหนุ่มผู้งามสง่าอย่างใกล้ชิดกระนั้นเองกระมังหนอ
แท้ที่จริงแล้ว นางกลับมุ่งหมายมากมายกว่านั้น ความฝันอันสูงสุดแห่งนางนั้นก็คือ ได้เป็นนางสนมกำนัลในอนาคต ซึ่งนางก็จำจะต้องอดทนรอต่อไปด้วยจิตใจอันมาตรมั่นกระนั้นฤา
แต่การกลับมิได้เป็นดังหวังเสียแล้วกระมังนี่...
- - - - - - - - -
ณ ราตรีหนึ่ง...
ขณะที่มาร์ฒแม้นดารณีย์กำลังแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ตรงมายังหน้าห้องพระบรรทมแห่งองค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ
เพลานั้น พลันหูของนางก็สดับได้ถึงพระสุรเสียงแห่งองค์เจ้าฟ้าผู้งามสง่ากำลังสนทนาพาทีอยู่กับบุรุษผู้หนึ่งในห้องพระบรรทมอย่างสนิทสนมกลมเกลียวกันเกินสหายสามัญธรรมดา
" อ๊ะ อ๊ะ... อย่าทำเช่นนั้นสิจ๊ะ เดี๋ยวมีผู้ใดมาเห็นเข้าจะเป็นที่ครหานินทาว่าร้ายแลเอาไปสาธยายต่อจนก่อให้เกิดความ "
พระสุรเสียงแห่งองค์เจ้าฟ้าดังขึ้น ตามด้วยเสียงชายหนุ่มอันนุ่มลึกชวนหลงใหล
" มิมีผู้ใดอยู่ใกล้ในเพลานี้หรอกฝ่าบาท มาเถิด มาให้ข้าพระองค์ชื่นชมนวลปรางองค์หน่อยประไรไป "
มาร์ฒแม้นดารณีย์แนบกายเข้าชิดที่ข้างฝาอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆแง้มพระวิสูตรขึ้นเล็กน้อยเพื่อแอบชำเลืองมองภายในห้องพระบรรทมแห่งนั้น