💕🙏ครบ ๑๐๐ ปี วันคล้ายวันประสูติ สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘







🙏 น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ 🙏

💕🙏 เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา ครบ ๑๐๐ ปี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ 🙏💕


💎 “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” 💎

สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ทรงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ และพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประสูติเมื่อวันอังคารที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ในพระบรมมหาราชวัง วันรุ่งขึ้น เจ้าคุณพระประยุรวงศ์ เชิญเสด็จพระราชธิดาไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ซึ่งในขณะนั้นมีพระอาการประชวรหนักเกินกว่าจะมีพระราชดำรัสได้และทรงอ่อนพระกำลังมาก ก็ยังทรงพยายามยกพระหัตถ์สัมผัสพระราชธิดา ก่อนที่พระอาการประชวรจะทรุดลงหนัก จวบจนสวรรคตในคืนวันพุธที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๐๑.๔๕ นาที

พระนาม เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ในพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ โดยมีคำนำหน้าพระนามเป็นสมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอในรัชกาลที่ ๗ และเป็นสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ รวมถึงเป็นสมเด็จพระราชปิตุจฉาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐



- “ก็ดีเหมือนกัน” -

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระปีติโสมนัสอย่างพ้นประมาณ ทรงเฝ้ารอพระประสูติการของพระหน่อพระองค์แรกอย่างจดจ่อ ด้วยทรงคาดหวังว่าจะประสูติเป็นพระราชโอรส ซึ่งพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ได้มีพระดำรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ความว่า

“...เมื่อฉันตั้งครรภ์เจ้าฟ้า ล้นเกล้าฯ ก็ทรงโสมนัส ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นชาย ได้ราชสมบัติสืบต่อจากพระองค์ เมื่อยังมีพระอนามัยดีอยู่ ก็มีรับสั่งอย่างสนิทเสน่หาทรงกะแผนการชื่นชมต่อพระเจ้าลูกยาเธอที่จะเกิดใหม่...”

ทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์บทกล่อมบรรทมสำหรับสมโภชเดือนพระราชกุมารประกอบทำนองปลาทองไว้ล่วงหน้าอีกด้วย


แต่แล้วเมื่อใกล้มีพระประสูติกาล ความชื่นบานทั้งหลายกลับกลายเป็นความกังวล เมื่อรัชกาลที่ ๖ ทรงพระประชวรหนักด้วยโรคพระอันตะ มีพระอาการรุนแรงขึ้นอย่างมิคาดฝัน ในยามนั้นพระองค์ประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ประทับ ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาส ซึ่งติดกับพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เพื่อทรงรอฟังข่าวพระประสูติการอย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งพระนางเจ้าสุวัทนา มีพระประสูติการเจ้าฟ้าหญิง ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน จากนั้นในเวลาบ่าย เจ้าพระยารามราฆพได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า พระนางประสูติ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ” เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว มีพระราชดำรัสว่า “...ก็ดีเหมือนกัน...”


จนรุ่งขึ้นในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน เจ้าพระยารามราฆพ เชิญเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์น้อยไปเฝ้าฯ พระบิดาซึ่งกำลังทรงพระประชวรหนักบนพระแท่น เมื่อทอดพระเนตรแล้ว ทรงพยายามยกพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา แต่ก็ทรงอ่อนพระกำลังมากจนไม่สามารถจะทรงยกพระหัตถ์ได้ เจ้าพระยารามราฆพ จึงเชิญพระหัตถ์ขึ้นสัมผัสพระราชธิดา

เมื่อจะเชิญเสด็จพระราชกุมารีกลับ รัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโบกพระหัตถ์แสดงพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรพระราชธิดาอีกครั้ง จึงเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอมาเฝ้าฯ เป็นครั้งที่สอง และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพจนกลางดึกคืนนั้นเองก็เสด็จสวรรคต



- พระนาม “เพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี” -

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีสมโภชเดือนและขึ้นพระอู่ เมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พร้อมพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี” ซึ่งมีความหมายว่า เจ้าฟ้าพระราชธิดาผู้มีพระชาติกำเนิดเป็นศรีดั่งดวงแก้ว เป็นพัชรแห่งมหาวชิราวุธ มีพระฉวีพรรณสิริโฉมงามพร้อม และมีคำนำพระนามว่า “สมเด็จพระเจ้าภาติกาเธอ” ตามพระอิสริยยศฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ ซึ่งคำว่า ภาติกา มีความหมายว่า หลานสาวที่เป็นลูกสาวของพี่ชาย หรือ หลานอา

ภายหลังพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประกาศเปลี่ยนคำนำพระนาม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็น “สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ” ซึ่งแปลว่า น้องหญิง หรืออีกนัยหนึ่งคือลูกพี่ลูกน้องหญิง ด้วยทรงเป็นพระขนิษฐภคินีในรัชกาลที่ ๘ เนื่องจากทรงอ่อนพระชนมายุกว่า ๒ เดือน ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เสด็จขึ้นทรงราชย์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คงคำนำพระนาม “สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ” ไว้ดังเดิม เพราะคำว่า “ภคินี” สามารถแปลว่า พี่หญิง ได้เช่นกัน




- กอปรพระกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของคนไทย -

ตลอดพระชนมชีพ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทรงสืบสานพระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงสนับสนุนกิจการลูกเสือ โดยทรงดำรงตำแหน่ง “องค์อุปถัมภิกาคณะลูกเสือแห่งชาติ” ทรงฟื้นฟูและพระราชทานพระอุปถัมภ์กิจการเนตรนารี นอกจากนี้ยังพระราชทานพระอุปถัมภ์แก่กิจการรักษาดินแดน ตลอดจนกิจการสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน ทั้งยังเสด็จไปทรงฝึกระเบียบทหาร และทรงฟังบรรยายวิชาทหารที่กรมการรักษาดินแดน มิได้พึงพระทัยที่จะทรงเป็นเพียงผู้อุปถัมภ์ในพระนาม หากแต่ยังทรงได้ชื่อว่าเป็น “สมาชิก ส.อ.ร.ด.” ผู้ผ่านการฝึกฝนโดยครบถ้วนสมบูรณ์แล้วอย่างแท้จริง รวมถึงการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม สนับสนุนการศึกษา การสาธารณสุขและสังคมสงเคราะห์ โดยทรงรับเป็นองค์อุปถัมภิกาและองค์อุปการะสถาบันและองค์กรสาธารณสุขทุกแขนงมากกว่า ๕๐ แห่ง


- พระปัจฉิมกาล -

แม้ในระยะหลัง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาฯ เสด็จออกทรงปฏิบัติพระกรณียกิจนอกสถานที่น้อยลง แต่ก็ยังพระราชทานทุนทรัพย์และความช่วยเหลือประการต่าง ๆ เพื่อยังประโยชน์แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง ทรงก่อตั้ง “มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระบรมราชูปถัมภ์” เพื่อเผยแผ่พระเกียรติคุณของสมเด็จพระบรมราชบุพการี และทรงก่อตั้ง “มูลนิธิเพชรรัตน-สุวัทนา” ไว้เพื่อเป็นกำลังหลักในการทรงบำเพ็ญกุศลสาธารณะ สืบสานพระกรณียกิจโดยเฉพาะในยามที่พระอนามัยไม่เอื้ออำนวย หรือแม้กระทั่งเมื่อสิ้นพระชนม์แล้ว กิจการอันยังประโยชน์แก่ประชาชนที่ได้ทรงริเริ่มและสนับสนุนไว้ จักยังต้องดำเนินสืบเนื่อง เพื่อประโยชน์สุขของแผ่นดินไทยที่ทรงผูกพันรักและภักดีต่อไป




- สิ้นพระชนม์ -

สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ สิริพระชนมายุ ๘๕ พรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เฉลิมพระเกียรติยศ พระราชทานพระโกศทองใหญ่ แทนพระโกศทองน้อย ตามแบบแผนของพระอิสริยยศชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า และพระราชทานเลื่อนเศวตฉัตร จากเบญจปฎลเศวตฉัตร (ฉัตรขาว ๕ ชั้น) ตามพระอิสริยยศชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นเป็น “สัปตปฎลเศวตฉัตร” (ฉัตรขาว ๗ ชั้น) เพื่อเฉลิมพระเกียรติยศสูงสุดแก่พระองค์ และให้เชิญพระศพออกสู่พระเมรุ ท้องสนามหลวง พระราชทานเพลิงพระศพ ในวันจันทร์ ที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อพระราชทานเพลิงแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอัฐิขึ้นประดิษฐานบนพระวิมาน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ร่วมกับพระบุพการีในมหาจักรีบรมราชวงศ์ และเชิญพระสรีรางคารไปบรรจุไว้ ณ เสาวภาประดิษฐาน สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในพระฐานะที่เสด็จอุบัติมาทรงเป็นสมาชิกแห่งจุฬาลงกรณราชสันตติวงศ์ และบรรจุไว้ ณ พุทธบัลลังก์พระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ เคียงคู่พระบรมราชสรีรางคารของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และพระสรีรางคารของพระชนนี สมพระเกียรติยศสูงสุดของ “ดวงแก้วแห่งพระมงกุฎเกล้า” ที่ส่องประกายพระเกียรติคุณอยู่ในใจปวงชนชาวไทยตลอดไป






- การเฉลิมพระนามและสถาปนาพระอิสริยศักดิ์พระอัฐิ -

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเฉลิมพระนามและสถาปนาพระอิสริยศักดิ์พระอัฐิ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็น “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา” เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติครบ ๑๐๐ ปี ในวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์แรกที่สถาปนาในรัชกาลปัจจุบัน

โดยเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมศึกยุคล เสด็จแทนพระองค์ไปในการจารึกพระสุพรรณบัฏ เฉลิมพระปรมาภิไธยพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาธีรราชเจ้า พร้อมกับ เฉลิมพระนามพระอัฐิ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี กรมพระนครปฐมบรมขัตติยานี มหาธีรราชธิดา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่