เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
*****************
บทที่ 10
ภายในท้องพระโรงเล็ก บรรดานางกำนัลต่างรีบรุดช่วยกันเก็บกวาดเศษโถมไหศวรรย์อายุหลายพันปีที่พระนางแก้วกานดาทรงทำแตกกันเป็นพัลวัน
ทันใด เจ้าฟ้ามูรตีทรงปรากฏพระวรกายขึ้น
" นังแก้วกานดา... !!! "
" อ๊ะ... !! ท่านเจ้าฟ้ามูรตี... จะมาลงทัณฑ์ฉันเหรอจ๊ะ ? "
" ถูกต้อง... บังอาจทำโถมไหศวรรย์พันๆปีที่องค์เทวาพระราชทานแตกกระจายมลายสูญสิ้น เช่นนี้ต้องอัปเปหิส่งกลับละวิรัฐนครของเจ้าเสียแล้ว "
" อ๊ะ...อย่านะเพคะ "
พระนางแก้วกานดาทรงถลามากอดองค์เจ้าฟ้ามูรตีไว้แน่นราวกับเด็กๆ
" พระบิดาเราก็สิ้นองค์ไปแล้ว จะให้เรากลับไปอยู่เดียวดายกับเจ้าพี่ฉกรรณราชาผู้ใจร้ายน่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก เราจะอยู่อนันตาแห่งนี้ดีกว่านะเพคะ "
มหาอำมาตย์ลีลาศเข้ามากระซิบที่ข้างพระกรรณเจ้าฟ้ามูรตีอยู่ครู่พระองค์จึ่งตรัส
" ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปอยู่ ณ หอธิดารามสูร ให้เหล่าคุณท้าวทั้งหลายอบรมบ่มนิสัยเสียบ้างจะดี "
มโหรีครวญเพลงสาริกาพ่าย ก่อนเหล่านางกำนัลพากันไปเก็บข้าวของเครื่องทรงแลเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศถาแห่งพระสนมเอกจนหมดสิ้นก่อนจะเคลื่อนกระบวนมุ่งสู่หอธิดารามสูรแห่งนั้นในทันใด
เมื่อพระนางไปแล้ว เจ้าฟ้ามูรตีก็ทรงถอนพระหทัยคราหนึ่งจึ่งตรัส
" สงสัยเราจะคิดผิดที่สู้อุตส่าห์ช่วงชิงนางมาเป็นพระสนมเอก "
มหาอำมาตย์เอียงกายประชิดองค์พลางยิ้มกริ่มจึ่งกราบทูล
" นับแต่ช่วงชิงพระนางมานี่ ฝ่าพระบาททรงมีกิจร่วมบรรจถรณ์กันบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า อิ อิ อิ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงพระเหนียมอายจนพระพักตร์แดงดั่งลูกมะเขือพลางทรงแย้มพระสรวลจึ่งตรัส
" ดูกระนั้นอยู่ อำมาตย์ท่าน เห็นกระโดกกระเดกออกปานนั้น ลีลาพิศวาสนางช่างเหนือชั้นสุดบรรยาย ราวกับนางจะแยกแยะได้ว่ากำลังปฏิบัติกิจที่ว่านั้นอยู่ ดูประหนึ่งมีสองผู้ในหนึ่งหทัยจนหยั่งยากจะค้นหาอิสตรีใดมาเทียมเท่า "
" กระนั้นเลยเชียวหรือพระเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์นัยน์ตาลุกวาวเป็นประกายระยิบ
" ไม่เอาล่ะ... เราไปดีกว่า มหาอำมาตย์ทำเราเขินไปหมดแล้ว "
ตรัสจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงรีบปลีกหนีพระองค์ไปพลัน มหาอำมาตย์จ้องมองพระเจ้าอยู่หัวอนันตาพระองค์นี้พลางยิ้ม
" ใครจะไปรู้... เจ้าฟ้ามูรตีผู้ผยองแลอาจหาญ ก็ยังทรงมีบางเพลาที่ทรงน่ารักราวกับเด็กเล็กๆ "
เมื่อพระนางแก้วกานดาทรงต้องไปประทับอยู่ประจำ ณ หอธิดารามสูรแล้วนั้น เจ้าฟ้ามูรตีก็จำต้องทรงหาพระสนมไว้เคียงข้างเขนยแนบองค์
ดังนั้น จึงทรงหันไปหานางลำดวนดาว พระสนมคู่พระทัยผู้งดงามไฉไลไม้แพ้กัน
ณ เรือนพำนักแห่งนางลำดวนดาว เจ้าฟ้ามูรตีทรงพระดำเนินขึ้นเรือนไปด้วยพระหทัยอันสั่นระริก
บัดดล นางลำดวนดาวพลันปรากฏตนขึ้นในอาภรณ์น้อยชิ้น มีแพรบางเบาคลุมสรรพางค์อย่างเย้ายวน
" ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยู่นี่ "
นางลำดวนดาวกล่าวจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรโดยพลัน
" อ๊ะ... นั่น... เจ้าช่างเลอโฉมสุดประมาณ "
" ไล่ตามหม่อมฉันให้ทันสิเพคะฝ่าพระบาท "
กล่าวจบ นางลำดวนดาวก้าวบาทาวิ่งหนีไปรอบๆเรือน เจ้าฟ้ามูรตีดวงพระเนตรเป็นประกายจึ่งตรัส
" ดีล่ะ หากแม้นเราจับเจ้าได้เมื่อใด คงน่าดูชมกระนั้นแล "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงก้าวพระบาทโลดไล่ติดตามนางไปโดยไม่ชักช้า เสียงบาทากระทบพื้นเรือนดังสนั่นลั่นพระราชฐานชั้นใน จนเหล่าโขลนสาวในตำหนักต่างถือหอกพลางวิ่งกรูกันมาดูด้วยนึกว่ามีเหตุร้าย แต่พอล่วงรู้ว่าเจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาวก็เบาใจ จึงแยกย้ายกันกลับไปประจำตามหน้าที่ตน
จนในที่สุดแล้ว นางลำดวนดาวผู้เชื่องช้าก็พ่ายแพ้แก่เจ้าฟ้ามูรตีผู้อาจหาญ ทรงโอบกระชับนางเข้ามาแนบชิดด้วยพระหทัยอันสั่นระทึก นางลำดวนดาวกราบทูลขึ้นว่า
" หม่อมฉันจะถวายการปรนนิบัติพัดวีฝ่าพระบาทให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยดังเช่นที่เคยกระทำมาก่อนพระนางแก้วกานดาเพคะ "
" สมควรอยู่ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้ม แล้วในทันใด โคมประทีปก็ดับลงโดยพลัน "
- - - - - - - - -
กลางราตรีกาลอันพิลาส ณ กรุงละวิรัฐ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชา มหากษัตริย์แห่งละวิรัฐ ทรงเข้าบรรทมพร้อมกับมหาอำมาตย์ตรึงสมัยผู้สง่าล้ำกว่าชายใด
สองเรือนกายชายฉกรรจ์ต่างโอบเคล้าคลอเคลียกันและกันอย่างดูดดื่ม
" โอววว...อา... ตรึงสมัยจ๋า... ข้า.. ข้าพิศวาสเจ้าเหลือเกินแล้ว "
" เช่นกัน ฝ่าพระบาทของหม่อมฉัน "
เสียงพร่ำพรอดรำพันอันรัญจวนใจได้ลอยละล่องออกจากห้องพระบรรทมเข้าสู่หูของนางมาร์ฒแม้นดารณีย์ศรีวังละวิรัฐ นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ผู้ชอบแอบแนบหูฟังกิจกรรมสวาทแห่งบุรุษทั้งสองอยู่ข้างฝาห้องพระบรรทมแห่งนั้นเป็นเนืองนิจ
ในที่สุด นางก็มิอาจอดทนฟังสรรพเสียงสยิวใจดังกล่าวนี้อยู่ได้อีกต่อไป นางร่ำไห้ออกมาคราหนึ่งจึงวิ่งออกจากเขตพระราชฐานแห่งนั้นในทันที
- - - - - - - - -
กลางวนาดอนอันลี้ลับและรกชัด...
มาร์ฒแม้นดารณีย์ วิ่งรี่มาตาป่าและเส้นทางอันคดเคี้ยวเลี้ยวลด ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่บนโขดหินใหญ่อันล่อแหลมเป็นชะง่อนออกไปในหุบเหวอันลึกสุดสายตา
กระแสลมจากเบื้องล่างโชยขึ้นมาปะทะเรือนผมอันดำขลับของนางจนสยายแผ่กว้างราวกับปีศาจ นางกล่าวขึ้นกับตนเองด้วยน้ำเสียงอันสะอึกสะอื้นไห้ว่า
" ฮือ..ฮือ.. เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงมิเคยเหลียวแลและไยไพอันใดกับเราเลย ดูประหนึ่งเรานั้นอยู่..นอกสายตา.. ด้อยคุณค่า หาประโยชน์อันใดมิได้ วันๆ ก็ทรงเอาแต่เล้าโลมตระกองกอดแนบชิดเคียงใกล้อยู่แต่กับเหล่าสนมบุรุษรูปหล่อหุ่นล่ำประจำพระองค์เช่นนี้ เราจะดำรงชีวีอยู่ไปเพื่ออันใดกันเล่า "
นางหยุดไปครู่จึงเงยหน้าขึ้นสู่ท้องนภาอันมืดมิด มีเพียงดวงจันทราลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เท่านั้น นางรำพันร่ำไห้ออกมาคราใหญ่พลางกล่าวอีกว่า
" โอ้เอย... องค์เทวา โปรดรับกายาข้าไปด้วยเถิด หากเกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ข้าเป็นอิสตรีผู้มีฤทธาแลเสน่ห์งดงามตรึงตรามหาศาล ตราบเท่านิรันดร์กาลกระนั้นเทอญ "
จบคำ มาร์ฒแม้นดารณีย์พลันกระโจนลงสู่หุบเหวลึก หมายจบชีวีมลายสิ้นในทันที...
- - - - - - - - - -
ทันใดกันนั้น...
บังเกิดอนูแสงเรืองรองส่องประกายระยิบระยับจับตาพุ่งขึ้นมาจากหุบเหวเบื้องล่าง ปกคุลมร่างมาร์ฒแม้นดารณีย์เอาไว้ แลดันวรกายนางกลับขึ้นมาสู่พื้นพสุธาเบื้องบนหน้าผาดังเดิม
นางรีบผุดลุกขึ้นยืนในทันใดด้วยตกตื่นใจเป็นยิ่งนัก
" อ๊ะ...!!!!! อะไรกันนี่หนอ... สิ่งวิเศษเกื้อกูลเราให้มีชีวีต่อไปฤา "
บัดดล บังเกิดอวยไอเทวาผุดขึ้นในท้องฟ้า ปรากฏแก่สายตาแห่งนางมาร์ฒแม้นดารณีย์ ณ ที่นั้น
ครั้นเมื่อหมอกควันบริสุทธิ์ได้จากหาย จึงแลเห็นเป็น องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกาในอาภรณ์สีดอกพุดตาน ลอยเด่นอยู่ด้วยสีพระพักตร์อันอิ่มเอมก่อนตรัส
" มาร์ฒแม้นดารณีย์เจ้าเอยยย... ชีวีเจ้านั้นยังมีค่า หาด้อยประโยชน์ดันใดไม่ ข้าจักมอบวิชาอันล้ำเลิศสุดบรรยายให้เจ้าไว้ปกปักษ์ตน "
" ขอบพระทัยเพคะ องค์เทวา "
มาร์ฒแม้นดารณีย์น้อมรับ "
" มหาวิชาคุรุฑานุชาแปลง คือสิ่งที่ข้ามอบให้แก่เจ้า อันจะทำให้เจ้าสามารถแปลงวรกายเป็นเช่นผู้ใดก็ได้ตามแต่ใจปรารถนาทุกประการ จงใช้วิชานี้เพื่อก่อเกื้อให้เกิดอุดมเสริมสิริมงคลแก่ตนเทอญ "
จบพระดำรัสแห่งองค์เทวาในครานั้น มาร์ฒแม้นดารณีย์จึ่งก้มลงกราบสามคำรบ ครั้นเมื่อนางเงยพักตร์ขึ้นอีกครั้ง องค์เทวาผู้สง่าก็ทรงหายลับไปกับตาเสียแล้ว
- - - - - - - - -
รุ่งอรุณอันแจ่มใส...
ณ ท้องพระโรงพระราชวังละวิรัฐครากระนั้น องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากำลังทรงพระทับนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาอย่างสนุกสนาน โดยมีมหาอำมาตย์หนุ่มรูปงามเป็นกรรมการโดยหาสนพระทัยในราชการงานเมืองที่เหล่าขุนนางกำลังเฝ้าแหนถวายบังคมรอการพิจารณาอยู่นั้น
ในทันใด มหาดเล็กผู้ว่องไวก็ก้าวบาทฉับๆเข้ามากราบทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาทปกเกศ ณ บัดนี้ พระนางสุบินสวรรค์ราชินีเถมรู ได้หันเหองค์มุ่งสู่อนันตาด้วยหมายจะเจริญสัมพันธไมตรีให้แนบแน่นพระเจ้าข้า "
องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงยิ้มจึ่งตรัส
" ช่างเศียรพระนางปะไร คงคิดจะเอาอนันตามาข่มละวิรัฐเราลาะสิ เชอะ... รู้จักเราน้อยเกินไปเสียแล้ว "
" ทแกล้วเกล้าเพคะ อย่าทรงลืมนะจ๊ะว่าพระขนิษฐาแก้วกานดาอยู่อนันตาโน่น "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงดำรัสขึ้น
" จริงด้วยพระเจ้าข้า หากแม้นเรากระทำการร้อนรนไป พระขนิษฐาของพระองค์อาจได้รับอันตรายได้ "
ขุนนางผู้หนึ่งกราบบังคมทูล
" ดีล่ะ เช่นนั้น เราจะทำทีเป็นประพาสชานพระนคร เพื่อลวงให้อนันตาระส่ำระสายเล่นกระนั้นแล "
" เหมาะแท้เทียวนา "
มหาอำมาตย์คู่พระศัยยาแนบชิดพระองค์พลางยิ้มกริ่ม เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงผุดลุกขึ้น ณ บัดนั้นด้วยมโหรีเคาะกรับรับพระกิริยาอาการ
" พระราชโองการไป จัดมหาราชรถไพร่พลนานาให้พรั่งพร้อม เราจะเตรียมท่องวนาในครานี้ "
" ดีใจจริงเพคะ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะละกาทรงลิงโลด เนื่องเพราะทรงมิได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตามานานแล้ว
เหล่าขุนนาง อำมาตย์ ต่างหันมาจ้องพระนางดั่งตำหนิด้วยดวงเนตรมากหลาย พระนางดั่งรู้หทัยจึงทรงเก็บพระอารมณ์ให้สง่างบเสงี่ยมดังเดิมพลางตรัส
" เอามาร์ฒแม้นดารณีย์ศรีวังะวิรัฐไปด้วยนะเพคะ จะได้คอยถวายงานพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช "
" ตามใจหล่อนสิ แล้วนี่นางอยู่ไหน เราจักใช้พระสุพรรณราชสักครา "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงกวาดพระเนตรหา ซึ่งสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาก็ทรงช่วยอีกแรงเป็นมหากรุณาธิคุณ
" เอ้า...มาร์ฒแม้นดารณีย์ เจ้าสิอยู่ที่ใด พระทรงชัยทรงจักใช้งาน "
ทันใด...
มีมหาดเล็กหนุ่มหน้าใหม่โผล่กายถือพระสุพรรณราชเข้ามาสนอง พลางกราบทูลด้วยสุรเสียงนุ่มลึกแลดวงเนตรกรุ้มกริ่มยิ้มหวานปนเสน่ห์
" มาร์ฒแม้นดารณีย์มีกิจส่วนตน จึงมอบหมายให้ข้าพระองค์อัญเชิญพระสุพรรณราชมาถวายเองพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กทำตาเย้ายวนให้องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา ซึ่งทรงรับพระสุพรรณราชมาด้วยพระหทัยระทึกพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงสั่นสะท้านหวั่นไหว
" เจ้า... เจ้ามหาดเล็กรูปงาม ไฉนข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน "
" ข้าพระองค์ประจำอยู่ ณ พระตำหนักหลังเขาพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กหนุ่มกราบทูลจบ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงยิ้ม ในหทัยคงจะทรงคิดว่า
... ดีล่ะ จำเราจะหาโอกาสหลบลี้จากมหาอำมาตย์คู่ใจไปเสพสุขกับมาหาดเล็กผู้นี้เป็นครั้งคราวเห็นจะดีเป็นแน่แท้ ...
มหาดเล็กหนุ่มครั้นอยู่งานพระสุพรรณราชแล้วก็ถอยกายออกจากท้องพระโรงแห่งนั้นไป และเมื่อเขาอยู่เพียงลำพังในที่ลับตา ณ มุมหนึ่งนั้น ฉับพลัน ใบหน้าและเรือนกายของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นมาร์ฒแม้นดารณีย์ในทันใด
" มหาวิชาคุรุฑานุชาแปลง ที่องค์เทวาประทานมานี้ช่างวิเศษจริงแท้ ดูสิ เราแปลงกายเป็นมหาดเล็กแปลกหน้า ยังมิมีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยแม้แต่กระทั่งองค์ฉกรรณราชาก็ตาม จำเราจะต้องหาโอกาสแปลงกายเป็นผู้อื่นอีกจึงจะเหมาะ "
มาร์ฒแม้นดารณีย์ยิ้มเยาะกับผลสำเร็จแห่งวิชาที่ตนมีเป็นที่ยิ่ง
- - - - - - - - -
ชานกรุงอนันตา...
กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระนางสุบินสวรรค์ได้ยุรยาตรมาตามลำเนาอย่างนุ่มเนิบ
" พระนางเพคะ เพคะพระนาง พระนางเพคะ "
สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงรีบวิ่งมายังพระเสลี่ยงที่ประทับ ซึ่งพระวิสูตรสีทองก็พลันถูกเผยออก
" ตะโกนร้องหาสิ่งใด สะขรุมจินห์ ฤาญาติกาเจ้ามรณังสังขารา "
" หามิได้เพคะ พระนางเจ้า ทรงทอดพระเนตรนั่น "
สะขรุมจินห์ชี้นิ้วไปยังยอดมณเฑียรปราสาท พระสุวรรณเจดีย์ แลพระวิมานมากมายแห่งพระบรมมหาราชวังอนันตา ซึ่งต้องแสงสุริยาวาววับด้วยอัญมณีหลากหลาย
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 10
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
*****************
บทที่ 10
ภายในท้องพระโรงเล็ก บรรดานางกำนัลต่างรีบรุดช่วยกันเก็บกวาดเศษโถมไหศวรรย์อายุหลายพันปีที่พระนางแก้วกานดาทรงทำแตกกันเป็นพัลวัน
ทันใด เจ้าฟ้ามูรตีทรงปรากฏพระวรกายขึ้น
" นังแก้วกานดา... !!! "
" อ๊ะ... !! ท่านเจ้าฟ้ามูรตี... จะมาลงทัณฑ์ฉันเหรอจ๊ะ ? "
" ถูกต้อง... บังอาจทำโถมไหศวรรย์พันๆปีที่องค์เทวาพระราชทานแตกกระจายมลายสูญสิ้น เช่นนี้ต้องอัปเปหิส่งกลับละวิรัฐนครของเจ้าเสียแล้ว "
" อ๊ะ...อย่านะเพคะ "
พระนางแก้วกานดาทรงถลามากอดองค์เจ้าฟ้ามูรตีไว้แน่นราวกับเด็กๆ
" พระบิดาเราก็สิ้นองค์ไปแล้ว จะให้เรากลับไปอยู่เดียวดายกับเจ้าพี่ฉกรรณราชาผู้ใจร้ายน่ะเหรอ ไม่เอาด้วยหรอก เราจะอยู่อนันตาแห่งนี้ดีกว่านะเพคะ "
มหาอำมาตย์ลีลาศเข้ามากระซิบที่ข้างพระกรรณเจ้าฟ้ามูรตีอยู่ครู่พระองค์จึ่งตรัส
" ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงไปอยู่ ณ หอธิดารามสูร ให้เหล่าคุณท้าวทั้งหลายอบรมบ่มนิสัยเสียบ้างจะดี "
มโหรีครวญเพลงสาริกาพ่าย ก่อนเหล่านางกำนัลพากันไปเก็บข้าวของเครื่องทรงแลเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศถาแห่งพระสนมเอกจนหมดสิ้นก่อนจะเคลื่อนกระบวนมุ่งสู่หอธิดารามสูรแห่งนั้นในทันใด
เมื่อพระนางไปแล้ว เจ้าฟ้ามูรตีก็ทรงถอนพระหทัยคราหนึ่งจึ่งตรัส
" สงสัยเราจะคิดผิดที่สู้อุตส่าห์ช่วงชิงนางมาเป็นพระสนมเอก "
มหาอำมาตย์เอียงกายประชิดองค์พลางยิ้มกริ่มจึ่งกราบทูล
" นับแต่ช่วงชิงพระนางมานี่ ฝ่าพระบาททรงมีกิจร่วมบรรจถรณ์กันบ้างไหมพระพุทธเจ้าข้า อิ อิ อิ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงพระเหนียมอายจนพระพักตร์แดงดั่งลูกมะเขือพลางทรงแย้มพระสรวลจึ่งตรัส
" ดูกระนั้นอยู่ อำมาตย์ท่าน เห็นกระโดกกระเดกออกปานนั้น ลีลาพิศวาสนางช่างเหนือชั้นสุดบรรยาย ราวกับนางจะแยกแยะได้ว่ากำลังปฏิบัติกิจที่ว่านั้นอยู่ ดูประหนึ่งมีสองผู้ในหนึ่งหทัยจนหยั่งยากจะค้นหาอิสตรีใดมาเทียมเท่า "
" กระนั้นเลยเชียวหรือพระเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์นัยน์ตาลุกวาวเป็นประกายระยิบ
" ไม่เอาล่ะ... เราไปดีกว่า มหาอำมาตย์ทำเราเขินไปหมดแล้ว "
ตรัสจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงรีบปลีกหนีพระองค์ไปพลัน มหาอำมาตย์จ้องมองพระเจ้าอยู่หัวอนันตาพระองค์นี้พลางยิ้ม
" ใครจะไปรู้... เจ้าฟ้ามูรตีผู้ผยองแลอาจหาญ ก็ยังทรงมีบางเพลาที่ทรงน่ารักราวกับเด็กเล็กๆ "
เมื่อพระนางแก้วกานดาทรงต้องไปประทับอยู่ประจำ ณ หอธิดารามสูรแล้วนั้น เจ้าฟ้ามูรตีก็จำต้องทรงหาพระสนมไว้เคียงข้างเขนยแนบองค์
ดังนั้น จึงทรงหันไปหานางลำดวนดาว พระสนมคู่พระทัยผู้งดงามไฉไลไม้แพ้กัน
ณ เรือนพำนักแห่งนางลำดวนดาว เจ้าฟ้ามูรตีทรงพระดำเนินขึ้นเรือนไปด้วยพระหทัยอันสั่นระริก
บัดดล นางลำดวนดาวพลันปรากฏตนขึ้นในอาภรณ์น้อยชิ้น มีแพรบางเบาคลุมสรรพางค์อย่างเย้ายวน
" ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยู่นี่ "
นางลำดวนดาวกล่าวจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรโดยพลัน
" อ๊ะ... นั่น... เจ้าช่างเลอโฉมสุดประมาณ "
" ไล่ตามหม่อมฉันให้ทันสิเพคะฝ่าพระบาท "
กล่าวจบ นางลำดวนดาวก้าวบาทาวิ่งหนีไปรอบๆเรือน เจ้าฟ้ามูรตีดวงพระเนตรเป็นประกายจึ่งตรัส
" ดีล่ะ หากแม้นเราจับเจ้าได้เมื่อใด คงน่าดูชมกระนั้นแล "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงก้าวพระบาทโลดไล่ติดตามนางไปโดยไม่ชักช้า เสียงบาทากระทบพื้นเรือนดังสนั่นลั่นพระราชฐานชั้นใน จนเหล่าโขลนสาวในตำหนักต่างถือหอกพลางวิ่งกรูกันมาดูด้วยนึกว่ามีเหตุร้าย แต่พอล่วงรู้ว่าเจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงสำราญพระราชหฤทัยอยู่กับนางลำดวนดาวก็เบาใจ จึงแยกย้ายกันกลับไปประจำตามหน้าที่ตน
จนในที่สุดแล้ว นางลำดวนดาวผู้เชื่องช้าก็พ่ายแพ้แก่เจ้าฟ้ามูรตีผู้อาจหาญ ทรงโอบกระชับนางเข้ามาแนบชิดด้วยพระหทัยอันสั่นระทึก นางลำดวนดาวกราบทูลขึ้นว่า
" หม่อมฉันจะถวายการปรนนิบัติพัดวีฝ่าพระบาทให้เป็นที่พอพระราชหฤทัยดังเช่นที่เคยกระทำมาก่อนพระนางแก้วกานดาเพคะ "
" สมควรอยู่ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้ม แล้วในทันใด โคมประทีปก็ดับลงโดยพลัน "
- - - - - - - - -
กลางราตรีกาลอันพิลาส ณ กรุงละวิรัฐ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชา มหากษัตริย์แห่งละวิรัฐ ทรงเข้าบรรทมพร้อมกับมหาอำมาตย์ตรึงสมัยผู้สง่าล้ำกว่าชายใด
สองเรือนกายชายฉกรรจ์ต่างโอบเคล้าคลอเคลียกันและกันอย่างดูดดื่ม
" โอววว...อา... ตรึงสมัยจ๋า... ข้า.. ข้าพิศวาสเจ้าเหลือเกินแล้ว "
" เช่นกัน ฝ่าพระบาทของหม่อมฉัน "
เสียงพร่ำพรอดรำพันอันรัญจวนใจได้ลอยละล่องออกจากห้องพระบรรทมเข้าสู่หูของนางมาร์ฒแม้นดารณีย์ศรีวังละวิรัฐ นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ผู้ชอบแอบแนบหูฟังกิจกรรมสวาทแห่งบุรุษทั้งสองอยู่ข้างฝาห้องพระบรรทมแห่งนั้นเป็นเนืองนิจ
ในที่สุด นางก็มิอาจอดทนฟังสรรพเสียงสยิวใจดังกล่าวนี้อยู่ได้อีกต่อไป นางร่ำไห้ออกมาคราหนึ่งจึงวิ่งออกจากเขตพระราชฐานแห่งนั้นในทันที
- - - - - - - - -
กลางวนาดอนอันลี้ลับและรกชัด...
มาร์ฒแม้นดารณีย์ วิ่งรี่มาตาป่าและเส้นทางอันคดเคี้ยวเลี้ยวลด ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่บนโขดหินใหญ่อันล่อแหลมเป็นชะง่อนออกไปในหุบเหวอันลึกสุดสายตา
กระแสลมจากเบื้องล่างโชยขึ้นมาปะทะเรือนผมอันดำขลับของนางจนสยายแผ่กว้างราวกับปีศาจ นางกล่าวขึ้นกับตนเองด้วยน้ำเสียงอันสะอึกสะอื้นไห้ว่า
" ฮือ..ฮือ.. เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงมิเคยเหลียวแลและไยไพอันใดกับเราเลย ดูประหนึ่งเรานั้นอยู่..นอกสายตา.. ด้อยคุณค่า หาประโยชน์อันใดมิได้ วันๆ ก็ทรงเอาแต่เล้าโลมตระกองกอดแนบชิดเคียงใกล้อยู่แต่กับเหล่าสนมบุรุษรูปหล่อหุ่นล่ำประจำพระองค์เช่นนี้ เราจะดำรงชีวีอยู่ไปเพื่ออันใดกันเล่า "
นางหยุดไปครู่จึงเงยหน้าขึ้นสู่ท้องนภาอันมืดมิด มีเพียงดวงจันทราลอยเด่นเป็นสง่าอยู่เท่านั้น นางรำพันร่ำไห้ออกมาคราใหญ่พลางกล่าวอีกว่า
" โอ้เอย... องค์เทวา โปรดรับกายาข้าไปด้วยเถิด หากเกิดชาติหน้าฉันใด ขอให้ข้าเป็นอิสตรีผู้มีฤทธาแลเสน่ห์งดงามตรึงตรามหาศาล ตราบเท่านิรันดร์กาลกระนั้นเทอญ "
จบคำ มาร์ฒแม้นดารณีย์พลันกระโจนลงสู่หุบเหวลึก หมายจบชีวีมลายสิ้นในทันที...
- - - - - - - - - -
ทันใดกันนั้น...
บังเกิดอนูแสงเรืองรองส่องประกายระยิบระยับจับตาพุ่งขึ้นมาจากหุบเหวเบื้องล่าง ปกคุลมร่างมาร์ฒแม้นดารณีย์เอาไว้ แลดันวรกายนางกลับขึ้นมาสู่พื้นพสุธาเบื้องบนหน้าผาดังเดิม
นางรีบผุดลุกขึ้นยืนในทันใดด้วยตกตื่นใจเป็นยิ่งนัก
" อ๊ะ...!!!!! อะไรกันนี่หนอ... สิ่งวิเศษเกื้อกูลเราให้มีชีวีต่อไปฤา "
บัดดล บังเกิดอวยไอเทวาผุดขึ้นในท้องฟ้า ปรากฏแก่สายตาแห่งนางมาร์ฒแม้นดารณีย์ ณ ที่นั้น
ครั้นเมื่อหมอกควันบริสุทธิ์ได้จากหาย จึงแลเห็นเป็น องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกาในอาภรณ์สีดอกพุดตาน ลอยเด่นอยู่ด้วยสีพระพักตร์อันอิ่มเอมก่อนตรัส
" มาร์ฒแม้นดารณีย์เจ้าเอยยย... ชีวีเจ้านั้นยังมีค่า หาด้อยประโยชน์ดันใดไม่ ข้าจักมอบวิชาอันล้ำเลิศสุดบรรยายให้เจ้าไว้ปกปักษ์ตน "
" ขอบพระทัยเพคะ องค์เทวา "
มาร์ฒแม้นดารณีย์น้อมรับ "
" มหาวิชาคุรุฑานุชาแปลง คือสิ่งที่ข้ามอบให้แก่เจ้า อันจะทำให้เจ้าสามารถแปลงวรกายเป็นเช่นผู้ใดก็ได้ตามแต่ใจปรารถนาทุกประการ จงใช้วิชานี้เพื่อก่อเกื้อให้เกิดอุดมเสริมสิริมงคลแก่ตนเทอญ "
จบพระดำรัสแห่งองค์เทวาในครานั้น มาร์ฒแม้นดารณีย์จึ่งก้มลงกราบสามคำรบ ครั้นเมื่อนางเงยพักตร์ขึ้นอีกครั้ง องค์เทวาผู้สง่าก็ทรงหายลับไปกับตาเสียแล้ว
- - - - - - - - -
รุ่งอรุณอันแจ่มใส...
ณ ท้องพระโรงพระราชวังละวิรัฐครากระนั้น องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากำลังทรงพระทับนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาอย่างสนุกสนาน โดยมีมหาอำมาตย์หนุ่มรูปงามเป็นกรรมการโดยหาสนพระทัยในราชการงานเมืองที่เหล่าขุนนางกำลังเฝ้าแหนถวายบังคมรอการพิจารณาอยู่นั้น
ในทันใด มหาดเล็กผู้ว่องไวก็ก้าวบาทฉับๆเข้ามากราบทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละออกธุลีพระบาทปกเกศ ณ บัดนี้ พระนางสุบินสวรรค์ราชินีเถมรู ได้หันเหองค์มุ่งสู่อนันตาด้วยหมายจะเจริญสัมพันธไมตรีให้แนบแน่นพระเจ้าข้า "
องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงยิ้มจึ่งตรัส
" ช่างเศียรพระนางปะไร คงคิดจะเอาอนันตามาข่มละวิรัฐเราลาะสิ เชอะ... รู้จักเราน้อยเกินไปเสียแล้ว "
" ทแกล้วเกล้าเพคะ อย่าทรงลืมนะจ๊ะว่าพระขนิษฐาแก้วกานดาอยู่อนันตาโน่น "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงดำรัสขึ้น
" จริงด้วยพระเจ้าข้า หากแม้นเรากระทำการร้อนรนไป พระขนิษฐาของพระองค์อาจได้รับอันตรายได้ "
ขุนนางผู้หนึ่งกราบบังคมทูล
" ดีล่ะ เช่นนั้น เราจะทำทีเป็นประพาสชานพระนคร เพื่อลวงให้อนันตาระส่ำระสายเล่นกระนั้นแล "
" เหมาะแท้เทียวนา "
มหาอำมาตย์คู่พระศัยยาแนบชิดพระองค์พลางยิ้มกริ่ม เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงผุดลุกขึ้น ณ บัดนั้นด้วยมโหรีเคาะกรับรับพระกิริยาอาการ
" พระราชโองการไป จัดมหาราชรถไพร่พลนานาให้พรั่งพร้อม เราจะเตรียมท่องวนาในครานี้ "
" ดีใจจริงเพคะ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะละกาทรงลิงโลด เนื่องเพราะทรงมิได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตามานานแล้ว
เหล่าขุนนาง อำมาตย์ ต่างหันมาจ้องพระนางดั่งตำหนิด้วยดวงเนตรมากหลาย พระนางดั่งรู้หทัยจึงทรงเก็บพระอารมณ์ให้สง่างบเสงี่ยมดังเดิมพลางตรัส
" เอามาร์ฒแม้นดารณีย์ศรีวังะวิรัฐไปด้วยนะเพคะ จะได้คอยถวายงานพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช "
" ตามใจหล่อนสิ แล้วนี่นางอยู่ไหน เราจักใช้พระสุพรรณราชสักครา "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงกวาดพระเนตรหา ซึ่งสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาก็ทรงช่วยอีกแรงเป็นมหากรุณาธิคุณ
" เอ้า...มาร์ฒแม้นดารณีย์ เจ้าสิอยู่ที่ใด พระทรงชัยทรงจักใช้งาน "
ทันใด...
มีมหาดเล็กหนุ่มหน้าใหม่โผล่กายถือพระสุพรรณราชเข้ามาสนอง พลางกราบทูลด้วยสุรเสียงนุ่มลึกแลดวงเนตรกรุ้มกริ่มยิ้มหวานปนเสน่ห์
" มาร์ฒแม้นดารณีย์มีกิจส่วนตน จึงมอบหมายให้ข้าพระองค์อัญเชิญพระสุพรรณราชมาถวายเองพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กทำตาเย้ายวนให้องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา ซึ่งทรงรับพระสุพรรณราชมาด้วยพระหทัยระทึกพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงสั่นสะท้านหวั่นไหว
" เจ้า... เจ้ามหาดเล็กรูปงาม ไฉนข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อน "
" ข้าพระองค์ประจำอยู่ ณ พระตำหนักหลังเขาพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กหนุ่มกราบทูลจบ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงยิ้ม ในหทัยคงจะทรงคิดว่า
... ดีล่ะ จำเราจะหาโอกาสหลบลี้จากมหาอำมาตย์คู่ใจไปเสพสุขกับมาหาดเล็กผู้นี้เป็นครั้งคราวเห็นจะดีเป็นแน่แท้ ...
มหาดเล็กหนุ่มครั้นอยู่งานพระสุพรรณราชแล้วก็ถอยกายออกจากท้องพระโรงแห่งนั้นไป และเมื่อเขาอยู่เพียงลำพังในที่ลับตา ณ มุมหนึ่งนั้น ฉับพลัน ใบหน้าและเรือนกายของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเป็นมาร์ฒแม้นดารณีย์ในทันใด
" มหาวิชาคุรุฑานุชาแปลง ที่องค์เทวาประทานมานี้ช่างวิเศษจริงแท้ ดูสิ เราแปลงกายเป็นมหาดเล็กแปลกหน้า ยังมิมีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยแม้แต่กระทั่งองค์ฉกรรณราชาก็ตาม จำเราจะต้องหาโอกาสแปลงกายเป็นผู้อื่นอีกจึงจะเหมาะ "
มาร์ฒแม้นดารณีย์ยิ้มเยาะกับผลสำเร็จแห่งวิชาที่ตนมีเป็นที่ยิ่ง
- - - - - - - - -
ชานกรุงอนันตา...
กระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค แห่งพระนางสุบินสวรรค์ได้ยุรยาตรมาตามลำเนาอย่างนุ่มเนิบ
" พระนางเพคะ เพคะพระนาง พระนางเพคะ "
สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงรีบวิ่งมายังพระเสลี่ยงที่ประทับ ซึ่งพระวิสูตรสีทองก็พลันถูกเผยออก
" ตะโกนร้องหาสิ่งใด สะขรุมจินห์ ฤาญาติกาเจ้ามรณังสังขารา "
" หามิได้เพคะ พระนางเจ้า ทรงทอดพระเนตรนั่น "
สะขรุมจินห์ชี้นิ้วไปยังยอดมณเฑียรปราสาท พระสุวรรณเจดีย์ แลพระวิมานมากมายแห่งพระบรมมหาราชวังอนันตา ซึ่งต้องแสงสุริยาวาววับด้วยอัญมณีหลากหลาย