เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 9

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197

*****************

บทที่ 9




รุ่งอรุณอันสดใสแจ่มจรัส...

พระมหามณเฑียรประสาทส่องแสงอำไพด้วยแสงระยิบระยับจับตาจากแผ่นทองคำแลอัญมณีที่ประดับประดาอยู่บนยอด

ซึ่ง ณ พระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ถวัลยราชรานีนั้นเอง

" กระไรนะ... !! ให้รับเสด็จที่ท้องพระโรงเล็ก หมิ่นพระเกียรติศักดิ์แห่งมหารานีเราเกินไป "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ เสนาบดีหญิงมือขวาของพระนางสุบินสวรรค์ร้องลั่น ขณะมหาดเล็กนำพระบัณฑูรจากองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐพระองค์ใหม่มากราบบังคมทูล

" นี่เหนือหัวเจ้าคงจะเห็นพระราชินีเราเป็นแค่เพียงสตรีทั่วไป ถึงได้ให้การต้อนรับเช่นนี้ เห็นทีความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรคงจะสั่นคลอน "

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 80 ชันษา กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

" ทรงอย่ายินยอมนะเพคะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท "

วาริชฌาภาร์ณา เสนาบดีหญิงมือซ้ายหันมากราบบังคมทูลต่อองค์สมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ซึ่งขณะนี้ทรงประทับอยู่บนพระเสลี่ยงอันมีพระวิสูตรบางเบากางกั้น

" เราจะไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงเล็กตามพระประสงค์แห่งองค์พระอยู่หัวเจ้าละวิรัฐ "

" หา... !! พระนาง !! "

เหล่านางข้าราชบริพารพากันตะลึงงัน

- - - - - - - - -

ในที่สุด คณะทูตสันทวไมตรีอันมีสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์เป็นองค์ประธาน ก็ได้รับการอัญเชิญให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐในท้องพระโรงเล็ก

เพลานั้น สมเด็จพระฉกรรณราชามหาโอฬาริกละวิรัฐกษัตรา ทรงประทับ ณ พระแท่นบรมบัลลังก์ ภายในพระมหาบุษบกอันมีพระวิสูตรบางเบาปกปิดอยู่

สมเด็จพระนางเจ้าแห่งเถมรู ทรงประทับยืนอยู่ที่เบื้องล่าง พร้อมพรั่งด้วยเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จ ซึ่งครู่หนึ่งนั้นเอง สะขรุมจินห์ มหาดเล็กหญิงในพระองค์ของพระนางสุบินสวรรค์ก็อัญเชิญพานพระราชสาส์นเข้าทูลเกล้าต่อองค์ราชินี

พระนางสุบินสวรรค์พลันทรงเผยแย้มพระสรวลคราหนึ่งจึ่งทรงยื่นพระหัตถาไปยังพานพระราชสาส์นนั้น แต่...

โดยพลัน พระสุรเสียงแห่งองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐก็ตรัสขึ้นก่อน

" คงไม่ต้องหรอกกระมัง สุบินสวรรค์ท่าน "

" ฉันใดกันเพคะพระองค์ "

พระนางทรงฉงน

" เห็นทีละวิรัฐคงมิประสงค์ที่จะมีไมตรีแนบชิดสนิทอันใดกับเถมรูท่าน "

สิ้นพระสุรสีหนาท มโหรีพลันรัวฉาบกรับกระดิ่งจนสนั่นท้องพระโรงเล็ก เหล่ามวลบริวารเขมรัฐถึงกับตะลึงจนหน้าชาในครานั้น เสียงซุบซิบนินทาอื้ออึงอลกระจายไปทั่วทุกหนจนสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ต้องมีพระดำรัส

" เงียบ !! "

พระนางทรงผินพระพักตร์มายังที่ประทับแห่งพระเจ้ากรุละวิรัฐอีกคราจึ่งตรัสด้วยฝืนพระพักตร์แช่มชื่น

" มิไยฝ่าพระบาทไม่ทรงเผยพักตร์มาเจรจากับหม่อมฉัน ทรงหลบอยู่บนนั้นรึจะให้เหล่าบริวารทั้งมวลแห่งเถมรูเราเล็งเห็นว่ากษัตริย์ละวิรัฐนั้นไม่กล้าสู้พักตร์อิสตรี "

หง่าง...ง...ง !! หง่าง..ง..ง !! เสียงระฆังดังระงมขึ้นโดยมิได้นัดหมาย ก่อนสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐจะทรงลั่นพระสรวล

" ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า... วาจาระรานฤทัยปอง กระนี่นี่เล่า จึงทรงครององค์อยู่เดียวดายมิมีชายใดเคียงข้างกระทั่งปัจจุบัน "

สมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์สีพระพักตร์เปลี่ยนสี ทรงกำพระหัตถาแน่นพร้อมกัดพระทนต์ดังกรอดคราหนึ่งจึงเชิดพระศอขึ้นสูง

ทันใด มวนม่านอันบางเบาที่ปกปิดพระบุษบกที่ประทับก็พลันถูกเผยออกโดยพระหัตถาแห่งพระเจ้ากรุงละวิรัฐ ณ บัดนั้น

ทุกคนต่างตกตะลึงงันในทันทีที่ประสบพบพระพักตร์สมเด็จพระเจ้าฉกรรณราชามหาโอฬาริกละวิรัฐกษัตราในครานี้

มโหรีกระหึ่มเพลง ทศพักตร์ประจักษ์จริงสมิงพรายสายเกศประเทศราชสยบ

แม่ทัพตรึงสมัยถึงกับจ้องมองดวงพักตร์อันแช่มชื่นแห่งองค์ฉกรรณราชานั้นด้วยตะลึงจึงเพ้อ...

" รัญจวนจิตรา... !!! "

สมเด็จพระเจ้าฉกรรณราชาทรงพระดำเนินลงจากพระมหาบุษบกที่ประทับอย่างช้าๆ และเห็นชายพระภูษาทอดยาวลากระพื้นลงมาจนกระทั่งถึงพื้นเบื้องล่างและทรงประจันพักตร์กับพระนางสุบินสวรรค์ครานั้น

" จงกลับไปเสียเถอะ สุบินสวรรค์ อันเขื่อนที่กั้นสวรรค์ธารามหานทีนั้น คงมิอาจหยุดยั้งหรือทำลายลงได้ด้วยวาจาเจ้า เนื่องเพราะอยู่ในดินแดนแห่งละวิรัฐเรา หาใช้เถมรูไม่ "

พระเจ้ากรุงละวิรัฐตรัสจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันขวับจึ่งทรงมีพระดำรัสลั่นท้องพระโรงแห่งนั้น

" กลับเถมรู !! "

สิ้นพระดำรัส กระบวนพยุหยาตราแห่งองค์กษัตรียาสุบินสวรรค์ก็เริ่มปรับขบวนโดยพลัน ก่อนจะเคลื่อนออกจากพระทวารท้องพระโรงเล็กแห่งละวิรัฐนั้น

ทันใด พบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งเกิดคิดคดต่อพระนาง...

แม่ทัพตรึงสมัยผู้สง่า ติดสินใจผละกายจากสมเด็จพระนางสุบินสวรรค์ ก่อนจะวิ่งรี่ไปตระกองกอดองค์ฉกรรณราชาโดยพลัน พระนางสุบินสวรรค์ทรงลั่นพระสุรเสียงแหลมตวาดใส่

" อ๊ะ...!!! นั่น... ตรึงสมัย เจ้า... เจ้าคิดคดกระนั้นฤา? "

" แม่นแล้ว..พระนาง ข้าพระองค์หลงของพิสดารยิ่งกว่า "

องค์ฉกรรณราชาทรงเผยพระสรวลจึ่งตรัส

" ตรึงสมัยยอดรัก ข้าจักพระราชทานตำแหน่งอำมาตย์เอกแก่เจ้า "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงค้อนควัก ก่อนทรงขึ้นพระเสลี่ยงในทันใด

กระบวนยาตราแห่งเถมรูเร่งรีบเคลื่อนออกจากท้องพระโรงละวิรัฐไปโดยพลัน

องค์ฉกรรณราชาทรงหันมาทางตรึงสมัย มหาอำมาตย์เอกคู่ใจคนใหม่พลางตรัส

" ขึ้นวิมานกันเถอะจ้ะ อำมาตย์เรา "

" พระเจ้าข้า "

ตรึงสมัยยิ้มกริ่ม ก่อนประคององค์ฉกรรณราชาเข้าสู่เขตพระราชฐานชั้นใน ณ บัดนั้น

- - - - - - - - -

ชานกรุงละวิรัฐ...

กระบวนเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าสุบินสวรรค์ ต่างจรลีมาอย่างฉับไวตามป่าเขาลำเนาไพรอันหนาทึบ แลเห็นแสงระยิบระยับจับตาจากบรรดาอาภรณ์พรรณแห่งข้าราชบริพารทั้งมวลนั้นส่งประกายดุจหิ่งห้อยในพงพฤกษ์พนาไพร

กระบวนพยุหยาตราเคลื่อนคล้อยมาจนกระทั่งถึงทางแยกสองสาย สายหนึ่งนั้นมุ่งกลับสู่กรุงเถมรู ส่วนอีกสายนั้นเล่ามุ่งสู่กรุงอนันตา ยังผลให้กระบวนต้องหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

" ขอเดชะ หม่อมฉันคิดว่าเราควรจะหันเหกระบวนยาตราไปขอความช่วยเหลือจากองค์เจ้าฟ้ามูรตีแห่งอนันตา นะเพคะ "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงอิดออด เนื่องจากเถมรูและอนันตานั้นขาดไมตรีกันมาหลายทดศวรรษ อีกทั้งพระนางเองก็เคยลั่นพระวาจาใส่องค์เจ้าฟ้ามูรตีว่าจะไม่มาอนันตาอีก หากแม้นผิดคำสัตยาเมื่อใดจะให้องค์มูรตีใช้หัตถาซัดพระพักตร์ได้เลย

" ไม่... เราจะกลับเถมรู "

พระนางตรัสพลางทรงเชิดพระพักตร์ขึ้น

" แต่ยามนี้ชาวเถมรูเรากำลังทุกข์ยาก พระนางจะทรงตัดหทัยได้ฤาเพคะ "

สะขรุมจินห์นัยน์ตาเว้าวอน

" ไม่เด็ดขาด เรายังยืนยันคำเดิม จะไม่ยอมไปอนันตาอีกเลย ชั่วชีวิต "

พระนางสุบินสวรรค์ตรัสจบ

ทันใดกันนั้นเอง...

บังเกิดเทพนิมิตรเทวาจนท้องนภาเพลานั้นมืดมิดหมองหม่น สรรพเสียงอื้ออึงอลของบรรดาหมู่มวลชาวเถมรูกระหึ่มไปทั่วกระบวนพยุหยาตราแห่งนั้น

ฉับพลัน ปรากฏเกลียวแสงเรืองรองส่องประกายระยิบระยับจับตาไปทั่วท้องนภา

" เกิดเหตุใด ? "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงชะโงกพระพักตร์ออกจากพระราชยานคานหาม

" ขอเดชะพระนาง บัดนี้มีองค์เทวามาปรากฏเพคะ "

วาริชฌาภาร์ณากราบบังคมทูล

" จริงฤาเจ้า !! ไหน...ไหนกันองค์เทวา "

พระนางสุบินสวรรค์ตื่นพระองค์แลทรงรีบกระโจนลงจากพระราชยานในทันที

" โน่นเพคะ "

สะขรุมจินห์ชี้นิ้วไปบนฟ้า...

ทุกสายตาต่างทอดมองเป็นจุดเดียวกัน แลเห็นองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ องค์มหาเทพเจ้าสูงสุดผู้ปกปักษ์มวลมนุษยชาติทรงฉลองพระองค์ในอาภรณ์พรรณสีขาวบริสุทธิ์กำลังลอยละล่องอยู่ในนภากาศ

เหล่าพสกนิกรต่างทรุดกายลงหมอบกราบนมัสการองค์เทวาเบื้องสรวงพระองค์นั้นโดยพร้อมเพรียงกันพลางเปล่งสุรวาจาสรรเสริญ

" โอ้....องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์เจ้า.... "

ซึ่ง ณ บัดนั้นนั่นเอง พระสุรเสียงอันนุ่มลึกชวนศรัทธายิ่งแห่งองค์เทวาก็พลันก้องกังวาลไปทั่วว่า

" สุบินสวรรค์เจ้าเอยยยยย... อนาคตอันไกลของเจ้าจะสมควรแก่ทิศหรดี จงผูกสัมพันธไมตรีกับมูรตีเสียแต่บัดนี้เถิด แล้วการต่อไปภายภาคหน้านั้นจะเห็นผล "

เมื่อจบพระดำรัส องค์เทวาพระองค์นั้นก็พลันหายลับไป

ในที่สุด กระบวนพยุหยาตราแห่งพระนางสุบินสวรรค์ก็จำต้องเบี่ยงทิศทางไปยังกรุงอนันตาตามพระบัญชาชี้แนะแห่งองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าสูงสุดแห่งโลกนี้กระนั้นแล

- - - - - - - - -

กรุงอนันตา...

ณ บัดนั้น สมเด็จพระเจ้ามหามูรตีศรีอนันตาวิลิศสมาหราราชันย์ พระเจ้ากรุงอนันตา เสด็จออกประทับพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน เสด็จว่าราชการงานเมืองดังเช่นปรกติ

ปุโรหิตค่อยๆคืบคลานเข้ามาเบื้องหน้าก่อนถวายบังคม

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวอนันตา ด้วยปฐมเหตุที่พระองค์ทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันดูแลรับผิดชอบกิจการก่อสร้างและบูรณะพระมหามณเฑียรปราสาทในพระบรมมหาราชวังนั้น บัดนี้กาลทุกอย่างได้สำเร็จลุล่วงสมดังพระราชประสงค์จำนงหมายหมดสิ้นแล้วพระเจ้าข้า "

" ขอขอบใจท่านปุโรหิตที่สู้อุตส่าห์เป็นธุระจัดการทุกอย่างจนสัมฤทธิ์ผล เช่นนั้น เราจะสมนาคุณปูนบำเหน็จด้วยการอนุญาติให้ท่านไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจในต่างดินแดนได้ตามใจปรารถนาทุกประการ "

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวงอย่างอบอุ่น ก่อนปุโรหิตจะกราบถวายบังคมลา

" เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นพระเจ้าข้า "

ฉับพลัน มหาดเล็กผู้ว่องไว รีบถลาไถลกายเข้ามากราบบังคม

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทผู้ปกปักษ์ประเทศชาติ ณ บัดนี้ มีข่าวรายงานมาว่าพระเจ้ากรุงละวิรัฐได้เสด็จสวรรคตแล้วพระเจ้าข้า

มโหรีลั่นประโคมสรรพดนตรีศิลป์ทั้งมวลจนกระหึ่มไปทั้งท้องพระโรงแลมหามณเฑียรปราสาท

เจ้าฟ้ามูรตีทรงเงยพระพักตร์ขึ้นสูงจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงแผ่วผิวว่า

" เทวาบัญชาการแท้เทียว "

มหาอำมาตย์เอกขยับกายมาเบื้องหน้าจึ่งกราบทูล

" เห็นควรส่งราชสาส์นสำแดงโศก "

" เหมาะยิ่ง ท่านจัดการสิ แล้วอย่าลืมราชสาส์นสำแดงสุขไปแด่ เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์องค์ใหม่ด้วย เห็นจะได้ขึ้นครองราชย์ต่อเป็นแม่นมั่น "

เจ้าฟ้ามูรตีดำรัสจบ อำมาตย์ยื่นหน้าสลอนกราบบังคมทูลต่อ

" แท้เทียวนาพระพุทธเจ้าข้า บัดนี้สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชาได้สถาปนาองค์เองขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าฉกรรณราชามหาโอฬาริกละวิรัฐกษัตรา พร้อมด้วยสมเด็จพระศรีตะกุมะลากามหาราชินี หามีผู้ใดคัดค้าน "

" สงสารก็แต่นางแก้วกานดาเจ้า หากแม้นสดับข่าวคงระทมอาดูรสูญซะไม่มี "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงก้มพระพักตร์ลงด้วยพระอารมณ์สลด แต่...

เพล็ง..ง..ง !!!

เสียงสิ่งของแตกกระจายดังสนั่นลั่นไปทั่วพระราชวัง ตามด้วยเสียงร้องของบรรดานางกำนัลตำหนักใน

" เกิดเหตุอันใดขึ้น ? "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงตะลึง พลางทรงผุดขึ้นจากพระที่โดยพลัน

นางกำนัลผู้หนึ่งรีบวิ่งจนชายผ้านุ่งพลิ้วมาหมอบราบอยู่แทบฝ่าพระบาทพลางกราบทูลด้วยเสียงสั่นเครือด้วยเกรงพระราชอาญา

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ณ บัดนี้ พระนางแก้วกานดาทรงทำโถมไหศวรรย์แตกกระจายสลายสิ้นไปหมดแล้วเพคะ "

" หา... !!!! "

เหล่าขุนนาง อำมาตย์ ข้าราชบริพารทั้งมวลร้องก้อง

พิณพาทย์ทั้งผองกระหึ่มเพลง นางกาลีศรีนรกตกผลึก สามคำรบ จบด้วยการเคาะกรับและขว้างระฆังจนดังสนั่น


* * * * * * * * *

จบบทที่ 9 โปรดติดตามต่อบทที่ 10
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่