เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
*****************
บทที่ 5
ราตรีหนึ่ง ภายในหอพระเทพอีมูแห่งพระบรมมหาราชวังละวิรัฐ เพลากระนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชรากำลังทรงสักการะพระเทพอีมูอยู่ในหอพระ
มาร์ฒแม้นดารณีย์แสร้งปลอมตนเป็นนางพระกำนัลใกล้ชิด ก่อนจะเข้าเพ็ดทูลเรื่องราวที่หล่อนได้สดับมาเกี่ยวกับองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาให้ทรงทราบเพียงลำพัง
" เป็นดังนั้นจริงฤานี่ ? "
พระเจ้ากรุงละวิรัฐพระสุรเสียงสั่นเครือด้วยความตกพระทัยยิ่ง โดยพลัน... ทรงทรุดพระวรกายลงบนพระที่จึ่งตรัสอักครา
" เช่นนั้น เห็นทีครานี้คงจะต้องใช้แผนการณ์ขั้นเด็ดขาดเสียที "
" แผนอันใดหรือเพคะพระอยู่หัวเจ้า "
มาร์ฒแม้นดารณีย์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐก็ทรงมีพระดำรัสว่า
" เราจะจัดพิธีอภิเษกสมรส ระหว่างองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระธิดาแห่งกษัตริย์ภูธรานคร "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงโดยพลัน แลวงเครื่องสายซึ่งประจำ ณ ที่นั้นก็บรรเลงเพลงเถกิงถกลยลโฉมนางหน้าใหม่ เป็นการฉลองชัยที่ได้หนทางจัดการ
- - - - - - - - -
หลายเดือนถัดมา...
ณ ชานกรุงละวิรัฐ บังเกิดกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคแห่งสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระธิดาแห่งกษัตริย์ภูธรานคร ค่อยๆเคลื่อนคล้อยมาตามวนาอย่างช้าๆ และสง่างามสมพระเกียรติ
เหล่าข้าทูลละอองธุลีพระบาทในกระบวนต่างสวมใส่อาภรณ์ประจำชาติอันหลากหลายสีจะพรรณนามี เหล่าสตรีต่างห่มผ้าแพรอันเพริศแพร้วพร้อมเรื่องประดับอันอลังการ ทุกผู้ทุกนางต่างยิ้มแย้มโอษฐ์ให้แก่กัน เนื่องด้วยเป็นพระราชพิธีหลวงอันน่าอิ่มเอมใจที่จะได้ทรงอภิเษกสมรสกับองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ
ในกาลครั้งกระนั้น เหล่าปวงประชาราษฎรแลพสกนิกรแห่งสองพระราชอาณาจักรต่างปลื้มปิติสุดประมาณ เสียงไชโยโห่ร้องแลงานเฉลิมฉลองรื่นเริงก็จัดขึ้นโดยสมพระเกียรติทั่วทั้งพารา นับได้ว่าเป็นงานอันมโหฬารยิ่งใหญ่แห่งทศวรรษที่มิอาจมีงานอื่นใดมาเทียบได้ในแผ่นดิน
ภายในท้องพระโรงอันอลังการแห่งพระบรมมหาราชวังละวิรัฐ เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างพร้อมใจกันเฝ้าแหนกราบถวายบังคมสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ และสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายาเชื้อสายภูธรานคร ซึ่งประทับอยู่เคียงคู่กันบนพระบรมราชบัลลังก์มหาพิสุทธิ์สุวรรรณกาลี
เพลานี้ เหล่าปวงข้าราชบริพารแลขุนนางต่างน้อมเศียรถวายบังคมพร้อมเปล่งสุรวาจาโดยพร้อมเพรียงกันว่า
" ขอองค์เจ้าฟ้าและพระชายาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน "
มโหรีหลวงประโคมบรรเลงเพลงเทวาประสาทพร เก้าเที่ยว เป็นการสรรเสริญพระเกียรติยศ
- - - - - - - - -
ด้วยเหตุที่องค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชานั้น ทรงโปรดการประพาสป่าเป็นที่ยิ่ง ถึงขนาดทรงมีพระดำริให้จัดสร้างราชรถขนาดมหึมาปานภูผาใหญ่ เพื่อทรงใช้เป็นพระราชยานพาหนะในการเสด็จประพาสลำเนาไพรในทุกครา แลได้ทรงพระราชทานนามราชรถองค์นี้ว่า มหาราชรถสุวรรณวิมานสถานเทวาพิลาศ
ราชรถองค์นี้สร้างด้วยไม้สักทองแลไม้จันทน์อย่างดีทั้งองค์ แกะสลักประดับประดาตกแต่งด้วยอัญมณี เงิน ทอง อย่างงดงามระยิบระยับจับตาราวกับเป็นพระราชพาหนะแห่งองค์เทวาเบื้องสรวง
เนื่องจากตัวนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก ดังนั้น การจะเคลื่อนไปในแต่ละครั้งจึงต้องใช้เหล่าทหารหาญหนุ่มฉกรรจ์เรือนร่างกำยำล่ำสันนับพัน ช่วยกันชักลากทางด้านหน้า และในยามเมื่อต้องการจะหยุดราชรถก็จำต้องมีเหล่าทหารหาญอีกชุดในจำนวนที่เสมอกันเพื่อไว้ดึงรั้งทางด้านหลัง
แลในครั้งกระนี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกครา เหล่าชายฉกรรจ์นับพันต่างส่งเสียงเห่ร้องเป็นจังหวะทำนองประกอบการชักลากราชรถมหึมามาตามผืนป่าอันกว้างใหญ่
ณ เบื้องบนแห่งราชรถนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ชายาเชื้อสานภูธรานคร แลสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา พระขนิษฐาในสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชา ทรงประทับมาพร้อมกันในบุษบกพลับพลาเพลานั้น
ทั้งสามพระองค์ต่างกำลังทรงเพลิดเพลินพระราชหฤทัยอยู่กับสภาพภูมิประเทศโดยรอบอันร่มรื่นชื่นตาน่าดูชมด้วยพงพฤกษาแลดอกไม้นานาพันธุ์ที่เบ่งบานสะพรั่งไสว โดยไม่ทรงพากันเฉลียวพระทัยเลยว่า มีแววตาอันคุกรุ่นไปด้วยเพลิงริษยาอันรุ่มร้อนคู่หนึ่ง กำลังมองอยู่ เจ้าของดวงตาคู่นั้นคือ มาร์ฒแม้นดารณีย์ นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ผู้กำลังนั่งจับเจ่าอยู่มี่เชิงราชรถเบื้องล่าง ด้วยความขุ่นข้องในหทัย นางกล่าวกับตัวเองเพียงเบาๆ ว่า
" อุแหม... ช่างหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้เป็นที่ยิ่งจริงๆนะ มิรู้แก่จิตใจเราผู้เฝ้าชะเง้อคอคอยรอปรณนิบัติพัดวีอยู่ตรงนี้บ้างเลย "
ทันใด ใบหน้าอันคมคายแห่งบุรุษเพศผู้หนึ่งพลันเสนอปรากฏขึ้นในทันควัน "
" รอพลีกายให้องค์เจ้าฟ้าอยู่เหรอจ๊ะ มาร์ฒแม้นดารณีย์ "
" อ๊ะ...!! แม่ทัพพรหมบุตรผู้สง่า "
มาร์ฒแม้นดารณีย์ร้องก้อง พลางหันไปมองบุรุษหนุ่มผู้นั้นก่อนกล่าวอีก
" มาทำไมที่นี่น่ะ "
" องค์เจ้าฟ้าดำรัสเรียกหา "
" เหตุฉันใดกัน ฤามีกลศึกมาประชิดพารา "
" หาใช่ไม่... หากแต่ทรงประสงค์กอบกิจชิดชมภิรมย์สวาทตามคาดหมาย "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงพลางร้องร่า
" หา... ไม่นะ.. นี่ทรงเพิ่งอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายา มาไม่นานนี่นา ไฉนองค์เจ้าฟ้ามิทรงเกรงหทัยในพระนางบ้าง "
แม่ทัพพรหมบุตรหันขวับมาทำตาขวางใส่พลางตวาดลั่น
" กอบกิจแบกโถสุพรรณราช สุพรรณศรี ของเจ้าต่อไปเถอะ แม่ดารณีย์เอ๋ย... "
จบคำ แม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเร่งรีบปีนป่ายขึ้นไปบนราชรถยักษ์โดยพลัน ครั้นเมื่อใกล้จะถึงชั้นบนสุด อันเป็นบุษบกพลับพลาที่ประทับแห่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ พลันองค์เจ้าฟ้าทรงชำเลืองเห็นแม่ทัพพรหมบุตรกำลังปีนป่ายราชรถขึ้นมาก็ทรงปรีดายิ่ง ดำรัสขึ้นแก่สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระขนิษฐาของพระองค์ว่า
" เอาละ ขนิษฐา บัดนี้เรามีกิจบางประการจะต้องปฏิบัติ เห็นควรให้เจ้าอยู่เฝ้ายังราชรถแห่งนี้พร้อมกับศรีตะกุมะลากาชายาเราไปพลางก่อน "
" แล้วเจ้าพี่จะเสด็จไปหนใดกันเพคะ "
สมเด็จพระขนิษฐาดำรัสถาม ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าสุพรรณราชาทรงเชิดพระศอชูไสวจึ่งตรัสตอบ
" กอบกิจตระการตาในป่าลึก "
- - - - - - - - -
ภายในวนาดอนอันลี้ลับ...
เพลานั้น สองชายผู้ใฝ่หาในรักต่างโผผินวิ่งร่ามาตามป่าอย่างรื่นเริงใจ หนึ่งในนั้นคือแม่ทัพพรหมบุตรผู้สง่า ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าหาใช่ใครอื่นไม่ หากเป็นองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากระนั้นเอง
ทั้งสองต่างวิ่งไล่หัวร่อต่อกระซิกกันได้สักพักก็ล้มวรกายลงนอนเคียงกันบนผืนหญ้าอันหนานุ่ม ก่อนจะโอ้โลมปฏิโลมตระโบมไล้เรือนกายของกันและกันอย่างซ่านซ่า
แม่ทัพพรหมบุตรโน้มใบหน้าเข้าพรมจุมพิตไปตามดวงพักตร์อันอิ่มเอมแห่งองค์เจ้าฟ้าอย่างหิวกระหาย พลางใช้มือลูบไล้ผิวกายอันเนียนละเอียดอย่างแผ่วผิว
สองร่างแห่งชายฉกรรจ์ต่างตอบสนองความต้องการของกันและกันอย่างซ่านซ่าด้วยลีลารักอันบรรเจิดที่บังเกิดขึ้นทีละน้อย ดุจรอคอยเพลานี้มาแสนนาน ความต้องการผสานเป็นหนึ่งเดียวด้วยเกลียวพายุสวาทที่พัดหวน กระแสเสียงกระเส่าอันเย้ายวนดังประโคมสร้างความรัญจวนอย่างเป็นครรลองประดุจทำนองแห่งคนธรรพ์บนสวรรค์ชั้นฟ้า
ในไม่ช้า เมื่อเพลงพิศวาสอันตระการทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฝั่งฝัน เรือนกายอันกล้าแกร่งก็เกร็งกระชับตอบรับแรงปรารถนาของแต่ละฝ่ายอย่างหิวกระหายและหฤหรรษ์ ก่อนที่สายธารสวรรค์อันคุกรุ่นจะอาบชะโลมไปทั่วผิวกายแห่งชายหนุ่มทั้งสองราวธารอัคคีจากภูผาเพลิงที่โหมปะทุ
เมื่อห้วงแห่งรักอันรวยรื่นนั้นพ้นผ่าน เจ้าฟ้าฉกรรณราชาก็ทรงเอนร่างอิงแอบแม่ทัพพรหมบุตรผู้บึกบึนนั้นไว้อย่างแนบชิดสนิทเนื้อ ทรงกรีดพระดัชนีโลมไล้ไปตามแผงอุราอันกำยำและเต็มไปด้วยไรขนอันเย้ายวนของแม่ทัพหนุ่มจึ่งตรัส
" ข้ารักเจ้าเหลือเกิน พรหมบุตร "
" ข้าพระองค์ก็เช่นกัน "
แม่ทัพผู้กล้ากล่าวพลางก้มหน้าลงจุมพิตพระนลาฏแห่งเจ้าฟ้าฉกรรณราชาคราหนึ่ง "
ทันใดกันนั้นเอง... !!
พลันปรากฏเหล่าชายฉกรรจ์ยิ่งนับสิบ กรูกันออกมาจากพงพนารอบๆด้าน ทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์ที่มำจากหนังเสือหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ เสือโคร่ง เสือดาว เสือลายพาดกลอน และเสือปลา
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงผุดลุกขึ้นในทันใดพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงเข้มอย่างบุรุษชาติอาชาไนย
" พวกเจ้าประสงจำนงหมายสิ่งใด ไยไม่แถลงให้แจ้งชัด "
แม่ทัพพรหมบุตรเบียดกายประชิดองค์เจ้าฟ้าพลางทูลถาม
" ทรงรู้จักพวกมันฤาพระเจ้าค่ะ "
" พวกมันเหล่านี้คือชาวเผ่าสมิงสา แห่งดอยแฉล้มวจี มีอุปนิสัยนิยมชมชอบสมสู่กับทุกเพศ ไม่ว่าชายหญิงหรือขันที "
บัดดลกันนั้น...
พลันปรากฏบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งมีเรือนกายากำยำดุดันที่สุดในหมู่มวลชายโฉดทั้งหลายเหล่านี้
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและแม่ทัพพรหมบุตรหันพักตร์ไปดู
" สมิงสาตาบู !!! "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงแหลมเล็กอย่างอิสตรี
" ขอบพระทัยที่ทรงอุตส่าห์จำข้าพระองค์ได้ "
" มิไยที่ข้าจะจำมิได้ ชื่อเสียงเรียงนามความโหดเหี้ยมของเจ้าออกจะลือกระฉ่อนไปทั่วละวิรัฐ "
เจ้าฟ้าดำรัสค่อนแคะ ฝ่ายสมิงสาตาบูนึกกระหยิ่มจึงว่า
" วาจาคมคายไม่แพ้โฉมพระพักตร์ หวังว่าเราสองคงจะได้ร่วมอภิรมย์สมรักกันสักคราในป่านี้ "
เจ้าฟ้าทรงเชิดพระพักตร์หนีจึงตรัส
" เมินเสียเถอะ "
" เช่นนั้น ข้าพระองค์ก็มิประสงค์จะขัดพระทัย เพียงแต่จะขอถวายสิ่งหนึ่งมให้พระองค์เป็นที่ระลึก "
ฉบัดนั้นเอง...
ฟีสสสสสส....!!!
คมมีดอันกร้าวแกร่งจากศาตราวุธปาดเข้าที่คอหอยของแม่ทัพพรหมบุตรจนโลหิตสาดกระจายต้องพระพักตร์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาจนแดงฉาน
" กรีดดดด !!! พรหมบุตร... "
ทรงกรีดร้องก้อง ก่อนถลามาประคองร่างอันไร้วิญญาณแห่งแม่ทัพผู้สง่าเหนือชายใดผูนั้นไว้ด้วยพระหทัยระทึก
สมิงสาตาบูลั่นหัวเราะก้องก่อนกระโจนกายหนีหายไปพร้อมๆกับสมุนทั้งหลายของมัน โอ...ช่างโหดร้ายเหลือประมานเป็นที่ยิ่งจริงๆ
สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จกลับพระนคร พร้อมกับศพแม่ทัพพรหมบุตรที่พระองค์ทรงรักใคร่ ทรงจัดพิธีศพให้กับแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อย่างสมเกียรติ ทั้งยังทรงมีพระราชโองการให้พสกนิกรไว้ทุกข์ให้แก่แม่ทัพพรหบุตรเป็นเวลา 7 วัน และยังทรงสั่งการให้โรงเรื่องต้นงดใช้มังสาทุกชนิดในการปรุงพระกระยาหารเป็นเวลา 90 วันอีกด้วย
ภายหลังจากที่งานพระราชทานเพลิงศพแม่ทัพพรหมบุตรได้จบลิ้นลงไป สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ จึงทรงถือเป็นศุภฤกษ์ดิถี เห็นควรกราบบังคมทูลลาพระเจ้ากรุงละวิรัฐพระราชบิดา เพื่อทรงเดินทางไปเกาะเทพธิดาเพื่อทรงแสวงหาพื้นพันธุ์ธัญญาหารแปลกใหม่มาปลูกในอินแดนละวิรัฐ
- - - - - - - - -
สำเภาลำมหึมาจอดเทียบท่าอยู่ที่อ่าวโลมเลียสมุทรวดี ศรีวารีแห่งเกวลทวีป อันเป็นราชอาณาเขตแห่งละวิรัฐประเทศ ซึ่งในครากระนั้น เหล่าทาสบุรุษมากมายต่างทยอยกันแบกหีบเครื่องราชูปโภคส่วนพระองค์ขึ้นเรือกันเป็นพัลวัน แลเห็นแต่ความสับสนวุ่นวายแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ เฉกเช่นงานมหรสพก็ไม่ปาน
และกระทั่งเพลากาลอุดมฤกษ์เถลิงวิมุติ มโหรีหลวงพลันประโคมรับเสด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มาร่วมส่งเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศในครั้งกระนี้
ไกลออกไปในหมู่มวลพสกนิกรที่มาร่วมเฝ้าแหน สองบุรุษได้สนทนากันว่า
" ทรงไปเกาะเทพธิดาครานี้คงทำให้ละวิรัฐเราเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยะเป็นแม่นมั่น "
" หากระไรได้... คงจะทรงไปเสริมแต่งพระสิริโฉมให้งดงามขึ้น ดีไม่ดีอาจทรงหมายไปแปลงพระวรกายเป็นอิสตรีเสียด้วยซ้ำ "
" หา... กระนั้นฤา "
กล่าวจบ บุรุษทั้งสองทอดสายตามองเหล่าหมู่ปักษินสีขาวนวลที่โผผินเคียงขนาบสำเภาพระที่นั่งแห่งองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาจนลับตาไป เหลือไว้เพียงสายน้ำที่กระสานซ่านเซ็นเป็นแนวยาว
* * * * * * * * *
จบบทที่ 5 โปรดติดตามต่อบทที่ 6
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 5
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
*****************
บทที่ 5
ราตรีหนึ่ง ภายในหอพระเทพอีมูแห่งพระบรมมหาราชวังละวิรัฐ เพลากระนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐวัยชรากำลังทรงสักการะพระเทพอีมูอยู่ในหอพระ
มาร์ฒแม้นดารณีย์แสร้งปลอมตนเป็นนางพระกำนัลใกล้ชิด ก่อนจะเข้าเพ็ดทูลเรื่องราวที่หล่อนได้สดับมาเกี่ยวกับองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาให้ทรงทราบเพียงลำพัง
" เป็นดังนั้นจริงฤานี่ ? "
พระเจ้ากรุงละวิรัฐพระสุรเสียงสั่นเครือด้วยความตกพระทัยยิ่ง โดยพลัน... ทรงทรุดพระวรกายลงบนพระที่จึ่งตรัสอักครา
" เช่นนั้น เห็นทีครานี้คงจะต้องใช้แผนการณ์ขั้นเด็ดขาดเสียที "
" แผนอันใดหรือเพคะพระอยู่หัวเจ้า "
มาร์ฒแม้นดารณีย์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐก็ทรงมีพระดำรัสว่า
" เราจะจัดพิธีอภิเษกสมรส ระหว่างองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระธิดาแห่งกษัตริย์ภูธรานคร "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงโดยพลัน แลวงเครื่องสายซึ่งประจำ ณ ที่นั้นก็บรรเลงเพลงเถกิงถกลยลโฉมนางหน้าใหม่ เป็นการฉลองชัยที่ได้หนทางจัดการ
- - - - - - - - -
หลายเดือนถัดมา...
ณ ชานกรุงละวิรัฐ บังเกิดกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคแห่งสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระธิดาแห่งกษัตริย์ภูธรานคร ค่อยๆเคลื่อนคล้อยมาตามวนาอย่างช้าๆ และสง่างามสมพระเกียรติ
เหล่าข้าทูลละอองธุลีพระบาทในกระบวนต่างสวมใส่อาภรณ์ประจำชาติอันหลากหลายสีจะพรรณนามี เหล่าสตรีต่างห่มผ้าแพรอันเพริศแพร้วพร้อมเรื่องประดับอันอลังการ ทุกผู้ทุกนางต่างยิ้มแย้มโอษฐ์ให้แก่กัน เนื่องด้วยเป็นพระราชพิธีหลวงอันน่าอิ่มเอมใจที่จะได้ทรงอภิเษกสมรสกับองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ
ในกาลครั้งกระนั้น เหล่าปวงประชาราษฎรแลพสกนิกรแห่งสองพระราชอาณาจักรต่างปลื้มปิติสุดประมาณ เสียงไชโยโห่ร้องแลงานเฉลิมฉลองรื่นเริงก็จัดขึ้นโดยสมพระเกียรติทั่วทั้งพารา นับได้ว่าเป็นงานอันมโหฬารยิ่งใหญ่แห่งทศวรรษที่มิอาจมีงานอื่นใดมาเทียบได้ในแผ่นดิน
ภายในท้องพระโรงอันอลังการแห่งพระบรมมหาราชวังละวิรัฐ เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างพร้อมใจกันเฝ้าแหนกราบถวายบังคมสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ และสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายาเชื้อสายภูธรานคร ซึ่งประทับอยู่เคียงคู่กันบนพระบรมราชบัลลังก์มหาพิสุทธิ์สุวรรรณกาลี
เพลานี้ เหล่าปวงข้าราชบริพารแลขุนนางต่างน้อมเศียรถวายบังคมพร้อมเปล่งสุรวาจาโดยพร้อมเพรียงกันว่า
" ขอองค์เจ้าฟ้าและพระชายาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน "
มโหรีหลวงประโคมบรรเลงเพลงเทวาประสาทพร เก้าเที่ยว เป็นการสรรเสริญพระเกียรติยศ
- - - - - - - - -
ด้วยเหตุที่องค์สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชานั้น ทรงโปรดการประพาสป่าเป็นที่ยิ่ง ถึงขนาดทรงมีพระดำริให้จัดสร้างราชรถขนาดมหึมาปานภูผาใหญ่ เพื่อทรงใช้เป็นพระราชยานพาหนะในการเสด็จประพาสลำเนาไพรในทุกครา แลได้ทรงพระราชทานนามราชรถองค์นี้ว่า มหาราชรถสุวรรณวิมานสถานเทวาพิลาศ
ราชรถองค์นี้สร้างด้วยไม้สักทองแลไม้จันทน์อย่างดีทั้งองค์ แกะสลักประดับประดาตกแต่งด้วยอัญมณี เงิน ทอง อย่างงดงามระยิบระยับจับตาราวกับเป็นพระราชพาหนะแห่งองค์เทวาเบื้องสรวง
เนื่องจากตัวนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก ดังนั้น การจะเคลื่อนไปในแต่ละครั้งจึงต้องใช้เหล่าทหารหาญหนุ่มฉกรรจ์เรือนร่างกำยำล่ำสันนับพัน ช่วยกันชักลากทางด้านหน้า และในยามเมื่อต้องการจะหยุดราชรถก็จำต้องมีเหล่าทหารหาญอีกชุดในจำนวนที่เสมอกันเพื่อไว้ดึงรั้งทางด้านหลัง
แลในครั้งกระนี้ก็เช่นเดียวกันกับทุกครา เหล่าชายฉกรรจ์นับพันต่างส่งเสียงเห่ร้องเป็นจังหวะทำนองประกอบการชักลากราชรถมหึมามาตามผืนป่าอันกว้างใหญ่
ณ เบื้องบนแห่งราชรถนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ชายาเชื้อสานภูธรานคร แลสมเด็จเจ้านางแก้วกานดา พระขนิษฐาในสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชา ทรงประทับมาพร้อมกันในบุษบกพลับพลาเพลานั้น
ทั้งสามพระองค์ต่างกำลังทรงเพลิดเพลินพระราชหฤทัยอยู่กับสภาพภูมิประเทศโดยรอบอันร่มรื่นชื่นตาน่าดูชมด้วยพงพฤกษาแลดอกไม้นานาพันธุ์ที่เบ่งบานสะพรั่งไสว โดยไม่ทรงพากันเฉลียวพระทัยเลยว่า มีแววตาอันคุกรุ่นไปด้วยเพลิงริษยาอันรุ่มร้อนคู่หนึ่ง กำลังมองอยู่ เจ้าของดวงตาคู่นั้นคือ มาร์ฒแม้นดารณีย์ นางแบกพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ผู้กำลังนั่งจับเจ่าอยู่มี่เชิงราชรถเบื้องล่าง ด้วยความขุ่นข้องในหทัย นางกล่าวกับตัวเองเพียงเบาๆ ว่า
" อุแหม... ช่างหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้เป็นที่ยิ่งจริงๆนะ มิรู้แก่จิตใจเราผู้เฝ้าชะเง้อคอคอยรอปรณนิบัติพัดวีอยู่ตรงนี้บ้างเลย "
ทันใด ใบหน้าอันคมคายแห่งบุรุษเพศผู้หนึ่งพลันเสนอปรากฏขึ้นในทันควัน "
" รอพลีกายให้องค์เจ้าฟ้าอยู่เหรอจ๊ะ มาร์ฒแม้นดารณีย์ "
" อ๊ะ...!! แม่ทัพพรหมบุตรผู้สง่า "
มาร์ฒแม้นดารณีย์ร้องก้อง พลางหันไปมองบุรุษหนุ่มผู้นั้นก่อนกล่าวอีก
" มาทำไมที่นี่น่ะ "
" องค์เจ้าฟ้าดำรัสเรียกหา "
" เหตุฉันใดกัน ฤามีกลศึกมาประชิดพารา "
" หาใช่ไม่... หากแต่ทรงประสงค์กอบกิจชิดชมภิรมย์สวาทตามคาดหมาย "
มาร์ฒแม้นดารณีย์นัยน์ตาลุกโพลงพลางร้องร่า
" หา... ไม่นะ.. นี่ทรงเพิ่งอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา พระชายา มาไม่นานนี่นา ไฉนองค์เจ้าฟ้ามิทรงเกรงหทัยในพระนางบ้าง "
แม่ทัพพรหมบุตรหันขวับมาทำตาขวางใส่พลางตวาดลั่น
" กอบกิจแบกโถสุพรรณราช สุพรรณศรี ของเจ้าต่อไปเถอะ แม่ดารณีย์เอ๋ย... "
จบคำ แม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเร่งรีบปีนป่ายขึ้นไปบนราชรถยักษ์โดยพลัน ครั้นเมื่อใกล้จะถึงชั้นบนสุด อันเป็นบุษบกพลับพลาที่ประทับแห่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ พลันองค์เจ้าฟ้าทรงชำเลืองเห็นแม่ทัพพรหมบุตรกำลังปีนป่ายราชรถขึ้นมาก็ทรงปรีดายิ่ง ดำรัสขึ้นแก่สมเด็จเจ้านางแก้วกานดาพระขนิษฐาของพระองค์ว่า
" เอาละ ขนิษฐา บัดนี้เรามีกิจบางประการจะต้องปฏิบัติ เห็นควรให้เจ้าอยู่เฝ้ายังราชรถแห่งนี้พร้อมกับศรีตะกุมะลากาชายาเราไปพลางก่อน "
" แล้วเจ้าพี่จะเสด็จไปหนใดกันเพคะ "
สมเด็จพระขนิษฐาดำรัสถาม ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าสุพรรณราชาทรงเชิดพระศอชูไสวจึ่งตรัสตอบ
" กอบกิจตระการตาในป่าลึก "
- - - - - - - - -
ภายในวนาดอนอันลี้ลับ...
เพลานั้น สองชายผู้ใฝ่หาในรักต่างโผผินวิ่งร่ามาตามป่าอย่างรื่นเริงใจ หนึ่งในนั้นคือแม่ทัพพรหมบุตรผู้สง่า ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าหาใช่ใครอื่นไม่ หากเป็นองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากระนั้นเอง
ทั้งสองต่างวิ่งไล่หัวร่อต่อกระซิกกันได้สักพักก็ล้มวรกายลงนอนเคียงกันบนผืนหญ้าอันหนานุ่ม ก่อนจะโอ้โลมปฏิโลมตระโบมไล้เรือนกายของกันและกันอย่างซ่านซ่า
แม่ทัพพรหมบุตรโน้มใบหน้าเข้าพรมจุมพิตไปตามดวงพักตร์อันอิ่มเอมแห่งองค์เจ้าฟ้าอย่างหิวกระหาย พลางใช้มือลูบไล้ผิวกายอันเนียนละเอียดอย่างแผ่วผิว
สองร่างแห่งชายฉกรรจ์ต่างตอบสนองความต้องการของกันและกันอย่างซ่านซ่าด้วยลีลารักอันบรรเจิดที่บังเกิดขึ้นทีละน้อย ดุจรอคอยเพลานี้มาแสนนาน ความต้องการผสานเป็นหนึ่งเดียวด้วยเกลียวพายุสวาทที่พัดหวน กระแสเสียงกระเส่าอันเย้ายวนดังประโคมสร้างความรัญจวนอย่างเป็นครรลองประดุจทำนองแห่งคนธรรพ์บนสวรรค์ชั้นฟ้า
ในไม่ช้า เมื่อเพลงพิศวาสอันตระการทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งฝั่งฝัน เรือนกายอันกล้าแกร่งก็เกร็งกระชับตอบรับแรงปรารถนาของแต่ละฝ่ายอย่างหิวกระหายและหฤหรรษ์ ก่อนที่สายธารสวรรค์อันคุกรุ่นจะอาบชะโลมไปทั่วผิวกายแห่งชายหนุ่มทั้งสองราวธารอัคคีจากภูผาเพลิงที่โหมปะทุ
เมื่อห้วงแห่งรักอันรวยรื่นนั้นพ้นผ่าน เจ้าฟ้าฉกรรณราชาก็ทรงเอนร่างอิงแอบแม่ทัพพรหมบุตรผู้บึกบึนนั้นไว้อย่างแนบชิดสนิทเนื้อ ทรงกรีดพระดัชนีโลมไล้ไปตามแผงอุราอันกำยำและเต็มไปด้วยไรขนอันเย้ายวนของแม่ทัพหนุ่มจึ่งตรัส
" ข้ารักเจ้าเหลือเกิน พรหมบุตร "
" ข้าพระองค์ก็เช่นกัน "
แม่ทัพผู้กล้ากล่าวพลางก้มหน้าลงจุมพิตพระนลาฏแห่งเจ้าฟ้าฉกรรณราชาคราหนึ่ง "
ทันใดกันนั้นเอง... !!
พลันปรากฏเหล่าชายฉกรรจ์ยิ่งนับสิบ กรูกันออกมาจากพงพนารอบๆด้าน ทั้งหมดล้วนสวมอาภรณ์ที่มำจากหนังเสือหลากหลายสายพันธุ์ อาทิ เสือโคร่ง เสือดาว เสือลายพาดกลอน และเสือปลา
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงผุดลุกขึ้นในทันใดพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงเข้มอย่างบุรุษชาติอาชาไนย
" พวกเจ้าประสงจำนงหมายสิ่งใด ไยไม่แถลงให้แจ้งชัด "
แม่ทัพพรหมบุตรเบียดกายประชิดองค์เจ้าฟ้าพลางทูลถาม
" ทรงรู้จักพวกมันฤาพระเจ้าค่ะ "
" พวกมันเหล่านี้คือชาวเผ่าสมิงสา แห่งดอยแฉล้มวจี มีอุปนิสัยนิยมชมชอบสมสู่กับทุกเพศ ไม่ว่าชายหญิงหรือขันที "
บัดดลกันนั้น...
พลันปรากฏบุรุษอีกผู้หนึ่งซึ่งมีเรือนกายากำยำดุดันที่สุดในหมู่มวลชายโฉดทั้งหลายเหล่านี้
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและแม่ทัพพรหมบุตรหันพักตร์ไปดู
" สมิงสาตาบู !!! "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงแหลมเล็กอย่างอิสตรี
" ขอบพระทัยที่ทรงอุตส่าห์จำข้าพระองค์ได้ "
" มิไยที่ข้าจะจำมิได้ ชื่อเสียงเรียงนามความโหดเหี้ยมของเจ้าออกจะลือกระฉ่อนไปทั่วละวิรัฐ "
เจ้าฟ้าดำรัสค่อนแคะ ฝ่ายสมิงสาตาบูนึกกระหยิ่มจึงว่า
" วาจาคมคายไม่แพ้โฉมพระพักตร์ หวังว่าเราสองคงจะได้ร่วมอภิรมย์สมรักกันสักคราในป่านี้ "
เจ้าฟ้าทรงเชิดพระพักตร์หนีจึงตรัส
" เมินเสียเถอะ "
" เช่นนั้น ข้าพระองค์ก็มิประสงค์จะขัดพระทัย เพียงแต่จะขอถวายสิ่งหนึ่งมให้พระองค์เป็นที่ระลึก "
ฉบัดนั้นเอง...
ฟีสสสสสส....!!!
คมมีดอันกร้าวแกร่งจากศาตราวุธปาดเข้าที่คอหอยของแม่ทัพพรหมบุตรจนโลหิตสาดกระจายต้องพระพักตร์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาจนแดงฉาน
" กรีดดดด !!! พรหมบุตร... "
ทรงกรีดร้องก้อง ก่อนถลามาประคองร่างอันไร้วิญญาณแห่งแม่ทัพผู้สง่าเหนือชายใดผูนั้นไว้ด้วยพระหทัยระทึก
สมิงสาตาบูลั่นหัวเราะก้องก่อนกระโจนกายหนีหายไปพร้อมๆกับสมุนทั้งหลายของมัน โอ...ช่างโหดร้ายเหลือประมานเป็นที่ยิ่งจริงๆ
สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จกลับพระนคร พร้อมกับศพแม่ทัพพรหมบุตรที่พระองค์ทรงรักใคร่ ทรงจัดพิธีศพให้กับแม่ทัพหนุ่มผู้นี้อย่างสมเกียรติ ทั้งยังทรงมีพระราชโองการให้พสกนิกรไว้ทุกข์ให้แก่แม่ทัพพรหบุตรเป็นเวลา 7 วัน และยังทรงสั่งการให้โรงเรื่องต้นงดใช้มังสาทุกชนิดในการปรุงพระกระยาหารเป็นเวลา 90 วันอีกด้วย
ภายหลังจากที่งานพระราชทานเพลิงศพแม่ทัพพรหมบุตรได้จบลิ้นลงไป สมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศ จึงทรงถือเป็นศุภฤกษ์ดิถี เห็นควรกราบบังคมทูลลาพระเจ้ากรุงละวิรัฐพระราชบิดา เพื่อทรงเดินทางไปเกาะเทพธิดาเพื่อทรงแสวงหาพื้นพันธุ์ธัญญาหารแปลกใหม่มาปลูกในอินแดนละวิรัฐ
- - - - - - - - -
สำเภาลำมหึมาจอดเทียบท่าอยู่ที่อ่าวโลมเลียสมุทรวดี ศรีวารีแห่งเกวลทวีป อันเป็นราชอาณาเขตแห่งละวิรัฐประเทศ ซึ่งในครากระนั้น เหล่าทาสบุรุษมากมายต่างทยอยกันแบกหีบเครื่องราชูปโภคส่วนพระองค์ขึ้นเรือกันเป็นพัลวัน แลเห็นแต่ความสับสนวุ่นวายแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ เฉกเช่นงานมหรสพก็ไม่ปาน
และกระทั่งเพลากาลอุดมฤกษ์เถลิงวิมุติ มโหรีหลวงพลันประโคมรับเสด็จพระเจ้ากรุงละวิรัฐ พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ ที่มาร่วมส่งเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหาอุปราชละวิรัฐประเทศในครั้งกระนี้
ไกลออกไปในหมู่มวลพสกนิกรที่มาร่วมเฝ้าแหน สองบุรุษได้สนทนากันว่า
" ทรงไปเกาะเทพธิดาครานี้คงทำให้ละวิรัฐเราเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยะเป็นแม่นมั่น "
" หากระไรได้... คงจะทรงไปเสริมแต่งพระสิริโฉมให้งดงามขึ้น ดีไม่ดีอาจทรงหมายไปแปลงพระวรกายเป็นอิสตรีเสียด้วยซ้ำ "
" หา... กระนั้นฤา "
กล่าวจบ บุรุษทั้งสองทอดสายตามองเหล่าหมู่ปักษินสีขาวนวลที่โผผินเคียงขนาบสำเภาพระที่นั่งแห่งองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาจนลับตาไป เหลือไว้เพียงสายน้ำที่กระสานซ่านเซ็นเป็นแนวยาว
* * * * * * * * *
จบบทที่ 5 โปรดติดตามต่อบทที่ 6