เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
*****************
บทที่ 13
ณ นครละวิรัฐ
ในปัจจุบันกาลเดียวกันนั้นเอง...
ทางฝ่ายกรุงละวิรัฐ... เจ้าฟ้าฉกรรณราชา เอกองค์มหาราชผู้เสวยสมบัตินครละวิรัฐ ทรงออกประทับนั่งบัลลังก์มหาพิสุทธิ์สุวรรณกาลี แวดล้อมด้วยเหล่ามหาอำมาตย์และนางกำนัลทั้งปวง
นับวัน องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ทรงมีพระสิริโฉมงดงามนวลเนียนขึ้นทุกขณะ อีกทั้งพระวรกายก็อ้อนแอ้นอรชร พระนวลฉวีเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จนเหล่านารีทั้งพระนครต้องอายม้วนต้วน
พระกิติศัพท์แห่งพระสิริโฉมได้กระจายฟุ้งลือกระฉ่อนไปทั่วแว่นแคว้น ชวนให้บรรดากษัตริย์อริราชทั้งหลายหมายคำนึงว่าทรงเป็นบุรุษเพศที่งดงามกว่าสตรีใดจริงแท้
ทางเบื้องซ้ายของพระองค์คือสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ชาเชื้อสายภูธรานคร พระนางเองก็ทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามไม่แพ้พระสวามี จนในบางครั้ง เหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารเกือบเข้าใจผิดว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนกันแน่ เนื่องจากว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชาเองก็ทรงชุดฉลองพระองค์เยี่ยงพระราชินีเช่นกัน
ภายในท้องพระโรงแห่งกรุงละวิรัฐเพลากระนั้น ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน เพราะกำลังเป็นมหาสมาคม
หากแต่องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาหาได้ทรงสนพระทัยกับการออกว่าราชการไม่ เนื่องจากกำลังทรงหยอกล้ออยู่กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาพระชายาอย่างชื่นบาน
มหาดเล็กนายหนึ่งเคลื่อนกายผ่านเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายกันอยู่มุ่งสู่ ตรึงสมัย มหาอำมาตย์เอกแห่งกรุงละวิรัฐพลางกระซิบอะไรอยู่ครู่
ดวงตาทั้งคู่ของมหาอำมาตย์หนุ่มรูปงามเบิกกว้งขึ้นพลางเอามือป้องปาก ก่อนจะเขยิบกายาหันมาทางเจ้าฟ้าฉกรรณราชา องค์กษัตราแห่งละวิรัฐพลางถวายบังคมแล้วกราบทูล
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ณ บัดนี้ เจ้าฟ้ามูรตีผู้โอหัง ได้จับตัวสมเด็จพระขนิษฐาของพระองค์ไว้เป็นตัวประกันใกล้ชิดสนิทแนบแอบอิงระวิงกายา เนื่องจากเกรงว่าพระองค์จะยกทัพเข้าโจมตีกรุงอนันตาพระเจ้าข้า "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จลุกขึ้น ทรงเอื้อนเอ่ยมธุรสวาจาด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนหวานแช้มช้อยชมดชม้อยอย่างอิสตรี
" มิไยที่มูรตีเธอสิจะทำเช่นนั้น ประหนึ่งหยามพระยศพระเกียรติแห่งเราผู้เป็นเจ้าครองนครละวิรัฐ "
ดำรัสจบ ทรงหันมาทางอำมาตย์คู่พระทัย
" อำมาตย์เอย... เจ้าเห็นควรเช่นใดจ๊ะ..... "
มหาอำมาตย์เอกชำเลืองมองเหล่าขุนนาง ราวกับจะรอดูว่ามีผู้ใดทักท้วง ครั้นไม่มี มหาอำมาตย์หนุ่มได้หันมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบเบื้องพระยุคลบาทว่า
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ในการนี้ เจ้าฟ้ามูรตีทรงคิดไปแต่เฉพาะองค์ว่าฝ่ายละวิรัฐเราจะกรีฑาทัพเข้าไปย่ำยีอนันตาให้พินาศ แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ หากเพียงแต่เป็นพระบัญชาการของพระองค์ในอันที่จะตระเตรียมกองพลพยุหยาตราเสด็จทางสถลมารคเพื่อทรงประพาสลำเนาไพรในราชอาณาจักรดังปกติวิสัยเช่นทุกครากระนั้น "
" ก็จริงอยู่... ว่าต่อไปสิพ่ออำมาตย์คู่ใจเรา "
ทรงเอ่ยพลางคลอเคล้าพระชายา
" เช่นนั้น... มิไยละวิรัฐเราไม่ส่งของกำนัลบางอย่างไปให้อนันตา เพื่อปรองดองวิถีแห่งกษัตริยราชนครแลลดกระแสความรุนแรงแถบชายพระนครเล่าพระเจ้าข้า "
" แล้วเราจะให้อะไรไปดีฤา "
" นกอีมูรากู้ ที่เรามี น่าจะดีแท้ "
" ไม่ได้นะเพคะ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงขัดขึ้น
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและอำมาตย์เอกหันมามองพระนางโดยพลัน ประหนึ่งตำหนิว่าไฉนจึงทรงสอดแทรกการสนทนาให้ล่าช้าชะงักงันเช่นนี้
กษัตริย์หนุ่มรูปงามหันมาทางมหาอำมาตย์เอกรูปหล่อล่ำพลางตรัสไปว่า
" อันว่านกอีมูรากู้นั้นเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่าแห่งอาณาจักรละวิรัฐ สืบทอดอายุมาก็กว่าห้าพันปีแล้ว จะเอาไปให้อนันตานั้นจะเหมาะหรือ เราว่าหาสิ่งอื่นจะมิเหมาะเจาะพ้องต้องกันกว่านี้มิแยแส "
" ถึงเพลาพระกระยาหารเย็นแล้วเพคะ เสด็จพี่ฉกรรณราชา "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงทูนถวายพานผลหมากรากไม้ที่ทรงแกะสลักเสร็จหมาดๆ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาพร้อมมหาอำมาตย์ได้หันขวับมาอีก
" เกิดมาเป็นตัว มีผัวเป็นตน มิไยไม่ยับยั้งอารมณ์ป่วนให้หวนถึงมือเที่ยงเมื่อตะกี้ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสด้วยสีพระพักตร์เข้ม
" หม่อมฉันผิดไปแล้ว "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงสงบไป
องค์มหาราชละวิรัฐทรงสาวพระเนตรไปโดยรอบท้องพระโรงอันมโหฬารตระการตา พลางตรัสด้วยการดัดพระสุรเสียงให้เหี้ยมหาญสุขุมคัมภีรภาพ
" บัดนี้เราขอเปิดโอกาสให้พวกเจ้าถ้อยแถลงมาได้ "
ครู่หนึ่งจึงมีผู้ยกหัตถ์ขึ้น เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงปรีดา พลางทรงกรีดพระดัชนีไปหาผู้นั้นโดยพลัน
" เจ้า.... "
น้ำพระสุรเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานดังเดิม
ขุนนางชราผุดขึ้นอย่างช้าๆ
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกเกศปกประเทศ ข้าพระองค์ถูกหมางเมินมานาน ครานี้ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นว่า มหาอำมาตย์หนุ่มด้อยปัญญานัก การมโหฬารปานนี้ ยังจะมีแก่ใจให้อีมูรากู้แก่อนันตาประเทศอริราช เช่นนั้น มหาอำมาตย์สมควรแก่การนำผ้านุ่งมาคลุมหัวจะดีกว่ากระนั้นแล "
" หา... !! ไอ้แก่... แก... "
มหาอำมาตย์เอกค้อนขวับฉับพลัน
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงหันมาทางมหาอำมาตย์คู่ใจอีกคราพลางตรัสถาม
" ฤาท่านว่าไง จะมีความคิดอื่นใดอีกแล "
มหาอำมาตย์เอกกระหยิ่มยิ้มย่องผ่องใสปานได้ช่องพร้อมทำแววตาเจ้าเล่ห์พลางทูลด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว
" ข้าพระองค์เห็นควรถล่มอนันตาราบคาบ พลีชีพพระขนิษฐาเสีย "
มโหรีกระหน่ำฉาบยักษ์ดังสนั่น
การดังกล่าวยังความขุ่นข้องให้เกิดขึ้นแก่สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาเป็นยิ่งนัก จนสุดที่พระนางจะทรงเฉยเมยอยู่ได้อีกต่อไป ทรงพิโรธพลางทรงทุบบัลลังก์สุวรรณกาลีดังครืนจึ่งตรัสลั่นท้องพระโรงแห่งนั้น
" เสด็จพี่...!!!! ไฉนเลยจะกระทำการเช่นนั้น พระขนิษฐาของพระองค์แท้ๆ จะทรงทอดทิ้งได้อย่างไร "
มโหรีหลวงบรรเลงเพลงละวิรัฐเสี่ยงรัก สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงร้องนำ ตามด้วยเจ้าฟ้าฉกรรณราชา และมหาอำมาตย์เอก
" ฤาเห็นควร... จะเสีย... ขนิษฐา... "
" น้องนางอย่าได้... สอดมา "
" กษัตรา.... ตรัสชอบดี.. "
บทเพลงจบลงด้วยมโหรีลั่นฆ้องชัย
เพลากระนั้น...
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาพิโรธหนัก เสด็จลุกขึ้น สะบัดสไบทอง ทรงกล่าวกับนางกำนัลทั้งมวล
" นิวัติภูธรา "
จบคำ.. เสด็จสืบพระบาทนำหน้า นางกำนัลทั้งมวลพากันแบกพัดวี โถพระน้ำหมาก พระเชี่ยนหมากทอง โถพระสุธารสร้อนเย็น สืบเท้าจากไป แลเห็นสไบทองปลิวเป็นทิวแถว
มโหรีบรรเลงเพลงละวิรัฐเริงร่ามหาศาลบานตะเกียง เคล้าคลอด้วยเสียงพิณ เหล่าขุนนางจุดพลุตะไลไฟพะเนียงเป็นการเฉลิมฉลอง ราวกับรอเวลานี้มานานแสนนาน เวลาที่ภูธราจะคืบคลานออกจากละวิรัฐ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จก้าวมาข้างหน้าหนึ่งพระบาท ทรงเชิดพระพักตร์ค้อนพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงเฉียบคม
" เชอะ...นังครกแตก คิดจะมาแลกสำเภาละวิรัฐ หึ หึ หึ ข้าจะแต่งตั้งมาร์ฒแม้นดารณีย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีแทนมัน "
ฉับพลัน...
มาร์ฒแม้นดารณีย์ อิสตรีผู้อาภัพกลับตะลึงงัน นางปลื้มปิติสุดประมาณ โอกาสที่รอคอยมานานได้อุบัติขึ้นอย่างที่นางไม่คาดคิดมาก่อน
ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นราชินีทวีทะยานขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่นางยังเยาวัย ในครานั้น นางได้แต่เฝ้าฝันให้มีราชยานคานหามมาเกย แล้วอยู่มาวันหนึ่งความฝันก็พลันเป็นจริง เมื่อมหาดเล็กหลวงอัญเชิญพระราชโองการมาเรียกตัวให้เข้าวังด่วนที่สุด เนื่องด้วยวังในหาสตรีที่จะทำหน้าที่แบกสุพรรณศรี พระสุพรรณราชไม่ได้เลยแม้แต่ผู้เดียว
ความปรีดาถึงจุดอิ่มตัว ยังผลให้มาร์ฒแม้นดารณีย์เกิดคลั่ง นางฉวยพัดขนนกบุษราคัมที่ใช้พัดวีองค์กษัตริย์ พลางวิ่งไปรอบๆท้องพระโรงพร้อมตะโกนก้อง
" อุ้ยตาย... !! จริงเหรอเพคะฝ่าบาท... หม่อมฉันได้เป็นหลวงแล้ว "
ฝ่าบาทแห่งละวิรัฐ ทรงชำเลืองมองมาร์ฒแม้นดารณีย์ด้วยหางพระเนตร พลางทรงหันไปจูงอำมาตย์เอกขึ้นตรัส
" ขึ้นห้องเถอะจ้ะ มหาอำมาตย์ "
มหาอำมาตย์หนุ่มประคับประคององค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาผู้เลอโฉมเดินหายเข้าไปทางเบื้องหลัง
มโหรีหลวงประโคมเพลงเทพบุตรสองตระกองกันสวรรค์โปรด สรรเสริญเจ้าฟ้าฉกรรณราชา แล้วต่อด้วยเพลงธิดากรรแสงรุนแรงเหลือ เพื่อเยาะเย้ยมาร์ฒแม้นดารณีย์ซึ่งกำลังยืนชูสไบและพัดขนนกบุษราคัมอย่างเดียวดายอยู่กลางท้องพระโรง
มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระวิสูตรลงอย่างช้าๆ เพื่อปกปิดองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและมหาอำมาตย์เอก
เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างกรูกันไปมุงอยู่รอบๆพระวิสูตรเพื่อแอบมองกิจกรรมอันเกิดแก่บุรุษเพศทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าเป็นของแปลกสุดประมาณนานับ
- - - - - - - - -
ฝ่ายกองทัพนางกำนัลทั้งสามพันห้า ของสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ค่อยๆสืบบาทฉับๆ สไบทองปลิวเป็นทิวแถวจากกรุงละวิรัฐสู่นครภูธรา
เมื่อทรงยาตรากระบวนพยุหฯ ออกจากละวิรัฐมาได้สักระยะ ก็พลันประสบกับทหารม้าเร็วจากกรุงภูธราควบอาชามาประจวบเหมาะพอดิบพอดี ศริพารฟาร์ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระศรีตะกุมะลาการีบกราบทูลโดยพลัน
" ขอเดชะ สมเด็จฯ พระระเห็จออกจากกรุง ณ บัดนี้ มีอาชาจากภูธรามุ่งมาทางกระบวนเพคะ เกรงว่าจะมีราชสาส์นด่วนจากภูธราประเทศเขตขันธ์ "
" กระนั้นมิไยไม่รีบชี้ช่องให้ล่องมาทางเรา "
" รับด้วยเกล้าเพตะพระองค์ "
จบคำ ศรีพารฟาร์รีบโจนทะยานพุ่งตรงไปยังม้าเร็วผู้นั้นโดยทันใด ก่อนจะเอากายาเข้าขวางกั้นไว้ด้วยความองอาจพลางตวาดลั่น
" ช้าก่อน... เจ้า มีข่าวคราวอันใดมากราบทูลองค์สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ณ บัดเพลานี้ได้ทรงระเห็จออกจากกรุงละวิรัฐแล้ว "
" ประทับอยู่หนใดๆฤา "
" ที่นั่นกระนั้นแล "
ศรีพารฟาร์ผายหัตถาไปยังพระเสลี่ยงทองคำองค์ใหญ่
ทหารม้าเร็วมิรอช้า รีบกระโจนลงจากอาชาก่อนกระวีกระวาดเข้าหาองค์แล้วก้มลงกราบถวายบังคมแทบเบื้องยุคลบาท
" ขอเดชะ สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาเจ้า ณ บัดนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงภูธรา ได้เสด็จสวรรคตลงแล้วพระเจ้าข้า "
มโหรีกระหน่ำฉาบแลซึงทองพร้อมสั่นกระดิ่ง เหล่านางข้าราชบริพารทั้งมวลพากันร่ำไห้ครวญครางกระเส่าเศร้าโศกโศกาอาดูรจะพรรณนามี
" ขอพระนางเจ้าศรีตะกุมะลากาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นล้านปี "
ทหารม้าเร็วตะโกนก้องพงพนาพลางก้มลงกราบ
ศรีพารฟาร์เขยิบกายาเข้าใกล้องค์พลางกราบทูล
" ขอเดชะ ณ บัดนี้ ทรงดำรงพระยศเป็นพระราชินีแห่งภูธราเราแล้วนะเพคะพระนางขา "
พระนางศรีตะกุมะลากาเสด็จลุกออกจากพระเสลี่ยงพลางทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสู่ฟ้า ประหนึ่งรับเทวบัญชาแห่งองค์เทวัญ
ฉับพลัน... พระนางทรงคะนึงในพระทัย...
.....อุเหม่นี่หนอ มิสู้ตัวเราผู้ครองบรมฉัตรแห่งภูธราประเทศจะหาพวกร่วมเป็นภาคี เข้าถล่มกรุงละวิรัฐให้พินาศ เช่นนั้น.....
" ศริพารฟาร์... "
ดำรัสเรียก
" เพคะพระนาง "
ศริพารฟาร์ถลาเข้าน้อมเศียร
" จงเปิดบัญชีดูทีฤา ว่ามีผู้ใดบ้างที่ขัดเคืองอยู่กับฉกรรณราชามาก่อนเก่า จำเราจะได้หันเหไปหาผู้นั้น "
" เพคะพระนาง "
จบคำศริพารฟาร์คว้ากระบอกทองคำจากนางกำนัลผู้หนึ่งพลางเปิดกระบอกออก
ภายในกระบอกบรรจุแผ่นหนังจามรียาไว้แผ่นหนึ่งซึ่งนางก็ค่อยๆบรรจงกรีดนิ้วหยิบแผ่นจามรียาชิ้นนั้นออกมาอย่างช้าๆด้วยเกรงว่าจะทำให้แผ่นหนังชำรุดก่อนจะคลี่ออกแล้วอ่านอักขระที่จารึกเอาไว้
" บุคคลแรก... สมิงสาตาบู ขัดเคืองด้วยเนื่องเคยขอร่วมหอลงโรงมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าฟ้าฉกรรณราชา แต่องค์เจ้าฟ้ามิทรงเล่นด้วยเพคะ "
" แหวะ... สมิงสาตาบู ท่าทางจะเป็นพวกรักหลากเพศ เช่นนั้น หากข้องแวะด้วย พวกเรามิตกเป็นเหยื่อพวกมันกันหมด รายต่อไป "
ทรงกล่าว
" บุคคลที่สอง... เจ้าฟ้ามูรตี... "
" หยุด... "
ดำรัสจบ ศริพารฟาร์ชะงักคาที่ พลางหันมามองพระนางซึ่งทรงพระดำรัสต่อ
" ก็รู้กันอยู่ว่าเคืองกันเรื่องพระขนิษฐาแก้วกานดา เอาผู้อื่นดีกว่า "
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 13
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
*****************
บทที่ 13
ณ นครละวิรัฐ
ในปัจจุบันกาลเดียวกันนั้นเอง...
ทางฝ่ายกรุงละวิรัฐ... เจ้าฟ้าฉกรรณราชา เอกองค์มหาราชผู้เสวยสมบัตินครละวิรัฐ ทรงออกประทับนั่งบัลลังก์มหาพิสุทธิ์สุวรรณกาลี แวดล้อมด้วยเหล่ามหาอำมาตย์และนางกำนัลทั้งปวง
นับวัน องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ทรงมีพระสิริโฉมงดงามนวลเนียนขึ้นทุกขณะ อีกทั้งพระวรกายก็อ้อนแอ้นอรชร พระนวลฉวีเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล จนเหล่านารีทั้งพระนครต้องอายม้วนต้วน
พระกิติศัพท์แห่งพระสิริโฉมได้กระจายฟุ้งลือกระฉ่อนไปทั่วแว่นแคว้น ชวนให้บรรดากษัตริย์อริราชทั้งหลายหมายคำนึงว่าทรงเป็นบุรุษเพศที่งดงามกว่าสตรีใดจริงแท้
ทางเบื้องซ้ายของพระองค์คือสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ชาเชื้อสายภูธรานคร พระนางเองก็ทรงมีพระสิริโฉมที่งดงามไม่แพ้พระสวามี จนในบางครั้ง เหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารเกือบเข้าใจผิดว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนกันแน่ เนื่องจากว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชาเองก็ทรงชุดฉลองพระองค์เยี่ยงพระราชินีเช่นกัน
ภายในท้องพระโรงแห่งกรุงละวิรัฐเพลากระนั้น ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน เพราะกำลังเป็นมหาสมาคม
หากแต่องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาหาได้ทรงสนพระทัยกับการออกว่าราชการไม่ เนื่องจากกำลังทรงหยอกล้ออยู่กับสมเด็จพระศรีตะกุมะลากาพระชายาอย่างชื่นบาน
มหาดเล็กนายหนึ่งเคลื่อนกายผ่านเหล่าขุนนางที่นั่งเรียงรายกันอยู่มุ่งสู่ ตรึงสมัย มหาอำมาตย์เอกแห่งกรุงละวิรัฐพลางกระซิบอะไรอยู่ครู่
ดวงตาทั้งคู่ของมหาอำมาตย์หนุ่มรูปงามเบิกกว้งขึ้นพลางเอามือป้องปาก ก่อนจะเขยิบกายาหันมาทางเจ้าฟ้าฉกรรณราชา องค์กษัตราแห่งละวิรัฐพลางถวายบังคมแล้วกราบทูล
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ณ บัดนี้ เจ้าฟ้ามูรตีผู้โอหัง ได้จับตัวสมเด็จพระขนิษฐาของพระองค์ไว้เป็นตัวประกันใกล้ชิดสนิทแนบแอบอิงระวิงกายา เนื่องจากเกรงว่าพระองค์จะยกทัพเข้าโจมตีกรุงอนันตาพระเจ้าข้า "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จลุกขึ้น ทรงเอื้อนเอ่ยมธุรสวาจาด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนหวานแช้มช้อยชมดชม้อยอย่างอิสตรี
" มิไยที่มูรตีเธอสิจะทำเช่นนั้น ประหนึ่งหยามพระยศพระเกียรติแห่งเราผู้เป็นเจ้าครองนครละวิรัฐ "
ดำรัสจบ ทรงหันมาทางอำมาตย์คู่พระทัย
" อำมาตย์เอย... เจ้าเห็นควรเช่นใดจ๊ะ..... "
มหาอำมาตย์เอกชำเลืองมองเหล่าขุนนาง ราวกับจะรอดูว่ามีผู้ใดทักท้วง ครั้นไม่มี มหาอำมาตย์หนุ่มได้หันมากราบบังคมทูลให้ทรงทราบเบื้องพระยุคลบาทว่า
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ในการนี้ เจ้าฟ้ามูรตีทรงคิดไปแต่เฉพาะองค์ว่าฝ่ายละวิรัฐเราจะกรีฑาทัพเข้าไปย่ำยีอนันตาให้พินาศ แท้จริงแล้วหาใช่ไม่ หากเพียงแต่เป็นพระบัญชาการของพระองค์ในอันที่จะตระเตรียมกองพลพยุหยาตราเสด็จทางสถลมารคเพื่อทรงประพาสลำเนาไพรในราชอาณาจักรดังปกติวิสัยเช่นทุกครากระนั้น "
" ก็จริงอยู่... ว่าต่อไปสิพ่ออำมาตย์คู่ใจเรา "
ทรงเอ่ยพลางคลอเคล้าพระชายา
" เช่นนั้น... มิไยละวิรัฐเราไม่ส่งของกำนัลบางอย่างไปให้อนันตา เพื่อปรองดองวิถีแห่งกษัตริยราชนครแลลดกระแสความรุนแรงแถบชายพระนครเล่าพระเจ้าข้า "
" แล้วเราจะให้อะไรไปดีฤา "
" นกอีมูรากู้ ที่เรามี น่าจะดีแท้ "
" ไม่ได้นะเพคะ "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงขัดขึ้น
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและอำมาตย์เอกหันมามองพระนางโดยพลัน ประหนึ่งตำหนิว่าไฉนจึงทรงสอดแทรกการสนทนาให้ล่าช้าชะงักงันเช่นนี้
กษัตริย์หนุ่มรูปงามหันมาทางมหาอำมาตย์เอกรูปหล่อล่ำพลางตรัสไปว่า
" อันว่านกอีมูรากู้นั้นเป็นมหาสมบัติอันล้ำค่าแห่งอาณาจักรละวิรัฐ สืบทอดอายุมาก็กว่าห้าพันปีแล้ว จะเอาไปให้อนันตานั้นจะเหมาะหรือ เราว่าหาสิ่งอื่นจะมิเหมาะเจาะพ้องต้องกันกว่านี้มิแยแส "
" ถึงเพลาพระกระยาหารเย็นแล้วเพคะ เสด็จพี่ฉกรรณราชา "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงทูนถวายพานผลหมากรากไม้ที่ทรงแกะสลักเสร็จหมาดๆ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาพร้อมมหาอำมาตย์ได้หันขวับมาอีก
" เกิดมาเป็นตัว มีผัวเป็นตน มิไยไม่ยับยั้งอารมณ์ป่วนให้หวนถึงมือเที่ยงเมื่อตะกี้ "
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสด้วยสีพระพักตร์เข้ม
" หม่อมฉันผิดไปแล้ว "
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงสงบไป
องค์มหาราชละวิรัฐทรงสาวพระเนตรไปโดยรอบท้องพระโรงอันมโหฬารตระการตา พลางตรัสด้วยการดัดพระสุรเสียงให้เหี้ยมหาญสุขุมคัมภีรภาพ
" บัดนี้เราขอเปิดโอกาสให้พวกเจ้าถ้อยแถลงมาได้ "
ครู่หนึ่งจึงมีผู้ยกหัตถ์ขึ้น เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงปรีดา พลางทรงกรีดพระดัชนีไปหาผู้นั้นโดยพลัน
" เจ้า.... "
น้ำพระสุรเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนหวานดังเดิม
ขุนนางชราผุดขึ้นอย่างช้าๆ
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกเกศปกประเทศ ข้าพระองค์ถูกหมางเมินมานาน ครานี้ใคร่ขอแสดงความคิดเห็นว่า มหาอำมาตย์หนุ่มด้อยปัญญานัก การมโหฬารปานนี้ ยังจะมีแก่ใจให้อีมูรากู้แก่อนันตาประเทศอริราช เช่นนั้น มหาอำมาตย์สมควรแก่การนำผ้านุ่งมาคลุมหัวจะดีกว่ากระนั้นแล "
" หา... !! ไอ้แก่... แก... "
มหาอำมาตย์เอกค้อนขวับฉับพลัน
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงหันมาทางมหาอำมาตย์คู่ใจอีกคราพลางตรัสถาม
" ฤาท่านว่าไง จะมีความคิดอื่นใดอีกแล "
มหาอำมาตย์เอกกระหยิ่มยิ้มย่องผ่องใสปานได้ช่องพร้อมทำแววตาเจ้าเล่ห์พลางทูลด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว
" ข้าพระองค์เห็นควรถล่มอนันตาราบคาบ พลีชีพพระขนิษฐาเสีย "
มโหรีกระหน่ำฉาบยักษ์ดังสนั่น
การดังกล่าวยังความขุ่นข้องให้เกิดขึ้นแก่สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาเป็นยิ่งนัก จนสุดที่พระนางจะทรงเฉยเมยอยู่ได้อีกต่อไป ทรงพิโรธพลางทรงทุบบัลลังก์สุวรรณกาลีดังครืนจึ่งตรัสลั่นท้องพระโรงแห่งนั้น
" เสด็จพี่...!!!! ไฉนเลยจะกระทำการเช่นนั้น พระขนิษฐาของพระองค์แท้ๆ จะทรงทอดทิ้งได้อย่างไร "
มโหรีหลวงบรรเลงเพลงละวิรัฐเสี่ยงรัก สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาทรงร้องนำ ตามด้วยเจ้าฟ้าฉกรรณราชา และมหาอำมาตย์เอก
" ฤาเห็นควร... จะเสีย... ขนิษฐา... "
" น้องนางอย่าได้... สอดมา "
" กษัตรา.... ตรัสชอบดี.. "
บทเพลงจบลงด้วยมโหรีลั่นฆ้องชัย
เพลากระนั้น...
สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาพิโรธหนัก เสด็จลุกขึ้น สะบัดสไบทอง ทรงกล่าวกับนางกำนัลทั้งมวล
" นิวัติภูธรา "
จบคำ.. เสด็จสืบพระบาทนำหน้า นางกำนัลทั้งมวลพากันแบกพัดวี โถพระน้ำหมาก พระเชี่ยนหมากทอง โถพระสุธารสร้อนเย็น สืบเท้าจากไป แลเห็นสไบทองปลิวเป็นทิวแถว
มโหรีบรรเลงเพลงละวิรัฐเริงร่ามหาศาลบานตะเกียง เคล้าคลอด้วยเสียงพิณ เหล่าขุนนางจุดพลุตะไลไฟพะเนียงเป็นการเฉลิมฉลอง ราวกับรอเวลานี้มานานแสนนาน เวลาที่ภูธราจะคืบคลานออกจากละวิรัฐ
เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จก้าวมาข้างหน้าหนึ่งพระบาท ทรงเชิดพระพักตร์ค้อนพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงเฉียบคม
" เชอะ...นังครกแตก คิดจะมาแลกสำเภาละวิรัฐ หึ หึ หึ ข้าจะแต่งตั้งมาร์ฒแม้นดารณีย์ ขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีแทนมัน "
ฉับพลัน...
มาร์ฒแม้นดารณีย์ อิสตรีผู้อาภัพกลับตะลึงงัน นางปลื้มปิติสุดประมาณ โอกาสที่รอคอยมานานได้อุบัติขึ้นอย่างที่นางไม่คาดคิดมาก่อน
ความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นราชินีทวีทะยานขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่นางยังเยาวัย ในครานั้น นางได้แต่เฝ้าฝันให้มีราชยานคานหามมาเกย แล้วอยู่มาวันหนึ่งความฝันก็พลันเป็นจริง เมื่อมหาดเล็กหลวงอัญเชิญพระราชโองการมาเรียกตัวให้เข้าวังด่วนที่สุด เนื่องด้วยวังในหาสตรีที่จะทำหน้าที่แบกสุพรรณศรี พระสุพรรณราชไม่ได้เลยแม้แต่ผู้เดียว
ความปรีดาถึงจุดอิ่มตัว ยังผลให้มาร์ฒแม้นดารณีย์เกิดคลั่ง นางฉวยพัดขนนกบุษราคัมที่ใช้พัดวีองค์กษัตริย์ พลางวิ่งไปรอบๆท้องพระโรงพร้อมตะโกนก้อง
" อุ้ยตาย... !! จริงเหรอเพคะฝ่าบาท... หม่อมฉันได้เป็นหลวงแล้ว "
ฝ่าบาทแห่งละวิรัฐ ทรงชำเลืองมองมาร์ฒแม้นดารณีย์ด้วยหางพระเนตร พลางทรงหันไปจูงอำมาตย์เอกขึ้นตรัส
" ขึ้นห้องเถอะจ้ะ มหาอำมาตย์ "
มหาอำมาตย์หนุ่มประคับประคององค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาผู้เลอโฉมเดินหายเข้าไปทางเบื้องหลัง
มโหรีหลวงประโคมเพลงเทพบุตรสองตระกองกันสวรรค์โปรด สรรเสริญเจ้าฟ้าฉกรรณราชา แล้วต่อด้วยเพลงธิดากรรแสงรุนแรงเหลือ เพื่อเยาะเย้ยมาร์ฒแม้นดารณีย์ซึ่งกำลังยืนชูสไบและพัดขนนกบุษราคัมอย่างเดียวดายอยู่กลางท้องพระโรง
มหาดเล็กรัวกรับ ชาวม่านไขพระวิสูตรลงอย่างช้าๆ เพื่อปกปิดองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและมหาอำมาตย์เอก
เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลต่างกรูกันไปมุงอยู่รอบๆพระวิสูตรเพื่อแอบมองกิจกรรมอันเกิดแก่บุรุษเพศทั้งสอง เนื่องจากเห็นว่าเป็นของแปลกสุดประมาณนานับ
- - - - - - - - -
ฝ่ายกองทัพนางกำนัลทั้งสามพันห้า ของสมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ค่อยๆสืบบาทฉับๆ สไบทองปลิวเป็นทิวแถวจากกรุงละวิรัฐสู่นครภูธรา
เมื่อทรงยาตรากระบวนพยุหฯ ออกจากละวิรัฐมาได้สักระยะ ก็พลันประสบกับทหารม้าเร็วจากกรุงภูธราควบอาชามาประจวบเหมาะพอดิบพอดี ศริพารฟาร์ ราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระศรีตะกุมะลาการีบกราบทูลโดยพลัน
" ขอเดชะ สมเด็จฯ พระระเห็จออกจากกรุง ณ บัดนี้ มีอาชาจากภูธรามุ่งมาทางกระบวนเพคะ เกรงว่าจะมีราชสาส์นด่วนจากภูธราประเทศเขตขันธ์ "
" กระนั้นมิไยไม่รีบชี้ช่องให้ล่องมาทางเรา "
" รับด้วยเกล้าเพตะพระองค์ "
จบคำ ศรีพารฟาร์รีบโจนทะยานพุ่งตรงไปยังม้าเร็วผู้นั้นโดยทันใด ก่อนจะเอากายาเข้าขวางกั้นไว้ด้วยความองอาจพลางตวาดลั่น
" ช้าก่อน... เจ้า มีข่าวคราวอันใดมากราบทูลองค์สมเด็จพระศรีตะกุมะลากา ณ บัดเพลานี้ได้ทรงระเห็จออกจากกรุงละวิรัฐแล้ว "
" ประทับอยู่หนใดๆฤา "
" ที่นั่นกระนั้นแล "
ศรีพารฟาร์ผายหัตถาไปยังพระเสลี่ยงทองคำองค์ใหญ่
ทหารม้าเร็วมิรอช้า รีบกระโจนลงจากอาชาก่อนกระวีกระวาดเข้าหาองค์แล้วก้มลงกราบถวายบังคมแทบเบื้องยุคลบาท
" ขอเดชะ สมเด็จพระศรีตะกุมะลากาเจ้า ณ บัดนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงภูธรา ได้เสด็จสวรรคตลงแล้วพระเจ้าข้า "
มโหรีกระหน่ำฉาบแลซึงทองพร้อมสั่นกระดิ่ง เหล่านางข้าราชบริพารทั้งมวลพากันร่ำไห้ครวญครางกระเส่าเศร้าโศกโศกาอาดูรจะพรรณนามี
" ขอพระนางเจ้าศรีตะกุมะลากาจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเป็นล้านปี "
ทหารม้าเร็วตะโกนก้องพงพนาพลางก้มลงกราบ
ศรีพารฟาร์เขยิบกายาเข้าใกล้องค์พลางกราบทูล
" ขอเดชะ ณ บัดนี้ ทรงดำรงพระยศเป็นพระราชินีแห่งภูธราเราแล้วนะเพคะพระนางขา "
พระนางศรีตะกุมะลากาเสด็จลุกออกจากพระเสลี่ยงพลางทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสู่ฟ้า ประหนึ่งรับเทวบัญชาแห่งองค์เทวัญ
ฉับพลัน... พระนางทรงคะนึงในพระทัย...
.....อุเหม่นี่หนอ มิสู้ตัวเราผู้ครองบรมฉัตรแห่งภูธราประเทศจะหาพวกร่วมเป็นภาคี เข้าถล่มกรุงละวิรัฐให้พินาศ เช่นนั้น.....
" ศริพารฟาร์... "
ดำรัสเรียก
" เพคะพระนาง "
ศริพารฟาร์ถลาเข้าน้อมเศียร
" จงเปิดบัญชีดูทีฤา ว่ามีผู้ใดบ้างที่ขัดเคืองอยู่กับฉกรรณราชามาก่อนเก่า จำเราจะได้หันเหไปหาผู้นั้น "
" เพคะพระนาง "
จบคำศริพารฟาร์คว้ากระบอกทองคำจากนางกำนัลผู้หนึ่งพลางเปิดกระบอกออก
ภายในกระบอกบรรจุแผ่นหนังจามรียาไว้แผ่นหนึ่งซึ่งนางก็ค่อยๆบรรจงกรีดนิ้วหยิบแผ่นจามรียาชิ้นนั้นออกมาอย่างช้าๆด้วยเกรงว่าจะทำให้แผ่นหนังชำรุดก่อนจะคลี่ออกแล้วอ่านอักขระที่จารึกเอาไว้
" บุคคลแรก... สมิงสาตาบู ขัดเคืองด้วยเนื่องเคยขอร่วมหอลงโรงมีสัมพันธ์สวาทกับเจ้าฟ้าฉกรรณราชา แต่องค์เจ้าฟ้ามิทรงเล่นด้วยเพคะ "
" แหวะ... สมิงสาตาบู ท่าทางจะเป็นพวกรักหลากเพศ เช่นนั้น หากข้องแวะด้วย พวกเรามิตกเป็นเหยื่อพวกมันกันหมด รายต่อไป "
ทรงกล่าว
" บุคคลที่สอง... เจ้าฟ้ามูรตี... "
" หยุด... "
ดำรัสจบ ศริพารฟาร์ชะงักคาที่ พลางหันมามองพระนางซึ่งทรงพระดำรัสต่อ
" ก็รู้กันอยู่ว่าเคืองกันเรื่องพระขนิษฐาแก้วกานดา เอาผู้อื่นดีกว่า "