เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 11

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418

*****************


บทที่ 11



กรุงอนันตา...

ในเพลานั้น ท้องพระโรงพระราชวังอนันตา กำลังเป็นมหาสมาคมแห่งขุนนาง มหาอำมาตย์ และข้าราชบริพารนับพัน ซึ่งมารวมตัวกัน ณ ที่นี้ เพื่อประชุมหารือเรื่องกิจการแห่งอนันตาประเทศ

ฉับพลันทันใด มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรงพลางคุกเข่าลงกราบทูล

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวอนันตา ณ บัดนี้ พระนางสุบินสวรรค์ ราชินีเถมรู ได้เสด็จถึงพระทวารพระราชวัง หมายเจริญพระราชสัมพันธไมตรีพระเจ้าข้า "

" เชิญเสด็จสิ "

" พระเจ้าข้า "

ครั้นมหาดเล็กคลาคลาดจากไป มหาอำมาตย์เอกแห่งกรุงอนันตาก็ขยับกายเข้าใกล้องค์เจ้าฟ้ามูรตีพลางทูลกระซิบ

" เห็นจะมีเรื่องใหญ่นะพระเจ้าข้า "

มหาอำมาตย์เอกทูลจบก็เบี่ยงกายจากไปอย่างช้าๆ

เจ้าฟ้ามูรตีทรงทอดพระเนตรไปยังประตูท้องพระโรง ซึ่งเหล่าทหารกำลังช่วยกันแง้มประตูให้เปิดเข้ามา

ครู่ใหญ่... แสงสีทองเรืองรองก็เริ่มทอประกายจากทางเข้าท้องพระโรง

เหล่าข้าราชบริพาร มหาอำมาตย์ ภายใต้เบื้องพระยุคลบาทเจ้าฟ้ามูรตีถึงกับตะลึงลานในสิ่งที่เห็น มหาอำมาตย์เอกถึงกับเปรยขึ้น

" เถมรูเห็นจะอุดมไปด้วยทรัพย์เป็นแน่ "

ขบวนเสด็จของพระนางสุบินสวรรค์ ประกอบไปด้วยเหล่านางกำนัลกว่าสามร้อยนาง สวมชุดประจำชาติเถมรูปล่อยชายผ้านุ่งให้ยาวระพื้นพร้อมห่มสไบสีทองอร่ามตา ถัดมาเป็นกลุ่มของนางกำนัลแบกเครื่องราชบรรณนาการหลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาพัสตราภรณ์นานาพรรณ ถัดไปเป็นพระเสลี่ยงมีหลังคา อันเป็นพระเสลี่ยงที่ประทับของพระนางสุบินสวรรค์ ซึ่งพระเสลี่ยงองค์นี้มีพระวิสูตรบางเบาคลุมอยู่ ต่อไปเป็นขบวนนางกำนัลอีกเช่นกัน นางกำนัลกลุ่มนี้จะแบกข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์พระนางสุบินสวรรค์อาทิ พัดวี โถพระสุคนธ์ โถพระสุธารส พระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช ถัดจากนั้นจึงเป็นขบวนมโหรีซึ่งติดตามมาคอยขับกล่อมตลอดการเดินทาง

ขบวนเสด็จหยุดอยู่กับที่ เสลี่ยงที่ประทับถูกอัญเชิญลงอย่างช้าๆ และม่านบางเบาก็ถูกปลอดออก พระนางสุบินสวรรค์เสด็จพระดำเนินออกจากพระเสลี่ยง

เสียงอื้ออึงของเหล่าอำมาตย์แลข้าราชบริพารแห่งอนันตาได้ดังขึ้นอีกครั้ง

" งามแท้ "

ชายผู้หนึ่งกระซิบกับชายอีกผู้

" เหมาะแล้วแห่งตำแหน่งราชินีเถมรู "

" พระชนมายุคงไร่เรี่ยกับองค์มูรตี

" เห็นจะแน่แท้เทียวนา "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงสิบพระบาทนำเข้าหาเจ้าฟ้ามูรตี ทรงหยุดอยู่ตรงหน้าบันไดหินอ่อนกว้างใหญ่ที่ทอดลาดขึ้นสู่ที่ประดิษฐานพระแท่นบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน

พระนางสุบินสวรรค์ทรงโน้มพระเศียรลงแต่พองามแลดูสง่ายิ่ง พลางตรัสด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานปานน้ำผึ้งแห่งบึงเถมรู

" อรุณทิวา มูรตี "

" ทิวานี้ตอบแทนเธอ สุบินสวรรค์ "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงตอบด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนนุ่มลึกชวนหลงใหล

พระนางสุบินสวรรค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสต่อไปอีกว่า

" เรานำสิ่งนี้มาบรรณนาการ "

ตรัสจบ ทรงปรบพระหัตถ์สามครา

จากนั้น เหล่านางกำนัลทั้งสามร้อยก็เริ่มแปรขบวนแล้วรำถวาย ท่วงทีท่วงทำนองแสดงความอ่อนช้อยและมโหฬารยิ่ง เสียงมโหรีบรรเลงกึกก้องไปทั่วพระบรมมหาราชวังทีเดียว

การรำถวายในครั้งกระนั้นจบสิ้นลงอย่างงดงาม เสียงปรบมือดังกระหึ่มจนท้องพระโรงสั่นไหวเล็กน้อย การรำของชาวเถมรูนี้ล้วนสร้างความประทับใจแก่ชาวอนันตาเป็นที่ยิ่ง

" เช่นไรบ้าง มูรตี... "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันมายิ้มให้

" ก็นับว่าเหมาะ สุบินสวรรค์ ท่านสรรหาบรรณาการได้เหมาะแท้เทียวนา "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงตอบด้วยพระพักตร์เฉยเมยเล็กน้อย

" ขอบพระราชหฤทัย "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงพระดำเนินมา นางกำนัลผู้หนึ่งเสนอตัวเข้าถวายพระราชสาส์นสัมพันธไมตรีที่ประดิษฐานอยู่บนพานทอง พระนางทรงเอื้อมพระหัตถาไปหยิบพานพระราชสาส์นสัมพันธไมตรีมาแล้วทรงสืบพระบาทเฉลียงขึ้นสู่บันได จนเกือบใกล้ราชบัลลังก์

เจ้าฟ้ามูรตีทรงโน้มพระวรกายมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ ทรงเผยพระสรวลแต่พองาม จากนั้นทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปยังพระราชสาส์นนั้น

สัมพันธไมตรีระหว่างสองราชอาณาจักรกำลังจะถูกสานต่อ หลังจากที่ถูกทอดทิ้งและเมินหมางห่างเหินจากกันไปหลายทศวรรษ ชาวประชาทั้งสองชาติล้วนปรีด์เปรมเกษมสันต์ ภายในท้องพระโรงพระราชวังอนันตาล้วนเต็มไปด้วยความปลื้มปิติล้นประมาณ

แต่แล้วในบัดดล...

เจ้าฟ้ามูรตีทรงเปลี่ยนสีพระพักตร์เป็นเหี้ยม ทรงวาดพระหัตถ์ฟาดพานพระราชสาส์นลอยกระเด็นขึ้นสู่ฟ้าแล้วตกลงสู่เบื้องล่างในทันใด

มโหรีที่ตามเสด็จบรรเลงเพลงเทวาพิโรธดังกระหึ่มไปทั่ว

" หึ หึ หึ ... นังกาลีประเทศกาลีนคร ไปวายชนม์เสียเถอะ... !!! "

ฉาด..ด..ด !! เจ้าฟ้ามูรตีทรงวาดพระหัตถ์ซัดพระพักตร์พระนางสุบินสวรรค์อย่างจังจนพระนางทรุดพระวรกายลงและเซล้มจนพระวรร่างกลิ้งไถลไปตามบันได

" อ้า...... "

ทรงกรีดร้องก้อง

เหล่านางกำนัลทั้งสามร้อยกรูกันเข้ามาประคองพระองค์ไว้ในทันใด สร้อยพระศอขาดกระจายเกลื่อน

เหล่าชาวขบวนเถมรูหมายลุกฮือขึ้นต่อต้าน แต่พระนางทรงยกพระหัตถาขึ้นยับยั้ง

" ไม่ต้อง "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นซับพระโลหิต ซึ่งพรั่งพรูออกจากพระโอษฐ์ พลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงห้าวเหี้ยม

" กลับเถมรู !! "

จากนั้นทรงแหวกหมู่นางกำนัลออกจากท้องพระโรงไป เหล่านางกำนัลทั้งมวลรีบตามไปติดๆ จนลับประตูทวารชั้นนอก

มหาอำมาตย์เอกแห่งอนันตาเข้ากระซิบยังเจ้าฟ้ามูรตี

" ทำเช่นนี้ทัพเถมรูอาจจะมาในไม่ช้า "

" ซึ่งมันเป็นไปตามความประสงค์ของเรา "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงยิ้มกริ่ม แต่เหล่าข้าราชบริพารต่างมิเข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงจำนงหมาย

เสียงซุบซิบได้ดังขึ้นในหมู่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่เคียงข้าง

- - - - - - - - -

ฝ่ายพระนางสุบินสวรรค์ ทรงพระดำเนินอย่างฉับไวออกจากประตูเมืองอนันตามาพร้อมกับข้าราชบริพารหลายร้อย

จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัย 80 ชันษาได้ทูลขึ้น

" จะทรงยกทัพมาบุกอนันตาอีกฤา "

พระนางทรงเม้มพระโอษฐ์พลางทรงเอื้อนเอ่ยด้วยวาจาหยาบเล็กๆ

" จะมาเห็นหัวมันทำไม "

ราชครูหญิงนิ่งอึงไป

" เช่นนั้น มิไยไม่ทรงหาที่พักผ่อนพระวรกายให้คลายเครียด "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ เสนาบดีหญิงมือขวาทูลแนะ

พระนางสุบินสวรรค์เบิกพระเนตรกว้างอย่างพองาม

" ตริได้ไม่เลว ที่ใดควรเหมาะ "

" โลมเลียสมุทรวดีสิเพคะ ที่นั่นเหมาะแก่การชมปลากระตู้วู้น้อยใหญ่ "

วาริชฌาภาร์ณา เสนาบดีหญิงมือซ้ายทูลเสนอ

" จะติกะวะนาจิ "

ตรัสเรียก

" เพคะ "

" บัญชาการ... ให้จัดรูปขบวนใหม่ มุ่งสู่โลมเลียสมุทรวดีในทันใด "

" เพคะราชินี "

และแล้ว ขบวนเสด็จของพระนางสุบินสวรรค์ก็แปรรูปอีกคราเพื่อมุ่งสู่โลมเลียสมุทรวดี ศรีวารีแห่งเกวลทวีป

มโหรีตามเสด็จบรรเลงเพลงเถมรูเคลื่อนทัพ ต่อด้วยเถมรูชมปลา

ใครจะรู้ได้ว่า กาลข้างหน้าจะเกิดอันใดขึ้น แต่ในบัดนี้ ความกินแหนงแคลงใจระหว่างอนันตากับเถมรูได้อุบัติขึ้นอีกครา ภายหลังจากที่สัญญาประชาคมล้มเหลว

กาลต่อไปจะเป็นเช่นใดกันหนอนี่ ช่างไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้เลย นอกจากองค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์ เทพเจ้าผู้สูงสุดแห่งโลกเพียงผู้เดียวเท่านั้น

มโหรีประจำราชสำนักอนันตาบรรเลงเพลงเทวารู้แจ้ง ต่อด้วยการรัวฉาบและเดี่ยวปี่ไม้ไผ่ เคล้าคลอกับเสียงสายธาราไหลกัดเซาะตลิ่งริมฝั่งสุทธาราริณีโยค แม่น้ำสายหลักซึ่งหล่อเลี้ยงพสกนิกรชาวอนันตามากว่าห้าพันปีแล้ว


* * * * * * * * *

จบบทที่ 11 โปรดติดตามต่อบทที่ 12
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่