เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 17

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597

*****************



บทที่ 17




มัชฌิมยามบนดอยแฉล้มวจี...

เพลากระนั้น เหล่าบุรุษในเผ่าสมิงสาต่างพากันหลับใหลกันจนหมดแล้ว ภายในหมู่บ้านมีคบเพลิงส่องประกายไฟโชติช่วงอยู่เป็นจุดๆ เสียงนกราตรีร้องดังมาเป็นระยะๆจากในป่าลึก เคล้าคลอกับเสียงน้ำตกที่ดังมาแต่ไกล

ภายในกระโจมของหัวหน้าเผ่า

พระนางแก้วกานดาผู้น่าสงสารมิอาจทรงข่มพระเนตรลงบรรทมได้ พระนางทรงตัดสินพระทัยที่จะหลบลี้หนีออกจากหมู่บ้านสมิงสาไปในราตรีนี้นี่เอง ทรงขยับพระวรกายอย่างช้าๆพลางทรงผุดลึกขึ้นเหลียวพระเนตรไปโดยรอบกระโจม

สมิงสาตาบูนอนกรนอยู่ที่มุมหนึ่งตรงทางออกของกระโจม พระนางทรงฉวยชุดฉลองพระองค์พลางทรงย่องไปยังประตูทางออกอย่างช้าๆ ในที่สุดทรงตัดสินพระทัยก้าวพระบาทออกจากกระโจมไปอย่างว่องไวโดยไม่ทรงเหลียวหลังกลับมาอีกเลย

พระนางแก้วกานดาทรงวิ่งตรงไปยังป่าลึกข้างหน้าอย่างไม่คิดพระชนม์ชีพ ในพระทัยนั้นทรงหวังไว้แต่เพียงให้รอดพ้นไปจากขุมนรกแห่งนี้

พระนางทรงวิ่งมาจนได้ระยะทางอันไกลพอสมควร ครั้นทรงแลเห็นว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาแล้วจึงทรงหยุดพักและเปลี่ยนชุดฉลองพระองค์ใหม่ เป็นชุดพระราชินีอนันตาดังเดิม เหมือนเมื่อครั้งที่เสด็จออกจากวังอนันตา

ในพระทัยของพระนางนั้น ทรงดำริว่า

..... หึ... คอยดูนะ นังพวกขันทีพลีสวาท บังอาจทอดทิ้งข้าให้ตกระกำ หากแม้นข้ากลับไปอนันตาได้เมื่อใด ข้าจะให้องค์มูรตีปลิดชีวีพวกเจ้าให้สูญสิ้น.....

จากนั้น ทรงพระดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ระยะทางเริ่มยาวไกลขึ้นทุกที ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดกระนั้น

- - - - - - - - -

ชานกรุงพะคัมด์

เพลานั้น เป็นช่วงสุริยาทอแสงอรุณเจิดจ้าสาดส่องพื้นที่ไร่นาเขตประเทศ

ห้าขันทีพลีสวาทซึ่งหลบภัยอนันตามา บัดนี้ได้ปลอมตนเป็นสตรีชาวพะคัมด์อย่างแนบเนียน เครื่องประดับและอาภรณ์พรรณทั้งหลายที่พวกหล่อนสวมใส่อยู่นั้น ล้วนหามาได้จากการช่วงชิงตามหมู่บ้านที่ผ่านมา

" อุ๊ย... พวกเรา เข้าหมู่บ้านไปหาอะไรกินยามเช้ากันเถอะนะ "

หนีรูเสนอ

" เอาสิจ๊ะ... ไปพวกเรา "

ถูไถว่า

" พิศดูทางไหนก็มีแต่ไร่นา ช่างน่าเบื่อ "

ไซ้เนินบ่นพึมพำ

" เหอะน่า... เรารอคอยเวลาจู่โจมวังหลวงพะคัมด์ในภายหลัง เมื่อนั้นคงมีอะไรให้ได้สนุกอีกเยอะ "

เพลินพวงชี้

" น่าจะมีหนุ่มหล่อบ้างนะ "

หวงหลังยิ้มกริ่ม

ทั้ง 5 เดินเข้าหมู่บ้านมาอย่างอ้อยอิ่ง เหล่านักเลงพะคัมด์ซึ่งยืนคุยกันอยู่ต่างหันมาพลางพากันผิวปากหยอกล้อกันจนเป็นที่สนุกสนาน

เหล่าห้าขันทีพลีสวาทมิหวั่นเลยแม้แต่น้อย ต่างส่งจูบให้คนโน้นทีคนนนี้ทีจนเป็นที่สนุกสนานครื้นเครงเช่นกัน

" อุ๊ย...ไซ้เนิน ดูคนนั้นสิ ผิวงามจัง "

หวงหลังว่า

" คนนั้นก็จมูกสวยเชียว "

ไซ้เนินเอ่ย

" ข้าชอบคนนั้น บึกบึนดี "

เพลินพวงว่า

" ไฉนเราไม่ไปหาความสุขสำราญบานหทัยกับพวกเขากันล่ะ "

ถูไถกล่าว

" คิดได้เลิศนัก ไป... ข้านำขบวน "

หนีรูยิ้ม

ห้าขันทีพลีสวาทตรงไปยังกลุ่มนักเลงหล่อ

" นี่ พ่อหนุ่มรูปงามทั้งห้า มิทราบว่ามีนามอันใดกันบ้างจ๊ะ "

หนีรูถามจบ เหล่านักเลงทั้งห้าคนที่จับกลุ่มกันอยู่ต่างขานไขนามกรกันเป็นลำดับ

" ข้า...หล่อล่ำ "

" ข้า...ดำดุ "

" ข้า...คุกรุ่น "

" ข้า...หุนหัน "

" ส่วนข้า... พลันแล่น "

เหล่านักเลงทั้งห้ายังกล่าพร้อมกันอีกว่า

" พวกเราคือ ห้านักเลงเมืองพะคัมด์ "

จบคำ เหล่าห้าขันทีพลีสวาท และห้านักเลงเมืองพะคัมด์จึงพูดจาต่อรองอะไรกันอยู่ครู่ก่อนจะพากันหายเข้าไปในโรงเรือนร้างข้างเคียง

หลายเพลาผ่านไป เมื่อห้าขันทีพลีสวาทและบรรดานักเลงหนุ่มต่างสำเร็จเสร็จสิ้นกิจกรรมสุดหฤหรรษ์ที่ปฏิบัติกันมาอย่างสมประสงค์จำนงหมายดังใจปอง พวกเขาก็มารวมกลุ่มกันนั่งเสวนาอยู่ที่หน้าโรงเรือนร้างนั่นเอง พลางร่วมกันบรรเลงและขับร้องบทเพลงตอบโต้กัน โดยเริ่มจากหนีรู ถูไถ ไซ้เนิน เพลินพวง และหวงหลัง

" อันว่าพวกน้องหนูทั้งห้านี้ เป็นขันทีลือนามทางสวาท "

" หากรากเหง้าคือภูธราโดยเชื้อชาติ มีนิวาสสถานบ้านช่องอยู่อนันตา "

" พลันเกิดทุกข์ร้อนจึงร่อนกายาเร้น เพียงเพื่อเฟ้นหลักแหล่งแสวงหา "

" เห็นพะคัมด์ถามประชาว่าน่ามา "

" จึงลัดป่าลำเนาตามสายถึงชายแดน "

เหล่านักเลงร้องโต้

" ส่วนพวกพี่มีถิ่นที่อยู่นครชายทะเล แต่มาเตร็ดเตร่เร่ร่อนที่นี่เพราะมีแผน "

" จะครอบครองเมืองหลวงทวงดินแดน อันหวงแหนกลับคืนเพื่อฟื้นกาย "

" ในห้วงลึกจิตใจพวกพี่นั้น ต่างเฝ้าฝันลองรักที่หลากหลาย "

" ชอบไปหมดจริงๆ ทั้งหญิงชาย "

" ครั้นพอได้พบประสบน้องสมปองเอย "

บทเพลงจบลงอย่างงดงาม ท่ามกลางเสียงปรบมือของบรรดาประชาชนชาวพะคัมด์ที่มายืนมุงดูกันอยู่เป็นเวลานานแล้ว สีหน้าของผู้ชมส่วนใหญ่ล้วนชื่นชมในบทเพลงที่ห้าขันทีพลีสวาท และห้านักเลงเมืองพะคัมด์ร่วมกันร้องเป็นอันมาก หากแต่มีผู้ชมอยู่บางส่วนที่เบ้ปากใส่ ราวกับหมั่นไส้นัก

สตางค์จำนวนมากมายก่ายกองถูกโยนลงพื้นเพื่อเป็นสินน้ำใจในการบรรเลงเพลงครั้งนี้ เหล่าห้าขันทีพลีสวาทและห้านักเลงเมืองพะคัมด์ต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดหวงหลังก็บรรลุความคิดหนึ่ง

" ดูราบรรดามิตรที่ชิดชอบ มิไยพวกเราไม่กอบกิจร่วมกันอีกครา "

" กอบกิจ...!!! กิจที่กอบกันในโรงเรือนร้างเมื่อครู่นั้นเจ้ายังมิอิ่มหนำสำราญบานหทัยหรือไรกัน "

ไซ้เนินกล่าวจบ คนอื่นๆต่างหัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน

หวงหลังโบกมือไปมาพลางว่า

" หาใช่ไม่ "

" เช่นนั้นกิจอันใดจงชี้แจงแถลงไขให้กระจ่างสว่างกมล "

หนีรูถาม

" ข้าว่าพวกเราน่าที่จะร่วมกันตั้งสำนักขึ้น "

หวงหลังเอ่ย

" สำนัก ? "

หล่อล่ำ นักเลงเมืองพะคัมด์ผู้หนึ่งถาม

" ถูกต้อง สำนักที่พวกเราจะมาหากินทางนี้ "

" ทางนี้น่ะ มันทางไหน ? "

ดำดุฉงน

" ก็... ทางสวาท ไงจ๊ะ "

" ทางสวาท...!!! "

ขันทีที่เหลือและห้านักเลงเพมือพะคัมด์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

" ใช่ "

" แต่... แต่เราไม่เคยกอบกิจเป็นงานเป็นการมาก่อนเลยนะ "

เพลินพวงว่า

" ที่จริงก็น่าลองนะ "

คุกรุ่นกล่าวจบ ทุกคนหันไปมองเขาเป็นจุดเดียว ก่อนที่เขาจะกล่าวต่ออีกว่า

" อ้าววว... ก็ถ้าเราร่วมกันเปิดกิจการ เราก็จะมีรายรับดี ไม่เพียงแค่นั้น เรายังใช้สำนักเป็นแหล่งซ่องสุมและกบดานเพื่อหวังการใหญ่ในภายภาคหน้าได้อีกมิใช่หรือ "

" อึ้ม ตริได้ไม่เลว "

ทุกคนเห็นพ้อง

" แต่มันติดอยู่ประการหนึ่ง "

หวงหลังว่า

" อันใด ? "

" ชื่อสำนักจะว่ากระไรดี "

หวงหลังกล่าวจบทุกคนต่างพากันหยุดคิดอย่างหนัก ซึ่งครู่หนึ่ง ก็หวงหลังอีกนั่นแหละที่คิดออก

" นึกได้แล้ว "

" ว่าอย่างไร "

" สำนักสากกระเบือเขียว เป็นไงจ๊ะ "

" กรี๊ดดดดดดด เริ่ดซะไม่มี "

ทุกคนปรีดายิ่งนัก

" แล้วก็มาถึงส่วนสำคัญที่สุด สถานที่ตั้งสำนักของพวกเรา "

" ไม่เป็นปัญหา ก็โรงเรือนร้างที่เราร่วมกอบกิจกันนั่นแหละ เหมาะสมที่สุด "

หุนหันบอก

ทุกคนร่าเริงเป็นการใหญ่ นี่พวกเขาจะมีหลักแหล่งเป็นที่แน่นอนแล้วหรือ

" ดี... งั้น พลันแล่นจัดการทั้งหมด "

หวงหลังว่า

- - - - - - - - -

กิจการแห่งสำนักสากกระเบือเขียวดำเนินไปอย่างราบรื่นและงดงาม รายรับเดินสะพัด แต่ละวันมีรายได้มากโขอยู่ เหล้าห้านักเลงเมืองพะคัมด์คอยทำหน้าที่คุ้มกันและบริหารงาน ส่วนห้าขันทีพลีสวาทก็ทำหน้าที่รับลูกค้าซึ่งแห่กันมาจากทั่วทุกสารทิศจนพรมหน้าสำนักมิเคยสะอาด

ความงดงามอ่อนช้อยชะมดชะม้อยของบรรดาห้าขันทีพลีสวาทได้ลือกระฉ่อนไปทั่วแว่นแคว้นเขตประเทศพะคัมด์ จนเหล่าบรุษน้อยใหญ่ผู้มีจิตใจแฝงไว้ซึ่งรักหลากเพศต้องระเห็จมาพิสูจน์ความลือลั่นแห่งสำนักสากกระเบือเขียวนี้กันทุกรายไป จนถึงกับมีคำขวัญพูดกันในหมูคนพวกนี้ว่า

" มาพะคัมด์สิต้องมุ่งสู่สำนัก "

ในบรรดาแขกที่มาอุดหนุนสำนักสากกระเบือเขียวนั้น จะมีทุกระดับประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นยกจก ไปจนกระทั่งถึงขุนนางและอำมาตย์ ทั้งนี้เป็นเพราะพวกผู้คนที่นิยมรักหลากเพศมักจะแฝงเร้นกายาอยู่ในหมู่คนระดับต่างๆอย่างถ้วนหน้า

ดังเช่นที่มีข่าวกระเส็นกระสายไปทั่วว่า บรรดาขุนนางและอำมาตย์ชั้นสูงในราชสำนักบางท่านแอบหนีศรีภรรยามาหาความสุขที่สำนักแห่งนี้อยู่เป็นประจำมิได้ขาด

ต่อมาไม่นาน...

ข่าวคราวชักเริ่มหนาหูขึ้นทุกขณะ เพราะมีพระราชวงศ์ชั้นสูงบางพระองค์ออกไปหาความสำราญที่สำนักแห่งนี้ด้วย

ครั้นเมื่อความทราบถึงพระกรรณพระเจ้าเตวู เหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็ได้อุบัติขึ้นในคืนวันหนึ่ง

ขณะที่ทางสำนักสากกระเบือเขียวกำลังดำเนินกิจการอยู่เป็นปรกติวิสัย ฉับพลันทันใด กองพลทหารม้าจำนวนหนึ่งก็ได้กรีฑามาตามทางอย่างว่องไว เสียงฝีเท้าม้ากระแทบธรณีดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ประหนึ่งเป็นสุรเสียงสัญญาณว่าโชคชะตาแห่งบรรดาห้าขันทีพลัสวาทกำลังจะเปลี่ยนผัน

ขบวนม้าศึกหยุดลงที่หน้าสำนักสากกระเบือคู่โคมเขียว ซึ่งขณะนี้กำลังคึกคักไปด้วยผู้คนและสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมสารพัดสีที่แขวนเรียงรายอยู่โดยรอบ

เหล่าขุนพลพะคัมด์พากันลงจากหลังม้า ผู้เป็นหัวหน้าเดินนำบรรดาลูกน้องผ่านประตูสำนักเข้าไปภายใน

ทหารม้าฝ่าฝูงชนมุ่งสู่เบื้องในสุดแห่งสำนัก ซึ่งห้าขันทีพลีสวาทกำลังต้อนรับแขกเหรื่ออยู่ พวกหล่อนอยู่ในชุดประจำชาติหลากสีสรรอันสวยสดงดงามยิ่ง

เหล่าห้านักเลงเมืองพะคัมพ์กรูกันมารายล้อมทหารม้าเอาไว้

" พวกท่านยกพลกันมาด้วยเหตุอันใด พวกเราหาได้เปิดเกินเพลาที่ราชการกำหนดไว้ไม่ "

" หลีกไป บังอาจต่อสู้หรือขัดขวางจะโดนประหาร "

ขุนพลตวาดก้องพลางกระชากมวนหนังช้างจากทหารผู้หนึ่งมาแล้วคลี่ออกอ่าน

" พระบรมราชโองการเหนือเกล้าจากพระเจ้าเตวู "

ณ บัดนั้น

เสียงอื้ออึงคะนึงไปทั่ว ก่อนที่ทุกคนจะทรุดกายลงหมอบ มโหรีในสำนักสากกระเบือเขียวลั่นฆ้องสามคราพร้อมลงฉาบดังสนั่น ขุนพลจึงอ่านต่อ

" ด้วยทางสำนักสากกระเบือเขียวก่อตั้งขึ้นโดยมิได้ผ่านพระบรมราชานุญาติ กอบกิจการอันเสื่อมเสียศักดิ์ศรีแห่งพะคัมด์ประเทศเขตขันธ์ ฉะนั้น ทรงมีพระบรมราชโองการให้รวบตัวผู้ดำเนินกิจการสำนักสากกระเบือเขียวเข้าเฝ้าชี้แจงความเป็นมาให้กระจ่าง ผู้ใดขัดขืน... ประหาร !!! "

ขุนพลม้วนพระบรมราชโองการเก็บดังเดิมแล้วส่งให้ทหารไป ก่อนหันมาตวาดก้อง

" ทหาร... จับพวกมันไปให้หมด "

จบคำ เหล่าทหารกรูกันจับตัวห้าขันทีพลีสวาทและ ห้านักเลงเมืองพะคัมด์ไป เหล่าแขกเหรื่อต่างรีบหลบหนีกันพัลวัน เสียงร้องตะโกนวี๊ดว๊ายดังสนั่นลั่นสำนัก

มโหรีร่าเริงรัวเพลงพะคัมด์รำฆ้อนฟ้อนสากทอง เคล้าคลอการไล่จับผู้คนจนเป็นที่โกลาหล

- - - - - - - - -

ท้องพระโรงพระราชวังพะคัมด์อันตระการตา

เพลากระนั้น...

พระเจ้าเตวูทรงประทับบนพระบรมราชบัลลังก์กะดองทอง โดยมีสองนางสนมเคียงเขนยอยู่เช่นเคย

เบื้องล่าง เหล่าห้าขันทีพลีสวาทและห้านักเลงเมืองพะคัมด์ถูกพันธนาการให้คุกเข่าก้มหน้าซุกพื้นอยู่เป็นกลุ่ม

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวพะคัมด์ ณ บัดนี้ ข้าพระองค์ได้นำตัวผู้ประกอบกิจการสำนักสากกระเบือเขียวมาเข้าเฝ้าแล้วพระเจ้าข้า "

ขุนพลม้ากราบทูล

พระเจ้าเตวูทรงกำลังสำราญพระอารมณ์อยู่กับนางสนม โดยมิทรงสนสิ่งใด จนกระทั่งขุนพลต้องกระแอม เมื่อนั้นจึ่งทรงหันมา

" ไหน... ห้าขันทีพลีสวาทที่ร่ำลือกันนักหนาว่าสวยสะคราญ "

พระเจ้าเตวูทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรอย่างฉับพลัน

บัดดล...

ดวงพระเนตรก็พลันเบิกโพลงเนื่องเพราะทรงตะลึงกับโฉมเฉลาทั้งห้านั้น

" งามแท้แม่ขันที "

ตรัสจบ พระเจ้าเตวูทรงผลักไสนางสนมทั้งสองออกห่างอย่างฉับพลัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่