เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 12

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323

*****************


บทที่ 12



หลายมาสถัดมา...

ภายในท้องพระโรงพระราชวังอนันตาอีกเช่นเคย

ขณะที่เจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงออกว่าราชกิจงานเมืองอยู่นั้น พลันมหาดเล็กก็ลีลาศเข้ามาอย่างละมุนละม่อม พลางคุกเข่าลงกราบถวายบังคมอย่างงดงามสุดบรรยาย

" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกศประเทศอนันตา ณ บัดนี้ เจ้าฟ้าฉกรรณราชา มหากษัตริย์ละวิรัฐประเทศ ได้ยกทัพมาประชิดหัวเมืองอนันตา ผิว่าจะช่วงชิงพระนางแก้วกานดาไปพระเจ้าข้าขอรับ "

มโหรีรัวกลองกระหึ่มซัดก่อนจบด้วยฉาบเล็ก กลาง ใหญ่

เจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดขึ้นประทับยืน ณ บัดนั้น

" ชิชะ เจ้าอริราช มันจะบังอาจเกินหวัง... ไปหอธิดารามสูร ชิงตัวนางแก้วกานดา น้องอริราชมากักเป็นตัวประกันเอาไว้ก่อนท่าจะดี "

" ช้าก่อนพระอยู่หัวเจ้าชาวอนันตา "

มหาอำมาตย์เอกทูลทักท้วง

" ไย ? "

" อันหอธิดารามสูรนั้นมีกฏเฉพาะเป็นเอกเทศ ห้ามบุรุษทุกผู้ล่วงล้ำก้ำเกินอาณาเขตเข้าไป องค์พระล้านแทวีวังทรงวางระเบียบเอาไว้เพื่อปกป้องอิสตรีผู้บริสุทธิ์แห่งราชสำนัก หากแม้นว่าพระองค์ละเมิดกฏ ล่วงล้ำเข้าสู่ขอบเขตแห่งหอธิดารามสูรเมื่อใด อาจทรงถูกครหานินทา และตราพระพักตร์ว่าเป็นพระองค์โฉดได้นะพระพุทธเจ้าข้า "

" อึ้มมมมม... ก็มีเหตุผลอยู่ "

ทรงตรองตรึก

มหาดเล็กผู้ต่ำต้อยสอดถ้อยทูลแถลงแย้งไปว่า

" การด่วนเช่นนี้มีหรือที่ควรจะถือกฏอยู่ได้ รั้งรอต่อไปรังแต่จะสูญกับเสีย หากมาตรแม้นว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชายกพลข้ามเขื่อนขันธ์สวรรค์ธารามา เราจะไม่มีสิ่งใดไว้ต่อรองนะพระพุทธเจ้าข้า "

มหาอำมาตย์เอกหันขวับมามอง มหาดเล็กดั่งรู้ตนรีบผลุบถอยไปคราหนึ่ง

" ต่ำต้อยใช้สอยผิดวัตถุประสงค์ ไม่คู่ควรแก่การเป็นมหาดเล็กหลวง "

" ช่างมันเถอะ มันก็พูดถูก "

เจ้าฟ้ามูรตีตรัสยิ้ม

" มหาอำมาตย์เอกทูลตามระเบียบแน่แท้ ข้าพระองค์ก็คิดเช่นกันว่าพระองค์มิควรล่วงล้ำก้ำเกินหอธิดารามสูรเพลานี้กระหม่อม "

มหาโหราจารย์ทูลบ้าง

" ท่านก็คิดเช่นนั้นฤา "

ทรงถาม

" พระเจ้าข้า "

ครู่หนึ่ง มหาดเล็กอีกผู้ถลามาหมอบพลางเงยหน้าสลอนกราบบังคม

" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกปักษ์พิทักษ์ประชาอนันตานคร ณ บัดนี้ ข่าวกรองแน่ชัดเหลือหลายว่าเจ้าฟ้าฉกรรณราชาได้ยกทัพมาประชิดชายแดนอนันตาแล้วพระเจ้าข้า "

ฉับพลัน เจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดขึ้นในทันที มโหรีหลวงกระหน่ำฆ้องวงเป็นการสรรเสริญ

" บุกหอธิดารามสูร "

เจ้าพนักงานลั่นมโหระทึกสามครา ปิดท้ายด้วยฉาบ

ฤาคราวนี้ ความเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระสุภาพบุรุษของเจ้าฟ้ามูรตีจะพังครืนแล้วหนอ ใครจะตอบได้ ก็มีแต่องค์อนุสรติยเทวาอัสอิทธีร์เท่านั้นแหละ

- - - - - - - - -

ณ หอธิดารามสูร

มหาอาคารอันสูงตระหง่านเสียดฟ้าเหนือหมู่พระวิมานมณเฑียรปราสาทใดๆในพระบรามหาราชวังอนันตา

ตัวอาคารสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง แลใช้ฝีมือช่างอย่างวิจิตรพิสดาร โดยรอบอาณาเขตแห่งหอธิดารามสูรแห่งนี้ยังมือสระบัวบานทะโล่อยู่กลางอุทยานใหญ่อีกด้วย

ตามตำนานที่เล่นสืบเนื่องกันต่อๆมาหลายชั่วอายุคน หอธิดารามสูรแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์อนันตาองค์ที่ 17 โดยการทูลขอร้องของพระสนมเอก หรืออีกนัยหนึ่งซึ่งมีพระนามเป็นที่รู้จักกันในภายหลังว่า พระล้านปีเทวีวัง ผู้สิ้นพระชนม์ไปกว่า 35 ปี แล้ว สิริรวมพระชนมายุขณะยังทรงพระชนม์อยู่ได้ 253 พระชันษา

พระล้านปีเทวีวัง ทรงบัญญัติข้อระเบียบของหอธิดารามสูรเอาไว้ให้ถือปฏิบัติรวม 3 ข้อ ด้วยกัน คือ

ข้อแรก...

ห้ามบุรุษผู้ใดในโลกา ล่วงล้ำก้ำเกินเขตแดนที่กำหนดไว้เข้ามา ไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม หากมีผู้ฝ่าฝืน ให้ตัดองคชาติทิ้ง สูญสิ้นความเป็นบุรุษเพศไปในบัดดล จากนั้นให้ประหารเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

ข้อที่สอง...

ให้หอนี้เป็นที่พำนักแห่งอิสตรีในราชสำนัก ที่ยังไม่เคยขึ้นห้องพระบรรทมมาก่อน ข้อนี้รวมไปถึงอิสตรีที่ขึ้นห้องพระบรรทมแล้ว แต่ถูกกษัตราหมางเมินมากว่า 3 ปี ด้วย

ข้อที่สาม...

กษัตราองค์ใดก็ตาม ที่ริอาจฝ่าฝืนกฏ บุกเข้าหอธิดารามสูร ให้ตราพระพักตร์ว่าเป็นพระองค์โฉดไปชั่วกาลนาน จนกว่ากษัตริย์พระองค์นั้นจะสวรรคต

กฏทั้ง 3 ข้อนั้น บัญญัติขึ้นมาเพื่อคุ้มครองอิสตรีบริสุทธิ์ในราชสำนัก มิให้ตกเป็นเบี้ยล่างของบุรุษเพศ และเพื่อมิให้ถูกย่ำยีจนปี้ป่น

นอกจากนี้ ภายในหอธิดารามสูรยังมีพวกขันทีไว้คอยรับใช้อีกด้วย โดยขันทีเหล่านั้นเป็นชาวภูธราที่จะคอยให้การปรณนิบัติรับใช้บรรดานางสนมกำนัลทั้งหลาย แรกทีเดียวอนันตาประเทศไม่มีขันที ครั้นพอพระเจ้ากรุงภูธราองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ทรงอยากเอาพระทัยเจ้าฟ้ามูรตี จึงทรงส่งขันที สี่พันกว่าคนมาเป็นของกำนัลวันครบรอบวันประสูติ แต่ความเป็นจริงแล้ว พระเจ้ากรุงภูธราทรงมีพระราชประสงค์ที่จะระบายขันทีในวังหลวงของพระองค์ออกไปเสียบ้าง เพราะราชสำนักภูธรามีขันทีอยู่มากเหลือเกิน และพวกขันทีเหล่านี้ หากรวมกลุ่มกันอยู่มากๆแล้วก็มักจะก่อการใหญ่ หรือก่อความวุ่นวายอยู่เสมอ

ฝ่ายกรุงอนันตาเองก็น้อมรับขันทีสี่พันกว่าคนมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดยเฉพาะบรรดาชาววังอนันตา ซึ่งออกจะดีใจเป็นการนอกหน้า เพราะถือเป็นสิ่งแปลก ไม่เคยพบไม่เคยเห็นไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อนันตา

แต่เนื่องด้วยอนันตาประเทศ ไม่นิยมกระทำบุรุษเพศให้เป็นขันทีประการหนึ่ง ประกอบกับภูมิอากาศของเมือนอนันตาค่อนข้างร้อนอบอ้าวต่างจากภูธราที่หนาวเย็นประการหนึ่ง ยังผลให้จำนวนขันทีที่มีอยู่สี่พันกว่าคนต้องร่อยหรอลงไปตามกาลสมัย จนเหลือเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น

ขันทีทั้งห้า แห่งราชสำนักอนันตานี้ ล้วนเป็นขันทีที่อยู่ในวัยรุ่น และมีรูปโฉมโนมพรรณที่งดงามยิ่งกว่าอิสตรีทั่วๆไปในตลาดสด พวกหล่อนทั้งห้าได้รวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่นแล้วเรียกขานตัวเองว่า ห้าขันทีพลีสวาท

ยามเที่ยงวันก็จะอยู่งานรับใช้เหล่านางสนมในหอธิดารามสูร ส่วนยามเที่ยงคืนกระนั้นเล่า แทบไม่ต้องคาดเดา... พวกเธอทั้งห้าก็จะออกล่าเหล่าบุรุษมาสนองตัณหากามาของตนจนอิ่มหนำสำราญบานฤทัยไขขานกันทั่วหน้าประชาชีทวีผล

ด้วยเหตุฉะนี้... จึงได้ชื่อว่า ห้าขันทีพลีสวาท กระนั้นแล...

ฝ่ายพระนางแก้วกานดา ผู้เป็นพระขนิษฐาของเจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ทรงถูกเจ้าฟ้ามูรตีช่วงชิงตัวมาเป็นพระสนมเอก และให้พำนักอยู่แต่ในหอธิดารามสูรอย่างหงอยเหงา

เพลานั้น...

พระนางทรงกำลังร้อยมาลัยอยู่ เหล่านางกำนัลแลขันทีทั้งมวลกรูกันเก็บมะลิซ้อนซ่อนเร้นและบัวบานทะโล่ ที่ปลูกอยู่ในสระกลางอุทยานของหอธิดารามสูร.....

" เอ้า...! เร็วเข้าสิจ๊ะ นางกำนัล ไป ไปเก็บบัวมาสิจ๊ะ ชั้นจะร้อยมาลัยถวายเจ้าฟ้ามูรตี..... "

" ช้าก่อนนางแก้วกานดา... "

เสียงทุ้มลึกดังขึ้น...

" อ๊ะ !!! ... ท่านเจ้าฟ้ามูรตี... "

" อำมาตย์ด้วยนะพะย่ะค่ะ "

" มาทำไมกันน่ะ นี่เป็นหอธิดารามสูรนะ "

" ช่างปะไร... จะมาชิงตัวนางไปน่ะสิ "

เจ้าฟ้ามูรตีทรงเอ่ย

" ชิงไปทำไมล่ะจ๊ะ ชั้นก็เป็นเมียท่านเจ้าอยู่แล้วนะจ๊า..... "

" ไม่ต้องพูดมาก... บัดนี้เชษฐาของหล่อนได้ยกทัพมาประชิตแล้ว เราจะชิงตัวหล่อนไปเพื่อเป็นตัวประกันใกล้ชิดสนิทแนบแอบอิงระวิงกายา "

เจ้าฟ้ามูรตีตรัสด้วยพระอารมณ์ขรึม

พระนางแก้วกานดาดีพระทัยลิงโลด ทรงตวัดชายพระภูษาขึ้นพันพระพาหาพลางตรัส

" อ๊ะ !! ดี... ดี... ไปสิไป "

จากนั้นทรงผินพระพักตร์ไปยังเหล่านางกำนัลจึ่งตรัสอีก

" เอ้า... พวกนางกำนัล... รีบเก็บถ้วยโถโอชามเข้าสิ เอาของใช้ที่จำเป็นไปด้วยนะจ๊า.... "

เหล่านางกำนัลและขันทีทั้งห้า ต่างกระจายกำลังกันไปตามจุดต่างๆของหอธิดารามสูรแล้วหยิบฉวยสิ่งของใกล้มือกันเป็นพัลวัน กิจการดำเนินไปอย่างว่องไวและรวดเร็ว แลเห็นนางกำนัลวิ่งวุ่นไปทั่วบริเวณ สไบทองปลิวว่อนจนเจ้าฟ้ามูรตีทรงเวียนพระเศียร

มโหรีหลวงประจำหอฯ กระหึ่มเพลงอัปสรสวรรค์ตื่นบรรทมประพรมน้ำสุคนธ์ เคล้าคลอด้วยการรัวฉิ่ง

- - - - - - - - -

ท้องพระโรงพระราชวังอนันตา

ความครึกครื้นรื่นเริงได้อุบีติขึ้นอีกครั้ง เมื่อพระนางแก้วกานดาซึ่งทรงถูกเจ้าฟ้ามูรตีทรงควบคุมพระองค์มาไว้ที่นี่ ได้ทรงนำระบำชาวหอฯ และการละเล่นต่างๆ ที่ทรงคิดขึ้นขณะที่ทรงอยู่ในหอธิดารามสูร มาเผยแพร่แด่บรรดาขุนนาง อำมาตย์ และข้าราชบริพารทั้งมวล

ระบำที่ทรงประดิษฐ์ท่าเต้นและเพลงร้องนั้นก็อาทิ ระบำกรับตะแล็บแก็บ ซึ่งผู้เต้นจะต้องมีประสาทสัมผัสที่ดีอย่างมาก เพราะมือทั้งสองจะต้องถือกรับ แล้วสับให้ได้จังหวะกับเพลง ซึ่งบรรเลงเร็วมาก ระบำนี้พระนางแก้วกานดาทรงดัดแปลงมาจากท่าเต้นของสุนัขเวลาถูกน้ำร้อนสาดใส่

ส่วนการละเล่นทีทรงคิดขึ้นนั้น ก็อาทิ หมากตะลุกปุ๊ก โดยวิธีการปฏิบัติก็คือ ใช้ผู้เล่นที่เป็นสตรี มือหนึ่งกำหมากไว้สิบหมาก ส่วนอีกมือหนึ่งก็จะถือตะกร้อสอยผลไม้เอาไว้ เวลาเล่นก็โยนหมากขึ้นฟ้าแล้วใช้อีกมือซึ่งมีตระกร้อคอยรับหมากเหล่านั้น ถ้ารับหมากได้ไม่ครบตามจำนวนสิบ ผู้เล่นก็จะถูกผู้ชมกรูกับรุมปล้ำปลดพัสตราภรณ์ออกตามจำนวนหมากที่ขาดไปนั้น ความสนุกจึงอยู่ที่การรุมปล้ำจนล้มลุกคลุกคลานไปกับพื้น จึงเรียกว่าหมากตะลุกปุ๊ก การละเล่นนี้ เหล่าขุนนางอำมาตย์ต่างชื่นชอบกันนักแล

พระนางแก้วกานดาทรงมีพระประสงค์จะเล่นหมากตะลุกปุ๊กบ้าง จึงทรงฉวยตระกร้อและหมากมาจากนางกำนัลนางหนึ่ง หากแต่ผู้ใดเล่าที่จะกล้ากรูกันเข้าปลุกปล้ำเพื่อปลดพระภูษาผ้านุ่งของพระนางได้ มีฤา

ทรงเริ่มกิจการ หมากนับสิบถูกเหวี่ยงขึ้นฟ้าอย่างว่องไว พระนางกรีดกรายด้วยด้วยท่าอันงดงามอ่อนช้อย พลางทรงสอยหมากทีละเม็ดอย่างชำนิชำนาญยิ่ง

เหล่าข้าราชบริพารที่มุงดูกันอยู่ต่างตื่นเต้นตะลึงลานในพระอิจฉริยภาพของพระนางเป็นที่สุด

ฝ่ายเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งทรงเอกเขนกอยู่บนพระบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน ทรงกระหยิ่มในพระทัยว่า

..... ดีล่ะ ร่ำลือกันนักหนาว่าแก้วกานดาช่ำชองนักเรื่องหมากตะลุกปุ๊ก เห็นว่ารับได้ทุกเม็ดไม่เคยขาดตกบกพร่อง จำเราจะลองแกล้งดูสักครา .....

ดำริจบทรงโน้มพระวรกายมาฉวยพระสุพรรณราช แล้วทรงเหวี่ยงขึ้นสู่ฟ้าในบัดดล

พระนางแก้วกานดากำลังจะทรงรับหมากเม็ดสุดท้ายพอดี ทรงแลเห็นพระสุพรรณราชลอยละลิ่วมาก็ทรงตะลึง พลางทรงเบี่ยงพระวรกายหมายรับหมาก หากแต่ทรงพะวงว่าถ้าพระสุพรรณราชตกพื้นหกเลอะเทอะอาจต้องพระอาญาได้ จะทำกระไรดีหนอ... ด้วยเหตุฉะนี้ จึงทรงตัดสินพระทัยทิ้งตระกร้อและหมากทั้งมวลแล้วหันไปรับพระสุพรรณราชแทน ทรงหมุนพระวรกายยื่นพระหัตถาเข้ารับพระสุพรรณราชองค์นั้นไว้ด้วยท่วงทีอันงดงามยิ่ง เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง แต่หมากทั้งสิบกลับกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด

มโหรีหลวงบรรเลงเพลงเทพธิดาล่ออัญมณีศรีปราสาท เป็นการสรรเสริญหรือเยอะเย้ยมิอาจทราบได้

พระนางแก้วกานดาทรงทำพระพักตร์พระเนตรเหลอหลาโดยไม่ทันทรงรู้เลยว่า มีบุคคลผู้หนึ่งโถมกายเข้าหาพลางปลุกปล้ำกอดรัดจนล้มกลิ้งไปกับพื้นแล้วปลดพระภูษาพัสตราภรณ์ของพระนางออกไปถึงสิบชิ้น !!!!!!!!!!

" อ้า..... ท่านเจ้าฟ้ามูรตี "

เหล่าข้าราชบริพารทั้งมวลรีบวิ่งออกจากท้องพระโรงไปกันหมดเพราะเกรงพระอาญา

ชาวม่านเร่งรีบไขพระวิสูตรลงหลายชั้น เพื่อปกปิดทั้งสองพระองค์

มโหรีหลวงบรรเลงเพลงเทพธิดาพ่ายจนจบ แล้วรีบติดตามบุคคลอื่นออกไป

ในท้องพระโรง เหลือเพียงเจ้าฟ้ามูรตีและพระนางแก้วกานดาเพียงลำพังเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่