เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
*****************
บทที่ 16
บนดอยแฉล้มวจี...
หมู่บ้านชาวเขาเผ่าหนึ่งตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ
กลุ่มควันอันเกิดจากการหุงหาอาหารได้โชยคลุ้งไปทั่วบริเวณอันกว้างใกญ่ แลไปทางไหนก็ล้วนมีแต่บุรุษเพศ สวมชุดหนังเสือ บ้างก็เสือโคร่ง บ้างก็เสือดาว บ้างก็เสือลายพลาดกลอน จะมีหลอมแหลมก็เช่นเสือปลา และ

ินพืช
นี่คือกลุ่มชาวเขาเผ่าสมิงสา ผู้ครอบครองคอยแฉล้มวจีมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ชาวเขากลุ่มนี้จะไม่มีสตรีอยู่ในเผ่าเลย ทั้งนี้เพราะพวกเขาคิดว่าสตรีเป็นบุคคลที่วุ่นวาย จู้จี้ และมักจะกระทำให้ของขลังประจำตัวบุรุษเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้น ยามที่พวกเขาต้องการสตรีมาบำเรอสุข เขาก็จะออกล่า ครั้นพอปรนเปรอกามากันจนทั่วหน้าประชาชีแล้วก็จะแล่เนื้อสตรีผู้นั้นกินจนหมดสิ้น ช่างน่าสยดสยองผองขนเหลือประมาณมี
อีกประการหนึ่งที่ถือเป็นสาเหตุสำคัญว่าชาวเขาเผ่าสมิงสาไม่นิยมอิสตรีอยู่ในเผ่านั้นก็คือ เพราะหัวหน้าเผ่าเป็นพวกรักหลากเพศ คือชอบหลายเพศ ไม่ว่าจะเป็นหญิงก็ได้ ชายก็ดี หรือขันทีก็หฤหรรษ์ ฉะนั้น เผ่านี้จึงไม่มีสตรีอยู่ในเผ่ากระนั้นแล
ภายในกระโจมของหัวหน้าเผ่า ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารด้วยกระดูกสัตว์ ขนสัตว์ และเครื่องในสัตว์ที่ตากแห้งแล้ว แต่ละมุมล้วนเพริศแพร้วไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของหัวหน้าที่ได้รับการจัดวางเอาไว้อย่างมีระเบียบงามตา บ่งบอกถึงความพิถีพิถันและเอาใจใส่ได้ในระดับหนึ่ง
มุมหนึ่งของกระโจมอันมีเตียงนอนไม้วางอยู่ บนที่นอนนั้นมีร่างอ้อนแอ้นอรชรของอิสตรีนางหนึ่งตะแคงกายหันหลังให้ ครู่หนึ่ง สตรีนางนั้นก็หันมา ที่แท้เป็นพระนางแก้วกานดานี่เอง
พระนางทรงลืมพระเนตรขึ้นอย่างช้าๆ พลางทรงกลอกดวงพระเนตรไปมาอยู่ครู่
บัดดล...
ทรงผุดลุกขึ้นพลางทรงทอดพระเนตรพระวรกายของพระองค์ซึ่งเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มคลุมอยู่เพียงเท่านั้น
" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!! "
ทรงกรีดร้องก้อง
พระสุรเสียงร้องของพระนางดังลั่นกระโจม และสนั่นออกไปข้างนอกจนได้ยินกันไปทั่วทั้งหมู่บ้านชาวเขาเผ่าสมิงสา
ชายร่างกายบึกบึนกำยำผู้ซึ่งพระนางทรงพบเป็นครั้งแรกที่โขดหินกลางป่าได้ถลาเข้ากระโจมมา
" ไอ้คนโฉด ออกไปนะ "
พระนางทรงตวาดใส่
" นี่กระโจมของข้า ข้าจะมาจะไปมันก็เป็นเรื่องของข้า "
ชายหนุ่มตอบ
" บังอาจกระทำการอันมิบังควรบนร่างกายของเรา กลับกรุงครานี้เราจะให้องค์มูรตียกทัพมาผลาญหมู่บ้านเจ้า "
พระนางตรัสบริภาษเป็นการใหญ่
" ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า... ดีจริง มิเสียทีที่เกิดมาในชาตินี้ ในที่สุดข้าก็ได้นางอันเป็นที่รักแห่งกษัตริย์อนันตาไว้ครอบครอง "
ชายหนุ่มปิติยิ่ง
" ต่ำชาติสกุลถ่อยสิจะมาสอยกัลปพฤกษ์ "
พระนางตรัสพลางทรงเชิดพระพักร์
ฉาด..ด..ด.. ชายหนุ่มวาดหัตถ์ซัดพระพักตร์พระนางแก้วกานดาจนทรงล้มคว้ำคะมำหงายไปในบัดดล
" เจ้า.... "
พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงหวานปานน้ำอ้อย พลางทรงยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นปิดพระพักตร์ข้างที่ทรงถูกตบนั้น
นับแต่ประสูติมาเป็นราชินี มิเคยมีเลยที่จะมีผู้ใดมาหมายตบพระพักตร์พระนาง นอกจากสองบุคคลเท่านั้น
หนึ่งคือองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา พระเชษฐา
ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่า ก็คือเจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตา
แต่... บัดนี้...
พระนางทรงมีพระหฤทัยอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ทรงขยับพระวรกายมาอิงแอบแนบร่างอันบึกบึนของชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงอ่อน
" ท่านช่างแข็งแรงสุดประมาณ เรายังไม่ทราบนามกรของท่านเลย "
" อันว่านามของเรานั้นหรือ คือ สมิงสาตาบู "
" สมิงสาตาบู !! "
พระนางทรงตกพระทัยเป็นที่ยิ่ง
" ไฉนนาง..? "
สมิงสาตาบูฉงน
" ป..เปล่า ไม่มีอันใด "
พระนางตรัสพลางทรงพระดำริในพระทัยว่า
..... สมิงสาตาบู คือผู้ที่เจ้าพี่ฉกรรณราชาทรงเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมาทูลขอเจ้าพี่ร่วมหอร่วมห้องพระบรรทมด้วย แต่เจ้าพี่ไม่ทรงโปรด จึงเกิดเคืองกันขึ้น เขาผู้นี้นะหรือเป็นพวกรักหลากเพศ.....
พระนางดำริพลางทรงเพ่งพินิจเรือนร่างอันบึกบึนกำยำของสมิงสาตาบู
" ไม่น่าเชื่อ... "
ทรงเผลอตรัสออกมาคราหนึ่ง
" จงอยู่แต่ในกระโจม อย่าออกไปภายนอก มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลูกน้องของข้ารุมย่ำยีจนปี้ป่น แล้วถูกแล่เนื้อกินในที่สุด "
กล่าวจบสมิงสาตาบูผลุบออกจากกระโจมไป ทิ้งให้พระนางแก้วกานดาประทับอยู่เพียงลำพัง
- - - - - - - - -
ท้องพระโรงพระราชวังอนันตา
" เริงร่าไม่มีที่สิ้นสุด... ดูสิ นี่ก็ผ่านไปหลายเพลาแล้ว ยังไม่เห็นเศียรแม่แก้วกานดากลับมาเลย คงจะเพลิดเพลินเจริญวจีกับป่าเขาลำเนาไพรจนลืมเราเสียแล้วกระมัง อำมาตย์ "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสเรียก
" พระเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์เอกถวายบังคม
" รึท่านว่าไง "
" พระนางแก้วกานดานานทีจะได้ทรงเพลิดเพลินอย่างนี้สักครั้ง ที่กรุงละวิรัฐคงไม่มีอย่าอนันตาประเทศจึ่งทรงสำราญพระอารมณ์มากเป็นพิเศษ เช่นนั้น พระองค์น่าจะทรงทำพระทัยให้ฉ่ำเย็นไว้ก่อน "
ครู่ใหญ่...
มหาดเล็กสืบเท้าฉับๆเข้ามาในท้องพระโรงอย่างว่องไว พลางตรงดิ่งไปยังพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันเป็นที่ประทับแห่งเจ้าฟ้ามูรตีผู้งามสง่า จากนั้นจึงคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลว่า
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวอนันตา ณ บัดนี้ มีรายงานว่า ขบวนเสด็จของพระนางแก้วกานดาแตกกระสานซ่านเซ็น เหล่านางกำนัลตายหมด ส่วนพระนางแก้วกานดาและห้าขันทีพลีสวาทหายสาบสูญไร้ร่องรอยพระเจ้าข้า "
มโหรีหลวงประโคมเพลงร้างรานารีผีผยอง เจ้าฟ้ามูรตีทรงเริ่มร้องบทกลอน ตามด้วยมหาอำมาตย์เอกและมหาดเล็ก
" โอ้แก้วกานดาน้องยาพี่ "
" หายไปเช่นนี้ฝีมือกรุงละวิรัฐ "
" จัดทัพในทันใด "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดลุกขึ้น พลางทรงมีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรมหาสุรสิงหนาทสนั่นท้องพระโรงแห่งนั้น
" สถาปนามหาทัพอัปสรสวรรค์สนั่นเมืองกระเดื่องภูผา พร้อมช่วงชิงแม่แก้วกานดากลับมาให้จงได้ "
- - - - - - - - -
ย่ำค่ำ...
ฝ่ายกรุงอนันตากำลังเร่งรีบจัดทัพรี้พล เตรียมออกเดินทางสู่กรุงละวิรัฐในกลางดึก ไพร่พลมีมากมายมหาศาล แลเห็นกองเพลิงและเกวียนบรรทุกสัมภาระกระจายกันอยู่เป็นกลุ่มๆทั่วเชิงเขาใกล้พระบรมมหาราชวัง อีกข้างยังมีหมู่ม้าศึกรวมกลุ่มกันอยู่เป็นฝูงทางฝั่งตะวันออก ส่วนช้างศึกก็รวมกันอยู่ทางทิศเหนือ ประมาณว่ามีช้างศึกกว่าพันเชือก ส่วนม้าศึกก็ราวแปดพันม้า
ไพร่พลบางส่วนกำลังขัดแต่งและลับคมหอกคมดาบ บางส่วนกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย บางส่วนกำลังอาบน้ำชำระกาย บางส่วนกำลังให้อาหารม้า และบางส่วนกำลังร่ำลาบุตรภรรยา เพราะการเดินทางครั้งนี้อาจต้องจากบ้านจากเมืองไปเป็นเวลานาน
ในพระบรมมหาราชวังอนันตา
เหล่าข้าราชบริพารมหาดเล็กและนางกำนัลก็กำลังสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมพระราชสัมภาระของเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งมีมากมาย อาทิเช่น ช้างทรง 3 เชือก ซึ่งต้องใช้ผลัดเปลี่ยนกัน ม้าทรง 5 ม้า เรือพระที่นั่งอลังการอนันตามหานาวาสถานราชยานศรี พร้อมบุษบกและที่ประทับ ซึ่งแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆ บรรทุกไว้บนหลังช้าง พร้อมที่จะประกอบใช้งานได้ทุกเมื่อ ในกรณีที่ต้องเดินทางทางน้ำ หีบฉลองพระองค์และเครื่องภัสตราภรณ์อีกทั้งเครื่องบรมราชูปโภคอื่นๆอีกกว่าแปดสิบหีบ
ท้องพระโรงพระราชวัง เจ้าฟ้ามูรตีซึ่งทรงชุดฉลองพระองค์สีดอกอัญชัญ ประทับยืนอยู่หน้าพระบรมราชบัลลังก์ ตรัสสั่งงานแก่อำมาตย์และขุนางทั้งปวง
" ผสานจิตใจเป็นหนึ่ง พร้อมติดตรึงทุกอย่างให้พรักพร้อมนะ "
" พระเจ้าข้า "
มหาดเล็กรับพระบัญชาใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปดำเนินการ
เจ้าฟ้ามูรตีทรงหันมาทางมหาอำมาตย์เอกพลางทรงมีพระดำรัส
" ตรองไม่รู้หนเลยว่าฉกรรณราชาจะใช้เล่ห์กลอุบายอันเขลาโฉดโลดแล่นมาช่วงชิงแก้วกานดาน้องสาวของตนกลับไปเช่นนี้ "
ทรงหยุดไปครู่จึงตรัสต่อ
" หึ.. หึ.. สันดานชาติตระกูลอาดูรเสียไม่มี ออกทัพครานี้เห็นทีจะต้องตีเอาชัยให้ได้ทั้งละวิรัฐ "
" ขอเดชะ ณ บัดนี้ การทุกสิ่งสรรพเพียงพร้อมพระเจ้าข้า "
มหาดเล็ดกราบทูล
" เมื่อทุกอย่างสะพรั่งแล้วทะแกล้วก็ไปกันได้เลย "
ทรงมีพระบรมราชโองการ
ทุกคนไชโยโห่ร้องสามคราเป็นการเอาฤกษ์
มโหรีหลวงกระหึ่มเพลงทิพยชัย ทิพยฤกษ์ ทิพยกฤษฎี และทิพยกรีฑาอภินิหารประทานพร พร้อมตีฉาบ 200 คู่ มโหระทึก 80 ชุด และกระดิ่ง 2,000 อัน เป็นอันเสร็จพระราชพิธี
- - - - - - - - -
มุ่งสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของอาณาจักรอนันตา
มีอาณาจักรอันเปรียบเสมือนเป็นหอกข้างแคร่แห่งอาณาจักรอนันตาอยู่อาณาจักรหนึ่ง อาณาจักรนั้นก็คือ พะคัมด์
ณ ท้องพระโรงพระราชวังพะคัมด์อันตระการตา การประดับประดาล้วนแปลกแตกต่างไปจากอนันตาและละวิรัฐเป็นอันมาก มีการใช้เงินและขนนกประดับอยู่โดยทั่วไป ลวดลายการแกะสลักก็ดูพิลึกพิลั่นอย่างไม่เคยพานพบมาก่อน
เบื้องในสุดเป็นพระบรมราชบัลลังก์กะดองทองอันสูงใหญ่และสง่างาม ที่สถิตย์เสถียรแห่งพระเจ้ากรุงพะคัมด์องค์ปัจจุบันซึ่งทรงพระนามลือกระฉ่อนไปทั่วว่า พระเจ้าเตวู
พระเจ้าเตวูทรงมีพระชนมายุใกล้เคียงกับเจ้าฟ้ามูรตีและเจ้าฟ้าฉกรรณราชา
ในเพลากระนั้น พระองค์กำลังทรงคลอเคลียเคล้าอยู่กับเหล่านางสนมสองนาง โดยมีมโหรีหลวงประโคมเพลงเต่าเจ้าเล่ห์เพทุบายหมายชิมดรุณี
มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรงพลางคุกเข่าลงถวายบังคมตามแบบพะคัมด์ก่อนกราบทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวพะคัมด์ ณ บัดนี้ เจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตา ได้ยกพลนับล้านเคลื่อนออกจากอนันตาไปแล้วพระเจ้าข้า "
พระเจ้าเตวูทรงผลักนางสนมทั้งสองออกห่างพลางทรงโน้มพระวรกายมาข้างหน้าอย่างฉับพลันทันใด
" ดูรามหาดเล็กจ๋า ไยเจ้าเสนอหน้ายามข้าคลอเคลียเคล้าเหล่านางสนม "
" ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กเอาหัวซุกพื้นท้องพระโรงด้วยเกรงพระอาญายิ่ง
" ออกไปแล้วจัดอำมาตย์มาสองนาย "
" รับดำรัสไว้กลัดเกศ "
จบคำทูล มหาดเล็กค่อยๆคลานออกจากท้องพระโรงไป
ครู่ใหญ่...
อำมาตย์สองนายพากายอันแก่ชราคลานเข้ามาอย่างช้าๆ พลางกราบถวายบังคม
" เอาล่ะท่านทั้งสอง บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะยกทัพไพร่พลพะคัมด์ไปย่ำยีอนันตาให้ยับเยิน จงวางแผนการณ์มาซิ ผู้ใดตริชอบ เราจะให้รางวัลเป็นนางสนม "
จบพระดำรัส นางสนมทั้งสองต่างตื่นตระหนกตกใจเป็นที่ยิ่ง
หล่อนทั้งสองพลันผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งลงจากพระแท่นบรมราชบัลลังก์กะดองทองอันสูงลิบสู่ลงมาจนชายผ้านุ่งที่ยาวลากพื้นสะบัดพลิ้ว ครั้นถึงพื้นเบื้องล่าง พวกนางพลันจึงหมุนตัวกลับมาแล้วย่อตัวลงถวายบังคม
" ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเศียร เหล่าอำมาตย์แก่ชราแล้วเพคะ พวกหม่อมฉันไม่อยาก... "
" คิดขัดคำข้า ฤาอยากจะถูกตัดเต้าแล้วเผ่าทิ้ง ? "
ตรัสจบ นางทั้งสองเงียบกริบพลางเดินกลับขึ้นพระบรมราชบัลลังก์กะดองทองไปใหม่อีกครั้งอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเข้านั่งประจำที่เดิม
พระเจ้าเตวูทรงหันมาทางอำมาตย์ชราทั้งสอง
" เอ้า... ว่ามา "
" ขอเดชะ ข้าพระองค์เห็นควรให้ยกทัพใหญ่ มุ่งสู่อนันตา จากนั้นแยกทัพออกเป็นสาย ตีหัวเมืองรายทาง แล้วโอบล้อมอนันตาไว้ "
อำมาตย์คนแรกทูล
" อึ่ม "
ทรงมีพระดำริอยู่ครู่จึ่งดำรัส
" เอ้า... แล้วท่าน "
" จากนั้นหยั่งเชิงดูสักระยะ พร้อมส่งสายสืบผู้มีฝีมือเล็ดลอดเข้าไปหาข้อมูลว่าอนันตามีแผนการณ์ตอบโต้เราอย่างไร "
" อื่อฮื้อ... แล้วไงต่อ ? "
สองอำมาตย์ทูลขึ้นพร้อมกันว่า
" จากนั้นจู่โจมโดยมิได้นัดหมาย ตีเอาชัยได้ในที่สุด "
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 16
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
*****************
บทที่ 16
บนดอยแฉล้มวจี...
หมู่บ้านชาวเขาเผ่าหนึ่งตั้งอยู่เป็นกลุ่มๆ
กลุ่มควันอันเกิดจากการหุงหาอาหารได้โชยคลุ้งไปทั่วบริเวณอันกว้างใกญ่ แลไปทางไหนก็ล้วนมีแต่บุรุษเพศ สวมชุดหนังเสือ บ้างก็เสือโคร่ง บ้างก็เสือดาว บ้างก็เสือลายพลาดกลอน จะมีหลอมแหลมก็เช่นเสือปลา และ
นี่คือกลุ่มชาวเขาเผ่าสมิงสา ผู้ครอบครองคอยแฉล้มวจีมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ชาวเขากลุ่มนี้จะไม่มีสตรีอยู่ในเผ่าเลย ทั้งนี้เพราะพวกเขาคิดว่าสตรีเป็นบุคคลที่วุ่นวาย จู้จี้ และมักจะกระทำให้ของขลังประจำตัวบุรุษเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้น ยามที่พวกเขาต้องการสตรีมาบำเรอสุข เขาก็จะออกล่า ครั้นพอปรนเปรอกามากันจนทั่วหน้าประชาชีแล้วก็จะแล่เนื้อสตรีผู้นั้นกินจนหมดสิ้น ช่างน่าสยดสยองผองขนเหลือประมาณมี
อีกประการหนึ่งที่ถือเป็นสาเหตุสำคัญว่าชาวเขาเผ่าสมิงสาไม่นิยมอิสตรีอยู่ในเผ่านั้นก็คือ เพราะหัวหน้าเผ่าเป็นพวกรักหลากเพศ คือชอบหลายเพศ ไม่ว่าจะเป็นหญิงก็ได้ ชายก็ดี หรือขันทีก็หฤหรรษ์ ฉะนั้น เผ่านี้จึงไม่มีสตรีอยู่ในเผ่ากระนั้นแล
ภายในกระโจมของหัวหน้าเผ่า ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรพิสดารด้วยกระดูกสัตว์ ขนสัตว์ และเครื่องในสัตว์ที่ตากแห้งแล้ว แต่ละมุมล้วนเพริศแพร้วไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของหัวหน้าที่ได้รับการจัดวางเอาไว้อย่างมีระเบียบงามตา บ่งบอกถึงความพิถีพิถันและเอาใจใส่ได้ในระดับหนึ่ง
มุมหนึ่งของกระโจมอันมีเตียงนอนไม้วางอยู่ บนที่นอนนั้นมีร่างอ้อนแอ้นอรชรของอิสตรีนางหนึ่งตะแคงกายหันหลังให้ ครู่หนึ่ง สตรีนางนั้นก็หันมา ที่แท้เป็นพระนางแก้วกานดานี่เอง
พระนางทรงลืมพระเนตรขึ้นอย่างช้าๆ พลางทรงกลอกดวงพระเนตรไปมาอยู่ครู่
บัดดล...
ทรงผุดลุกขึ้นพลางทรงทอดพระเนตรพระวรกายของพระองค์ซึ่งเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มคลุมอยู่เพียงเท่านั้น
" กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด !!! "
ทรงกรีดร้องก้อง
พระสุรเสียงร้องของพระนางดังลั่นกระโจม และสนั่นออกไปข้างนอกจนได้ยินกันไปทั่วทั้งหมู่บ้านชาวเขาเผ่าสมิงสา
ชายร่างกายบึกบึนกำยำผู้ซึ่งพระนางทรงพบเป็นครั้งแรกที่โขดหินกลางป่าได้ถลาเข้ากระโจมมา
" ไอ้คนโฉด ออกไปนะ "
พระนางทรงตวาดใส่
" นี่กระโจมของข้า ข้าจะมาจะไปมันก็เป็นเรื่องของข้า "
ชายหนุ่มตอบ
" บังอาจกระทำการอันมิบังควรบนร่างกายของเรา กลับกรุงครานี้เราจะให้องค์มูรตียกทัพมาผลาญหมู่บ้านเจ้า "
พระนางตรัสบริภาษเป็นการใหญ่
" ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า... ดีจริง มิเสียทีที่เกิดมาในชาตินี้ ในที่สุดข้าก็ได้นางอันเป็นที่รักแห่งกษัตริย์อนันตาไว้ครอบครอง "
ชายหนุ่มปิติยิ่ง
" ต่ำชาติสกุลถ่อยสิจะมาสอยกัลปพฤกษ์ "
พระนางตรัสพลางทรงเชิดพระพักร์
ฉาด..ด..ด.. ชายหนุ่มวาดหัตถ์ซัดพระพักตร์พระนางแก้วกานดาจนทรงล้มคว้ำคะมำหงายไปในบัดดล
" เจ้า.... "
พระนางตรัสด้วยพระสุรเสียงหวานปานน้ำอ้อย พลางทรงยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นปิดพระพักตร์ข้างที่ทรงถูกตบนั้น
นับแต่ประสูติมาเป็นราชินี มิเคยมีเลยที่จะมีผู้ใดมาหมายตบพระพักตร์พระนาง นอกจากสองบุคคลเท่านั้น
หนึ่งคือองค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา พระเชษฐา
ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่า ก็คือเจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตา
แต่... บัดนี้...
พระนางทรงมีพระหฤทัยอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ทรงขยับพระวรกายมาอิงแอบแนบร่างอันบึกบึนของชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าเผ่าพลางตรัสไปด้วยพระสุรเสียงอ่อน
" ท่านช่างแข็งแรงสุดประมาณ เรายังไม่ทราบนามกรของท่านเลย "
" อันว่านามของเรานั้นหรือ คือ สมิงสาตาบู "
" สมิงสาตาบู !! "
พระนางทรงตกพระทัยเป็นที่ยิ่ง
" ไฉนนาง..? "
สมิงสาตาบูฉงน
" ป..เปล่า ไม่มีอันใด "
พระนางตรัสพลางทรงพระดำริในพระทัยว่า
..... สมิงสาตาบู คือผู้ที่เจ้าพี่ฉกรรณราชาทรงเคยเล่าให้ฟังว่า เขาเคยมาทูลขอเจ้าพี่ร่วมหอร่วมห้องพระบรรทมด้วย แต่เจ้าพี่ไม่ทรงโปรด จึงเกิดเคืองกันขึ้น เขาผู้นี้นะหรือเป็นพวกรักหลากเพศ.....
พระนางดำริพลางทรงเพ่งพินิจเรือนร่างอันบึกบึนกำยำของสมิงสาตาบู
" ไม่น่าเชื่อ... "
ทรงเผลอตรัสออกมาคราหนึ่ง
" จงอยู่แต่ในกระโจม อย่าออกไปภายนอก มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลูกน้องของข้ารุมย่ำยีจนปี้ป่น แล้วถูกแล่เนื้อกินในที่สุด "
กล่าวจบสมิงสาตาบูผลุบออกจากกระโจมไป ทิ้งให้พระนางแก้วกานดาประทับอยู่เพียงลำพัง
- - - - - - - - -
ท้องพระโรงพระราชวังอนันตา
" เริงร่าไม่มีที่สิ้นสุด... ดูสิ นี่ก็ผ่านไปหลายเพลาแล้ว ยังไม่เห็นเศียรแม่แก้วกานดากลับมาเลย คงจะเพลิดเพลินเจริญวจีกับป่าเขาลำเนาไพรจนลืมเราเสียแล้วกระมัง อำมาตย์ "
เจ้าฟ้ามูรตีตรัสเรียก
" พระเจ้าข้า "
มหาอำมาตย์เอกถวายบังคม
" รึท่านว่าไง "
" พระนางแก้วกานดานานทีจะได้ทรงเพลิดเพลินอย่างนี้สักครั้ง ที่กรุงละวิรัฐคงไม่มีอย่าอนันตาประเทศจึ่งทรงสำราญพระอารมณ์มากเป็นพิเศษ เช่นนั้น พระองค์น่าจะทรงทำพระทัยให้ฉ่ำเย็นไว้ก่อน "
ครู่ใหญ่...
มหาดเล็กสืบเท้าฉับๆเข้ามาในท้องพระโรงอย่างว่องไว พลางตรงดิ่งไปยังพระบรมราชบัลลังก์ทองมยุรามหากายีศรีโกมุทสมุทรวิมาน อันเป็นที่ประทับแห่งเจ้าฟ้ามูรตีผู้งามสง่า จากนั้นจึงคุกเข่าลงกราบถวายบังคมทูลว่า
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวอนันตา ณ บัดนี้ มีรายงานว่า ขบวนเสด็จของพระนางแก้วกานดาแตกกระสานซ่านเซ็น เหล่านางกำนัลตายหมด ส่วนพระนางแก้วกานดาและห้าขันทีพลีสวาทหายสาบสูญไร้ร่องรอยพระเจ้าข้า "
มโหรีหลวงประโคมเพลงร้างรานารีผีผยอง เจ้าฟ้ามูรตีทรงเริ่มร้องบทกลอน ตามด้วยมหาอำมาตย์เอกและมหาดเล็ก
" โอ้แก้วกานดาน้องยาพี่ "
" หายไปเช่นนี้ฝีมือกรุงละวิรัฐ "
" จัดทัพในทันใด "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงผุดลุกขึ้น พลางทรงมีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรมหาสุรสิงหนาทสนั่นท้องพระโรงแห่งนั้น
" สถาปนามหาทัพอัปสรสวรรค์สนั่นเมืองกระเดื่องภูผา พร้อมช่วงชิงแม่แก้วกานดากลับมาให้จงได้ "
- - - - - - - - -
ย่ำค่ำ...
ฝ่ายกรุงอนันตากำลังเร่งรีบจัดทัพรี้พล เตรียมออกเดินทางสู่กรุงละวิรัฐในกลางดึก ไพร่พลมีมากมายมหาศาล แลเห็นกองเพลิงและเกวียนบรรทุกสัมภาระกระจายกันอยู่เป็นกลุ่มๆทั่วเชิงเขาใกล้พระบรมมหาราชวัง อีกข้างยังมีหมู่ม้าศึกรวมกลุ่มกันอยู่เป็นฝูงทางฝั่งตะวันออก ส่วนช้างศึกก็รวมกันอยู่ทางทิศเหนือ ประมาณว่ามีช้างศึกกว่าพันเชือก ส่วนม้าศึกก็ราวแปดพันม้า
ไพร่พลบางส่วนกำลังขัดแต่งและลับคมหอกคมดาบ บางส่วนกำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย บางส่วนกำลังอาบน้ำชำระกาย บางส่วนกำลังให้อาหารม้า และบางส่วนกำลังร่ำลาบุตรภรรยา เพราะการเดินทางครั้งนี้อาจต้องจากบ้านจากเมืองไปเป็นเวลานาน
ในพระบรมมหาราชวังอนันตา
เหล่าข้าราชบริพารมหาดเล็กและนางกำนัลก็กำลังสาละวนอยู่กับการจัดเตรียมพระราชสัมภาระของเจ้าฟ้ามูรตี ซึ่งมีมากมาย อาทิเช่น ช้างทรง 3 เชือก ซึ่งต้องใช้ผลัดเปลี่ยนกัน ม้าทรง 5 ม้า เรือพระที่นั่งอลังการอนันตามหานาวาสถานราชยานศรี พร้อมบุษบกและที่ประทับ ซึ่งแยกส่วนออกเป็นชิ้นๆ บรรทุกไว้บนหลังช้าง พร้อมที่จะประกอบใช้งานได้ทุกเมื่อ ในกรณีที่ต้องเดินทางทางน้ำ หีบฉลองพระองค์และเครื่องภัสตราภรณ์อีกทั้งเครื่องบรมราชูปโภคอื่นๆอีกกว่าแปดสิบหีบ
ท้องพระโรงพระราชวัง เจ้าฟ้ามูรตีซึ่งทรงชุดฉลองพระองค์สีดอกอัญชัญ ประทับยืนอยู่หน้าพระบรมราชบัลลังก์ ตรัสสั่งงานแก่อำมาตย์และขุนางทั้งปวง
" ผสานจิตใจเป็นหนึ่ง พร้อมติดตรึงทุกอย่างให้พรักพร้อมนะ "
" พระเจ้าข้า "
มหาดเล็กรับพระบัญชาใส่เกล้าใส่กระหม่อมไปดำเนินการ
เจ้าฟ้ามูรตีทรงหันมาทางมหาอำมาตย์เอกพลางทรงมีพระดำรัส
" ตรองไม่รู้หนเลยว่าฉกรรณราชาจะใช้เล่ห์กลอุบายอันเขลาโฉดโลดแล่นมาช่วงชิงแก้วกานดาน้องสาวของตนกลับไปเช่นนี้ "
ทรงหยุดไปครู่จึงตรัสต่อ
" หึ.. หึ.. สันดานชาติตระกูลอาดูรเสียไม่มี ออกทัพครานี้เห็นทีจะต้องตีเอาชัยให้ได้ทั้งละวิรัฐ "
" ขอเดชะ ณ บัดนี้ การทุกสิ่งสรรพเพียงพร้อมพระเจ้าข้า "
มหาดเล็ดกราบทูล
" เมื่อทุกอย่างสะพรั่งแล้วทะแกล้วก็ไปกันได้เลย "
ทรงมีพระบรมราชโองการ
ทุกคนไชโยโห่ร้องสามคราเป็นการเอาฤกษ์
มโหรีหลวงกระหึ่มเพลงทิพยชัย ทิพยฤกษ์ ทิพยกฤษฎี และทิพยกรีฑาอภินิหารประทานพร พร้อมตีฉาบ 200 คู่ มโหระทึก 80 ชุด และกระดิ่ง 2,000 อัน เป็นอันเสร็จพระราชพิธี
- - - - - - - - -
มุ่งสู่ดินแดนอันกว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันตกของอาณาจักรอนันตา
มีอาณาจักรอันเปรียบเสมือนเป็นหอกข้างแคร่แห่งอาณาจักรอนันตาอยู่อาณาจักรหนึ่ง อาณาจักรนั้นก็คือ พะคัมด์
ณ ท้องพระโรงพระราชวังพะคัมด์อันตระการตา การประดับประดาล้วนแปลกแตกต่างไปจากอนันตาและละวิรัฐเป็นอันมาก มีการใช้เงินและขนนกประดับอยู่โดยทั่วไป ลวดลายการแกะสลักก็ดูพิลึกพิลั่นอย่างไม่เคยพานพบมาก่อน
เบื้องในสุดเป็นพระบรมราชบัลลังก์กะดองทองอันสูงใหญ่และสง่างาม ที่สถิตย์เสถียรแห่งพระเจ้ากรุงพะคัมด์องค์ปัจจุบันซึ่งทรงพระนามลือกระฉ่อนไปทั่วว่า พระเจ้าเตวู
พระเจ้าเตวูทรงมีพระชนมายุใกล้เคียงกับเจ้าฟ้ามูรตีและเจ้าฟ้าฉกรรณราชา
ในเพลากระนั้น พระองค์กำลังทรงคลอเคลียเคล้าอยู่กับเหล่านางสนมสองนาง โดยมีมโหรีหลวงประโคมเพลงเต่าเจ้าเล่ห์เพทุบายหมายชิมดรุณี
มหาดเล็กถลาเข้าสู่ท้องพระโรงพลางคุกเข่าลงถวายบังคมตามแบบพะคัมด์ก่อนกราบทูล
" ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวพะคัมด์ ณ บัดนี้ เจ้าฟ้ามูรตีกษัตริย์อนันตา ได้ยกพลนับล้านเคลื่อนออกจากอนันตาไปแล้วพระเจ้าข้า "
พระเจ้าเตวูทรงผลักนางสนมทั้งสองออกห่างพลางทรงโน้มพระวรกายมาข้างหน้าอย่างฉับพลันทันใด
" ดูรามหาดเล็กจ๋า ไยเจ้าเสนอหน้ายามข้าคลอเคลียเคล้าเหล่านางสนม "
" ขอพระราชทานอภัยพระเจ้าข้า "
มหาดเล็กเอาหัวซุกพื้นท้องพระโรงด้วยเกรงพระอาญายิ่ง
" ออกไปแล้วจัดอำมาตย์มาสองนาย "
" รับดำรัสไว้กลัดเกศ "
จบคำทูล มหาดเล็กค่อยๆคลานออกจากท้องพระโรงไป
ครู่ใหญ่...
อำมาตย์สองนายพากายอันแก่ชราคลานเข้ามาอย่างช้าๆ พลางกราบถวายบังคม
" เอาล่ะท่านทั้งสอง บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะยกทัพไพร่พลพะคัมด์ไปย่ำยีอนันตาให้ยับเยิน จงวางแผนการณ์มาซิ ผู้ใดตริชอบ เราจะให้รางวัลเป็นนางสนม "
จบพระดำรัส นางสนมทั้งสองต่างตื่นตระหนกตกใจเป็นที่ยิ่ง
หล่อนทั้งสองพลันผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งลงจากพระแท่นบรมราชบัลลังก์กะดองทองอันสูงลิบสู่ลงมาจนชายผ้านุ่งที่ยาวลากพื้นสะบัดพลิ้ว ครั้นถึงพื้นเบื้องล่าง พวกนางพลันจึงหมุนตัวกลับมาแล้วย่อตัวลงถวายบังคม
" ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเศียร เหล่าอำมาตย์แก่ชราแล้วเพคะ พวกหม่อมฉันไม่อยาก... "
" คิดขัดคำข้า ฤาอยากจะถูกตัดเต้าแล้วเผ่าทิ้ง ? "
ตรัสจบ นางทั้งสองเงียบกริบพลางเดินกลับขึ้นพระบรมราชบัลลังก์กะดองทองไปใหม่อีกครั้งอย่างทุลักทุเล ก่อนจะเข้านั่งประจำที่เดิม
พระเจ้าเตวูทรงหันมาทางอำมาตย์ชราทั้งสอง
" เอ้า... ว่ามา "
" ขอเดชะ ข้าพระองค์เห็นควรให้ยกทัพใหญ่ มุ่งสู่อนันตา จากนั้นแยกทัพออกเป็นสาย ตีหัวเมืองรายทาง แล้วโอบล้อมอนันตาไว้ "
อำมาตย์คนแรกทูล
" อึ่ม "
ทรงมีพระดำริอยู่ครู่จึ่งดำรัส
" เอ้า... แล้วท่าน "
" จากนั้นหยั่งเชิงดูสักระยะ พร้อมส่งสายสืบผู้มีฝีมือเล็ดลอดเข้าไปหาข้อมูลว่าอนันตามีแผนการณ์ตอบโต้เราอย่างไร "
" อื่อฮื้อ... แล้วไงต่อ ? "
สองอำมาตย์ทูลขึ้นพร้อมกันว่า
" จากนั้นจู่โจมโดยมิได้นัดหมาย ตีเอาชัยได้ในที่สุด "