เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21
http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22
http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23
http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24
http://pantip.com/topic/31195700
บทที่ 25
http://pantip.com/topic/31200679
บทที่ 26
http://pantip.com/topic/31205094
*****************
บทที่ 27
กองทัพอันเกริกเกียรติเกรียงไกรแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตี ได้แปรเปลี่ยนจากการเคลื่อนพลทางชลมารค มาเป็นทางสถลมารคแทน เนื่องเพราะลำน้ำสุทธาราริณีโยคหันเหทิศทาง มิได้มุ่งสู่อาณาจักรละวิรัฐดังมาตรหวัง
เพลากระนั้น กองทัพของพระองค์กำลังตั้งค่ายพักอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถแลเห็นอาณาบริเวณโดยรอบกรุงละวิรัฐได้โดยถนัดและชัดเจน
เจ้าฟ้ามูรตีทรงประทับอยู่ในพลับพลา ส่วนพระนางแก้วกานดาก็ทรงนำเหล่านางกำนัลไปเที่ยวท่องเช่นเคย เสียงอิสตรีดังสนั่นลั่นทัพอยู่ตลอดเวลา
นับได้ว่ากองทัพอนันตาเป็นทัพเดียวในเกวลทวีป ที่มีทั้งอิสตรีและบุรุษในจำนวนที่เท่าเทียมกัน ต่างกันกับทัพอื่นๆ อาทิ ทัพพะคัมด์ก็มีแต่บุรุษ เช่นเดียวกันกับทัพละวิรัฐ ส่วนทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นที่เพิ่งจะสูญสิ้นไปเหลือเดียงกลุ่มชาวเถมรูและกลุ่มชาวภูธรานั้น ก็มีแต่เหล่าอิสตรี เช่นเดียวกันกับทัพของเจ้านางมาหยารัศมี
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงถือได้ว่ากองทัพแห่งอนันตาประเทศ ภายใต้การบัญชาการขององค์เจ้าฟ้ามูรตีนั้น เป็นกองทัพที่มีสีสรรสดใสที่สุดในบรรดากองทัพทั้งหลายในดินแดนเกวลทวีปกระนั้นแล
" อุ๊ย... นางกำนัล ดูนั่นสิจ๊ะ ปลาการเวก มันกินสิ่งใดเป็นอาหารน่ะ "
พระนางแก้วกานดาทรงชี้ไปยังสัตว์ตัวหนึ่งบนต้นไม้ ในขณะที่โหราจารย์ก็ลีลาศเข้ามา
" ขอเดชะ มันบริโภคดอกการเวกเป็นหลักใหญ่ รองลงไปก็เห็นจะได้แก่ดอกดาวเรืองและดอดยี่หุบพะย่ะค่ะ "
" น่าสนใจ โหราจารย์ ท่านจงไปเอามันมาให้เราทีซิ "
พระนางตรัสจบ โหราจารย์ก้มลงกราบคราหนึ่ง ก่อนหันขวับไปปีนต้นไม้ต้นนั้นอย่างทุลักทุเล แต่ก็จำเป็น เนื่องจากเป็นพระราชเสาวนีย์พระนาง
ณ พลับพลาที่ประทับ ขณะเจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงเพลิดเพลินพระราชหฤทัยอยู่กับการทรงหมากรุกอยู่กับมหาอำมาตย์เอกอยู่นั้น แม่ทัพทองถึงก็รีบวิ่งเข้ามาพลางคุกเข่าลงถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกศประเทศอนันตา ณ บัดนี้ มีข่าวสารแพร่สะพัดมาว่า เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ได้เปิดประตูเขื่อนขันธ์สวรรค์ธารา ยังผลให้สายวารีไหลหลากเข้าท่วมทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นจนเหล่าจามรียาและทหารหาญล้มตายลงเป็นอันมาก การนี้ยังทำให้ทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นอันเกรียงไกรต้องสูญสิ้นสภาพ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยไปในบัดดลด้วยพระพุทธเจ้าข้า "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงส่ายพระพักตร์ด้วยสีพระพักตร์ขุ่นข้อง ดวงพระเนตรทอดพระเนตรขึ้นสู่ฟ้า พระหัตถ์ขวากำพระหัตถ์ซ้ายแน่นจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย
" น่าสงสาร น่าสงสารเหลือประมาณจริงๆ เหตุฉะนี้... เห็นทีเป็นเพราะองค์เทวาลงทัณฑ์กระหน่ำซ้ำซัด "
" พระเจ้าข้าแน่นอนแล้ว "
มหาอำมาตย์เอกทูล
" แล้วเราสมควรกระทำเช่นไรดี... "
ทรงเปรย
ครู่หนึ่ง พลสุข นายทหารผู้หนึ่งเขยิบกายเข้าใกล้องค์พร้อมทูลแนะ
" ชี้ชวนเถมรู ภูธรา มาเป็นมิตรคิดสู้ละวิรัฐ จากนั้นดัดหลังกลับ จู่โจมพวกมันทั้งสองให้หนำหทัยพร้อมตีเอาชัยทั้งสองประเทศเขตขันธ์ให้บรรลัย "
วงเครื่องสายประโคมรับด้วยเพลง ทศพักตร์หักขนองสยองถึงแผ่นฟ้า แสดงถึงการใช้แผนแยบยลหักหลังฝ่ายตรงข้าม มหาอำมาตย์เอก แม่ทัพทองถึง พลสุข และเจ้าฟ้ามูรตีร่วมร้องขับประสานกันเป็นลำดับไป
" แผนการห้าวหาญโหดร้าย "
" ทำหทัยไม่ได้จริงๆ "
" ต้องทอดทิ้งความเอื้ออาทร "
" อย่ามาสอน มาสั่ง ฟังเราไว้ "
ตรัสจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงผินพระพักตร์ไปยังบริเวณอันเป็นที่ตั้งของกลุ่มชนชาวเถมรู และภูธรา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทรงว่า
" เหล่าสตรีทุกข์ยาก เราไม่อยากซ้ำเติมให้เสียเชิงชาย "
" ดำริดำรัสถนัดชัดชอบแล้ว พระเจ้าข้า "
เสียงโหราจารย์ดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ทุกคน ณ ที่นั้นต่างหันไปมองท่านเป็นจุดเดียว
โหราจารย์เดินนำขบวนเสด็จของพระนางแก้วกานดามา ร่างกายของโหราจารย์นั้นอ่อนระโหยโรยแรงยิ่ง อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์หม่อนไหมก็เศร้าหมองฉีกขาดไปหมด
" ท่านโหราฯ...!? ท่านทำสิ่งใดมาจึงหมองหม่นหมดราศีเช่นนี้หนอ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเฉยพระเนตรไปยังโหราจารย์ผู้กำลังคุกเข่าลงกราบทูล
" ขอเดชะ ข้าพระองค์สนองรับพระเสาวนีย์พระสนมเอกแก้วกานดา ไล่จับปลาการเวกที่เกาะอยู่บนต้นไม้พระเจ้าข้า แต่... ช่างเถอะ สำหรับเรื่องเมื่อครู่ ข้าพระองค์เห็นควรเกื้อหนุนเหล่าสตรีผู้ถูกวารีท่วม เพื่อจะได้เป็นการสะสมพระบรมราชกุศลไว้ในภพหน้า "
" ท่านโหราฯว่าถูกใจเราจริง... "
ทรงทอดพระเนตรไปทั่วทุกตัวคนจึ่งตรัส
" ฤาทุกท่านจะว่าไร "
" เห็นพ้อง ไม่ข้องขัด "
พสกนิกรถ้วนหน้าประสานสรรพเสียง
" เอาล่ะ เช่นนั้นก็รีบรุดไปดำเนินการ ให้โหราจารย์เป็นผู้สานสรรพสิ่ง เนื่องเพราะเครื่องแต่งกายของท่านหมองหม่นอยู่เป็นปฐม "
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า "
โหราจารย์ถอยออกไป
วงเครื่องสายครวญเพลง ผู้เฒ่าสะอื้นไห้ด้วยหทัยภักดี
- - - - - - - - -
กองทัพอันเกรียงไกรของเถมรูและภูธรา ได้ลดขนาดลงจากที่เคยมีอิสตรีกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนนาง บัดนี้ เหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเก้าสิบนางเท่านั้น สรวงสวรรค์ได้ลงทัณฑ์เหล่าสตรีกลุ่มนี้อย่างหนักหน่วงยิ่ง เนื่องเพราะเมื่อชาติปางก่อน พวกนางเคยก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ในชาติปางนี้จึงต้องมาชดใช้ชีวีด้วยการพลีกายให้แก่สายธาราละวิรัฐ
โถ... กระไรเลย ช่างโศกสลดรันทดเช่นนี้หนอ...
ภายในเพิงพัก ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราวโดยใช้หญ้าฟางและลำไม้ไผ่ที่หาได้จากในป่า ในส่วนหลังคาก็มุงด้วยใบจาก ต่างจากพลับพลาที่ประทับของเจ้าฟ้ามูรตีโดยสิ้นเชิง เพราะทางฝ่ายอนันตาสร้างพลับพลาอย่างในวัง โดยใช้ทองคำแท้ แผ่นเงิน แผ่นทองแดง และกระจกประดับประดาด้วยอัญมณีสารพัดสีอย่างวิจิตรตระการตาประณีตบรรจงยิ่ง
พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากา พร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารส่วนพระองค์ ต่างนั่งเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ในพลับพลาเล็กๆ เพื่อหลบแดดลมและฝนฟ้าพายุที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันกันไปในแต่ละวัน
และในเพลากระนั้นนั่นเอง...
ตรุมบาดี มหาดเล็กหญิงสตรีชาวภูธราคนใหม่ผู้เพิ่งจะรับหน้าที่แทนสะขรุมจินห์ชาวเถมรูได้ไม่นานก็ทะยานเข้ามาพร้อมร่ายรำด้วยท่วงท่าแบบภูธราต่อหน้าพระพักตร์พลางกราบทูล
" อิ อิ อิ พระนางเพค๊า... มีราชสาส์นมาแม่นแล้ว "
" ให้เข้ามาสิ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงกลั้นพระสรวลพลางตรัสไป
ในไม่ช้า... ขบวนราชสาส์นภายใต้การนำโดยโหราจารย์อนันตาก็ผ่านเข้ามาแล้วหยุดลงตรงหน้าพลับพลาแห่งนั้น พระนางสุบินสวรรค์ทรงทอดพระเนตรมายังโหราจารย์พลางตรัส
" ไม่เจอกันนานนะ โหราจารย์อนันตา "
ตรัสจบทรงผุดลุกขึ้นจากพระแคร่ไม้ไผ่อย่างช้าๆ สายลมโชยปะทะพระสไบทองปลิวว่อน ช่วยเสริมพระบารมีเด่น
" อ้า... พระนางสุบินสวรรค์ "
โหราจารย์ตะลึง
" หึ หึ หึ ใช่... คนที่เคยถูกมูรตีเหนือหัวเจ้าซัดหัตถาใส่หน้าเมื่อคราวไปขอสัมพันธไมตรีด้วยอย่างไร ฤาความจำท่านเสื่อมโทรมทรุดเพราะความชรา "
" เอ่อ.. เอ่อ.. คือ "
" ว่าไง... คราวนี้จะตามมายาไฉน ? ฤาจะมาให้เรากระหน่ำหัตถาใส่สนองแทน "
" ขอเดชะ องค์เหนือหัวอนันตา ทรงมีพระบัญชาให้ข้าพระองค์นำพระราชสาส์นฉบับนี้มาถวายพระเจ้าข้า "
" เอามาสิ "
ดำรัสจบ จะติกะวินาจิหมายเคลื่อนกายไปรับ แต่...
" ไม่ต้อง ท่านราชครู เชิญท่านโหราจารย์นำเข้ามาเองจะดีกว่า "
พระนางตรัสจบก็ทรงยิ้มกริ่ม จะติกะวะนาจิถอยห่างออกไปด้วยใจกระหยิ่ม โหราจารย์ยืนสั่นด้วยใจระทึก พานพระราชสาส์นที่ถืออยู่สั่นระรัวโยกคลอนไม่หย่อนหยุด
" ว่าไงล่ะ ยืนเฉยอยู่ไย ฤาต้องการให้เราออกไปรับกับมือท่าน "
" หามิได้พระเจ้าข้า "
โหราจารย์เคลื่อนกายตรงมาอย่างช้าๆ ครั้นเมื่อเข้าใกล้องค์จึงน้อมเศียรลงพร้อมชูพานขึ้นสูง
พระนางสุบินสวรรค์ทรงโน้มพระวรกายมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ ทรงแย้มพระสรวลแต่พองามพลางทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบพระราชสาส์นมา โหราจารย์ตัวสั่นงันงกด้วยเกรงพระราชอำนาจ
" เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว "
พระนางสุบินสวรรค์ตรัสจบ เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตกใจเป็นยิ่งนัก เนื่องเพราะคาดเดาว่าพระนางสุบินสวรรค์จะทรงตอบสนองทูตอนันตาด้วยการตบหน้าอย่างสาสมเป็นแน่ แต่เหตุไฉนจึงไม่ทรงกระทำ
โหราจารย์หันหลังหลับ ช่วงเวลานั้นเอง ที่พระนางศรีตะกุมะลากาทรงซัดของสิ่งหนึ่งเข้าไปในเสื้อผ้าอาภรณ์ของโหราจารย์
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ผู้อยู่ใกล้ชิดองค์ที่สุดได้เอียงกายเข้ากระซิบทูลถาม
" ทรงโยนสิ่งใดใส่น่ะเพคะ "
" แมลงปิดัตถุ์ สัตว์ร้ายแห่งภูธรา "
" สวรรค์ !?! แมลงกระไรเพคะ นามพิลึก "
" แมลงปิดัตถุ์ มันจะกัดทุกส่วนในร่มผ้า ครานี้เป็นได้สนุก "
จบพระดำรัส โหราจารย์เกิดอาการชักกระตุกพร้อมกระมิดกระเมี้ยนเดินพลางยกมือขึ้นตะปบหลายส่วน ก่อนจะวิ่งจากไปพร้อมกับเหล่าทหารหาญชาวอนันตา เหล่าสตรีต่างพากันหัวเหราะขบขันในท่าทีของโหราจารย์อนันตาผู้นี้เป็นยิ่งนัก
ครู่ใหญ่ เมื่อขบวนพระราชสาส์นอนันตาได้จากไปแล้ว พระนางสุบินสวรรค์ก็ทรงเปิดพระราชสาส์นออกอ่านอยู่ครู่จึงทรงม้วนเก็บดังเดิม
" ถ้อยแถลงแจ้งไว้เช่นไรฤา สุบินสวรรค์เจ้า "
" มูรตีเสนอแนะให้เราร่วมมือกับเขาเข้าโจมตีละวิรัฐ "
พระนางสุบินสวรรค์ดำรัสจบ จะติกะวะนาจิกราบทูลขึ้นโดยพลัน
" ไม่ได้นะเพคะ เป็นการอันตรายมาก ร่ำลือกันว่าเจ้าฟ้ามูรตีผู้นี้อาจหาญชาญชัยเฉลียดฉลาดหลักแหลมหาตัวจับองค์ยาก "
" ก็รู้อยู่ "
" แต่เพลานี้เรากำลังด้อย ไพร่พลจางหาย ทรัพย์สินก็สูญสลายมลายลิ้น แล้วจะโผผินไปตีละวิรัฐได้ไฉนกัน "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์เปรย
" ไม่เห็นยาก เราก็พรากวิญญาณออกจากร่างแล้วกลายเป็นผีไปหลอกวจีชาวละวิรัฐให้กระเจิงก็เท่านั้น "
ตรุมบาดีมหาดเล็กสตรีสาวกล่าวจบ เหล่าบุคคลทั้งมวลต่างพากันหันไปมองหล่อน
" ถ้อยสะถุนปะชุนไม่ประพฤติ "
วาริชฌาภาร์ณาด่า
" ยศต่ำสิจะมากล้ำเกินองค์ "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ว่า
" ประสงค์ประสบประสันทนาการประหารเสียดีไหม "
จะติกะวะนาจิตำหนิ
" ช่างมันเถอะ มันก็สัพยอกเล่นเป็นเท่านั้น "
พระนางสุบินสวรรค์ตรัสจบ จะติกะวะนาจิกราบทูลขึ้น
" ประวัติการณ์ที่ผ่านมามีปรากฏ ประณีประนอมประณตน้อมแต่พร้อมประทุษร้ายในภายหลัง "
" มิไยไม่ถวายระฆังแล้วฝังเสีย "
ตรุมบาดียังไม่หยุดเสนอหน้าเข้ามา จะติกะวะนาจิหันมาทำตาเขม็งใส่พลางด่าใส่ไม่รู้ศัพท์
" อี๊... นังนี่นี่ ผราดผรวดผลิด สิจะมากรีษกรวดกราษด์ "
" ช่างเถอะน่า ทะเลาะกันอยู่ได้ เฮ้อ... เอ้า ตกลงจะว่าไร "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงมีพระดำรัสถาม
" หม่อมฉันเห็นว่าเราน่าจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอนันตาตะเป็นการเหมาะแท้เทียวนา "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ว่า
" ไม่... หม่อมฉันไม่เห็นด้วย "
จะติกะวะนาจิทักท้วงขึ้น
บัดดล... พระนางสุบินสวรรค์ทรงมีพระดำรัสว่า
" เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น เรามาออกเสียง ในฐานะที่จะติกะวะนาจิเป็นผู้อาวุโสที่สุดในที่นี้ ข้าให้หนึ่งเสียงของท่านเท่ากับสี่คะแนน ส่วนพวกเรา หนึ่งเสียงเท่ากับหนึ่งคะแนน เอ้า... ผู้ใดเห็นควรสัมพันธไมตรีกับอนันตา ยกหัตถ์ "
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 27
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24 http://pantip.com/topic/31195700
บทที่ 25 http://pantip.com/topic/31200679
บทที่ 26 http://pantip.com/topic/31205094
*****************
บทที่ 27
กองทัพอันเกริกเกียรติเกรียงไกรแห่งองค์เจ้าฟ้ามูรตี ได้แปรเปลี่ยนจากการเคลื่อนพลทางชลมารค มาเป็นทางสถลมารคแทน เนื่องเพราะลำน้ำสุทธาราริณีโยคหันเหทิศทาง มิได้มุ่งสู่อาณาจักรละวิรัฐดังมาตรหวัง
เพลากระนั้น กองทัพของพระองค์กำลังตั้งค่ายพักอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งสามารถแลเห็นอาณาบริเวณโดยรอบกรุงละวิรัฐได้โดยถนัดและชัดเจน
เจ้าฟ้ามูรตีทรงประทับอยู่ในพลับพลา ส่วนพระนางแก้วกานดาก็ทรงนำเหล่านางกำนัลไปเที่ยวท่องเช่นเคย เสียงอิสตรีดังสนั่นลั่นทัพอยู่ตลอดเวลา
นับได้ว่ากองทัพอนันตาเป็นทัพเดียวในเกวลทวีป ที่มีทั้งอิสตรีและบุรุษในจำนวนที่เท่าเทียมกัน ต่างกันกับทัพอื่นๆ อาทิ ทัพพะคัมด์ก็มีแต่บุรุษ เช่นเดียวกันกับทัพละวิรัฐ ส่วนทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นที่เพิ่งจะสูญสิ้นไปเหลือเดียงกลุ่มชาวเถมรูและกลุ่มชาวภูธรานั้น ก็มีแต่เหล่าอิสตรี เช่นเดียวกันกับทัพของเจ้านางมาหยารัศมี
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงถือได้ว่ากองทัพแห่งอนันตาประเทศ ภายใต้การบัญชาการขององค์เจ้าฟ้ามูรตีนั้น เป็นกองทัพที่มีสีสรรสดใสที่สุดในบรรดากองทัพทั้งหลายในดินแดนเกวลทวีปกระนั้นแล
" อุ๊ย... นางกำนัล ดูนั่นสิจ๊ะ ปลาการเวก มันกินสิ่งใดเป็นอาหารน่ะ "
พระนางแก้วกานดาทรงชี้ไปยังสัตว์ตัวหนึ่งบนต้นไม้ ในขณะที่โหราจารย์ก็ลีลาศเข้ามา
" ขอเดชะ มันบริโภคดอกการเวกเป็นหลักใหญ่ รองลงไปก็เห็นจะได้แก่ดอกดาวเรืองและดอดยี่หุบพะย่ะค่ะ "
" น่าสนใจ โหราจารย์ ท่านจงไปเอามันมาให้เราทีซิ "
พระนางตรัสจบ โหราจารย์ก้มลงกราบคราหนึ่ง ก่อนหันขวับไปปีนต้นไม้ต้นนั้นอย่างทุลักทุเล แต่ก็จำเป็น เนื่องจากเป็นพระราชเสาวนีย์พระนาง
ณ พลับพลาที่ประทับ ขณะเจ้าฟ้ามูรตีกำลังทรงเพลิดเพลินพระราชหฤทัยอยู่กับการทรงหมากรุกอยู่กับมหาอำมาตย์เอกอยู่นั้น แม่ทัพทองถึงก็รีบวิ่งเข้ามาพลางคุกเข่าลงถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกศประเทศอนันตา ณ บัดนี้ มีข่าวสารแพร่สะพัดมาว่า เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ได้เปิดประตูเขื่อนขันธ์สวรรค์ธารา ยังผลให้สายวารีไหลหลากเข้าท่วมทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นจนเหล่าจามรียาและทหารหาญล้มตายลงเป็นอันมาก การนี้ยังทำให้ทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นอันเกรียงไกรต้องสูญสิ้นสภาพ กลายเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยไปในบัดดลด้วยพระพุทธเจ้าข้า "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงส่ายพระพักตร์ด้วยสีพระพักตร์ขุ่นข้อง ดวงพระเนตรทอดพระเนตรขึ้นสู่ฟ้า พระหัตถ์ขวากำพระหัตถ์ซ้ายแน่นจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงสั่นเล็กน้อย
" น่าสงสาร น่าสงสารเหลือประมาณจริงๆ เหตุฉะนี้... เห็นทีเป็นเพราะองค์เทวาลงทัณฑ์กระหน่ำซ้ำซัด "
" พระเจ้าข้าแน่นอนแล้ว "
มหาอำมาตย์เอกทูล
" แล้วเราสมควรกระทำเช่นไรดี... "
ทรงเปรย
ครู่หนึ่ง พลสุข นายทหารผู้หนึ่งเขยิบกายเข้าใกล้องค์พร้อมทูลแนะ
" ชี้ชวนเถมรู ภูธรา มาเป็นมิตรคิดสู้ละวิรัฐ จากนั้นดัดหลังกลับ จู่โจมพวกมันทั้งสองให้หนำหทัยพร้อมตีเอาชัยทั้งสองประเทศเขตขันธ์ให้บรรลัย "
วงเครื่องสายประโคมรับด้วยเพลง ทศพักตร์หักขนองสยองถึงแผ่นฟ้า แสดงถึงการใช้แผนแยบยลหักหลังฝ่ายตรงข้าม มหาอำมาตย์เอก แม่ทัพทองถึง พลสุข และเจ้าฟ้ามูรตีร่วมร้องขับประสานกันเป็นลำดับไป
" แผนการห้าวหาญโหดร้าย "
" ทำหทัยไม่ได้จริงๆ "
" ต้องทอดทิ้งความเอื้ออาทร "
" อย่ามาสอน มาสั่ง ฟังเราไว้ "
ตรัสจบ เจ้าฟ้ามูรตีทรงผินพระพักตร์ไปยังบริเวณอันเป็นที่ตั้งของกลุ่มชนชาวเถมรู และภูธรา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ทรงว่า
" เหล่าสตรีทุกข์ยาก เราไม่อยากซ้ำเติมให้เสียเชิงชาย "
" ดำริดำรัสถนัดชัดชอบแล้ว พระเจ้าข้า "
เสียงโหราจารย์ดังขึ้นจากมุมหนึ่ง ทุกคน ณ ที่นั้นต่างหันไปมองท่านเป็นจุดเดียว
โหราจารย์เดินนำขบวนเสด็จของพระนางแก้วกานดามา ร่างกายของโหราจารย์นั้นอ่อนระโหยโรยแรงยิ่ง อีกทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์หม่อนไหมก็เศร้าหมองฉีกขาดไปหมด
" ท่านโหราฯ...!? ท่านทำสิ่งใดมาจึงหมองหม่นหมดราศีเช่นนี้หนอ "
เจ้าฟ้ามูรตีทรงเฉยพระเนตรไปยังโหราจารย์ผู้กำลังคุกเข่าลงกราบทูล
" ขอเดชะ ข้าพระองค์สนองรับพระเสาวนีย์พระสนมเอกแก้วกานดา ไล่จับปลาการเวกที่เกาะอยู่บนต้นไม้พระเจ้าข้า แต่... ช่างเถอะ สำหรับเรื่องเมื่อครู่ ข้าพระองค์เห็นควรเกื้อหนุนเหล่าสตรีผู้ถูกวารีท่วม เพื่อจะได้เป็นการสะสมพระบรมราชกุศลไว้ในภพหน้า "
" ท่านโหราฯว่าถูกใจเราจริง... "
ทรงทอดพระเนตรไปทั่วทุกตัวคนจึ่งตรัส
" ฤาทุกท่านจะว่าไร "
" เห็นพ้อง ไม่ข้องขัด "
พสกนิกรถ้วนหน้าประสานสรรพเสียง
" เอาล่ะ เช่นนั้นก็รีบรุดไปดำเนินการ ให้โหราจารย์เป็นผู้สานสรรพสิ่ง เนื่องเพราะเครื่องแต่งกายของท่านหมองหม่นอยู่เป็นปฐม "
" รับด้วยเกล้าพระเจ้าข้า "
โหราจารย์ถอยออกไป
วงเครื่องสายครวญเพลง ผู้เฒ่าสะอื้นไห้ด้วยหทัยภักดี
- - - - - - - - -
กองทัพอันเกรียงไกรของเถมรูและภูธรา ได้ลดขนาดลงจากที่เคยมีอิสตรีกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนนาง บัดนี้ เหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเก้าสิบนางเท่านั้น สรวงสวรรค์ได้ลงทัณฑ์เหล่าสตรีกลุ่มนี้อย่างหนักหน่วงยิ่ง เนื่องเพราะเมื่อชาติปางก่อน พวกนางเคยก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก ในชาติปางนี้จึงต้องมาชดใช้ชีวีด้วยการพลีกายให้แก่สายธาราละวิรัฐ
โถ... กระไรเลย ช่างโศกสลดรันทดเช่นนี้หนอ...
ภายในเพิงพัก ซึ่งสร้างขึ้นเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราวโดยใช้หญ้าฟางและลำไม้ไผ่ที่หาได้จากในป่า ในส่วนหลังคาก็มุงด้วยใบจาก ต่างจากพลับพลาที่ประทับของเจ้าฟ้ามูรตีโดยสิ้นเชิง เพราะทางฝ่ายอนันตาสร้างพลับพลาอย่างในวัง โดยใช้ทองคำแท้ แผ่นเงิน แผ่นทองแดง และกระจกประดับประดาด้วยอัญมณีสารพัดสีอย่างวิจิตรตระการตาประณีตบรรจงยิ่ง
พระนางสุบินสวรรค์และพระนางศรีตะกุมะลากา พร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารส่วนพระองค์ ต่างนั่งเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ในพลับพลาเล็กๆ เพื่อหลบแดดลมและฝนฟ้าพายุที่หมุนเวียนเปลี่ยนผันกันไปในแต่ละวัน
และในเพลากระนั้นนั่นเอง...
ตรุมบาดี มหาดเล็กหญิงสตรีชาวภูธราคนใหม่ผู้เพิ่งจะรับหน้าที่แทนสะขรุมจินห์ชาวเถมรูได้ไม่นานก็ทะยานเข้ามาพร้อมร่ายรำด้วยท่วงท่าแบบภูธราต่อหน้าพระพักตร์พลางกราบทูล
" อิ อิ อิ พระนางเพค๊า... มีราชสาส์นมาแม่นแล้ว "
" ให้เข้ามาสิ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงกลั้นพระสรวลพลางตรัสไป
ในไม่ช้า... ขบวนราชสาส์นภายใต้การนำโดยโหราจารย์อนันตาก็ผ่านเข้ามาแล้วหยุดลงตรงหน้าพลับพลาแห่งนั้น พระนางสุบินสวรรค์ทรงทอดพระเนตรมายังโหราจารย์พลางตรัส
" ไม่เจอกันนานนะ โหราจารย์อนันตา "
ตรัสจบทรงผุดลุกขึ้นจากพระแคร่ไม้ไผ่อย่างช้าๆ สายลมโชยปะทะพระสไบทองปลิวว่อน ช่วยเสริมพระบารมีเด่น
" อ้า... พระนางสุบินสวรรค์ "
โหราจารย์ตะลึง
" หึ หึ หึ ใช่... คนที่เคยถูกมูรตีเหนือหัวเจ้าซัดหัตถาใส่หน้าเมื่อคราวไปขอสัมพันธไมตรีด้วยอย่างไร ฤาความจำท่านเสื่อมโทรมทรุดเพราะความชรา "
" เอ่อ.. เอ่อ.. คือ "
" ว่าไง... คราวนี้จะตามมายาไฉน ? ฤาจะมาให้เรากระหน่ำหัตถาใส่สนองแทน "
" ขอเดชะ องค์เหนือหัวอนันตา ทรงมีพระบัญชาให้ข้าพระองค์นำพระราชสาส์นฉบับนี้มาถวายพระเจ้าข้า "
" เอามาสิ "
ดำรัสจบ จะติกะวินาจิหมายเคลื่อนกายไปรับ แต่...
" ไม่ต้อง ท่านราชครู เชิญท่านโหราจารย์นำเข้ามาเองจะดีกว่า "
พระนางตรัสจบก็ทรงยิ้มกริ่ม จะติกะวะนาจิถอยห่างออกไปด้วยใจกระหยิ่ม โหราจารย์ยืนสั่นด้วยใจระทึก พานพระราชสาส์นที่ถืออยู่สั่นระรัวโยกคลอนไม่หย่อนหยุด
" ว่าไงล่ะ ยืนเฉยอยู่ไย ฤาต้องการให้เราออกไปรับกับมือท่าน "
" หามิได้พระเจ้าข้า "
โหราจารย์เคลื่อนกายตรงมาอย่างช้าๆ ครั้นเมื่อเข้าใกล้องค์จึงน้อมเศียรลงพร้อมชูพานขึ้นสูง
พระนางสุบินสวรรค์ทรงโน้มพระวรกายมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ ทรงแย้มพระสรวลแต่พองามพลางทรงยื่นพระหัตถาไปหยิบพระราชสาส์นมา โหราจารย์ตัวสั่นงันงกด้วยเกรงพระราชอำนาจ
" เอาล่ะ ท่านไปได้แล้ว "
พระนางสุบินสวรรค์ตรัสจบ เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตกใจเป็นยิ่งนัก เนื่องเพราะคาดเดาว่าพระนางสุบินสวรรค์จะทรงตอบสนองทูตอนันตาด้วยการตบหน้าอย่างสาสมเป็นแน่ แต่เหตุไฉนจึงไม่ทรงกระทำ
โหราจารย์หันหลังหลับ ช่วงเวลานั้นเอง ที่พระนางศรีตะกุมะลากาทรงซัดของสิ่งหนึ่งเข้าไปในเสื้อผ้าอาภรณ์ของโหราจารย์
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ผู้อยู่ใกล้ชิดองค์ที่สุดได้เอียงกายเข้ากระซิบทูลถาม
" ทรงโยนสิ่งใดใส่น่ะเพคะ "
" แมลงปิดัตถุ์ สัตว์ร้ายแห่งภูธรา "
" สวรรค์ !?! แมลงกระไรเพคะ นามพิลึก "
" แมลงปิดัตถุ์ มันจะกัดทุกส่วนในร่มผ้า ครานี้เป็นได้สนุก "
จบพระดำรัส โหราจารย์เกิดอาการชักกระตุกพร้อมกระมิดกระเมี้ยนเดินพลางยกมือขึ้นตะปบหลายส่วน ก่อนจะวิ่งจากไปพร้อมกับเหล่าทหารหาญชาวอนันตา เหล่าสตรีต่างพากันหัวเหราะขบขันในท่าทีของโหราจารย์อนันตาผู้นี้เป็นยิ่งนัก
ครู่ใหญ่ เมื่อขบวนพระราชสาส์นอนันตาได้จากไปแล้ว พระนางสุบินสวรรค์ก็ทรงเปิดพระราชสาส์นออกอ่านอยู่ครู่จึงทรงม้วนเก็บดังเดิม
" ถ้อยแถลงแจ้งไว้เช่นไรฤา สุบินสวรรค์เจ้า "
" มูรตีเสนอแนะให้เราร่วมมือกับเขาเข้าโจมตีละวิรัฐ "
พระนางสุบินสวรรค์ดำรัสจบ จะติกะวะนาจิกราบทูลขึ้นโดยพลัน
" ไม่ได้นะเพคะ เป็นการอันตรายมาก ร่ำลือกันว่าเจ้าฟ้ามูรตีผู้นี้อาจหาญชาญชัยเฉลียดฉลาดหลักแหลมหาตัวจับองค์ยาก "
" ก็รู้อยู่ "
" แต่เพลานี้เรากำลังด้อย ไพร่พลจางหาย ทรัพย์สินก็สูญสลายมลายลิ้น แล้วจะโผผินไปตีละวิรัฐได้ไฉนกัน "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์เปรย
" ไม่เห็นยาก เราก็พรากวิญญาณออกจากร่างแล้วกลายเป็นผีไปหลอกวจีชาวละวิรัฐให้กระเจิงก็เท่านั้น "
ตรุมบาดีมหาดเล็กสตรีสาวกล่าวจบ เหล่าบุคคลทั้งมวลต่างพากันหันไปมองหล่อน
" ถ้อยสะถุนปะชุนไม่ประพฤติ "
วาริชฌาภาร์ณาด่า
" ยศต่ำสิจะมากล้ำเกินองค์ "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ว่า
" ประสงค์ประสบประสันทนาการประหารเสียดีไหม "
จะติกะวะนาจิตำหนิ
" ช่างมันเถอะ มันก็สัพยอกเล่นเป็นเท่านั้น "
พระนางสุบินสวรรค์ตรัสจบ จะติกะวะนาจิกราบทูลขึ้น
" ประวัติการณ์ที่ผ่านมามีปรากฏ ประณีประนอมประณตน้อมแต่พร้อมประทุษร้ายในภายหลัง "
" มิไยไม่ถวายระฆังแล้วฝังเสีย "
ตรุมบาดียังไม่หยุดเสนอหน้าเข้ามา จะติกะวะนาจิหันมาทำตาเขม็งใส่พลางด่าใส่ไม่รู้ศัพท์
" อี๊... นังนี่นี่ ผราดผรวดผลิด สิจะมากรีษกรวดกราษด์ "
" ช่างเถอะน่า ทะเลาะกันอยู่ได้ เฮ้อ... เอ้า ตกลงจะว่าไร "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงมีพระดำรัสถาม
" หม่อมฉันเห็นว่าเราน่าจะเชื่อมสัมพันธไมตรีกับอนันตาตะเป็นการเหมาะแท้เทียวนา "
มะจั่นฟาร์ตีฏ์ว่า
" ไม่... หม่อมฉันไม่เห็นด้วย "
จะติกะวะนาจิทักท้วงขึ้น
บัดดล... พระนางสุบินสวรรค์ทรงมีพระดำรัสว่า
" เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น เรามาออกเสียง ในฐานะที่จะติกะวะนาจิเป็นผู้อาวุโสที่สุดในที่นี้ ข้าให้หนึ่งเสียงของท่านเท่ากับสี่คะแนน ส่วนพวกเรา หนึ่งเสียงเท่ากับหนึ่งคะแนน เอ้า... ผู้ใดเห็นควรสัมพันธไมตรีกับอนันตา ยกหัตถ์ "