เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21
http://pantip.com/topic/31182066
*****************
บทที่ 22
หวนคำนึกถึงแผ่นดินเถมรู ณ ชายฝั่งโลมเลียสมุทรวดี ศรีวารีแห่งเกวลทวีป
ภายหลังจากที่พระนางศรีตะกุมะลากาทรงแต่งตั้งมาหยารัศมีเป็นทหารเอกหญิงคอยควบคุมดูแลกองทัพเภตรา รวมถึงเภตราทอดคำลำมหึมานั้น เหตุการณ์ทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างเป็นปกติวิสัย จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะนางมาหยารัศมีกำลังเดินตรวจตราสำเภาทองอยู่นั้น พลันนางก็ต้องฉงนในสิ่งหนึ่งจึงเอ่ยถาม
" เจ้าหล่อนทั้งหลายจ๊ะ ไฉนทองหุ้มสำเภาจึงหมองคล้ำปานนี้จ๊ะ ฤามิขัดทำความสะอาดให้ธุลีบาทพอพระทัย "
" หามิได้เจ้าค่ะ ทองลอกเป็นลางบอกเหตุ "
ฎิวต์ นางทหารผู้หนึ่งเอ่ย
" เหตุร้ายฤาไฉน "
มาหยารัศมีฉงนสนเท่ห์
" สองภูไทจะพ่ายแพ้ "
โซซาร์ฏิต นางทหารอีกผู้ว่าจบ มาหยารัศมีถึงกับตะลึงงันพลางทำเสียงแหลม
" ฮ่า....!! เจ้า เอาอะไรมาพูด "
ปรันเปริน ทหารวัยสาวโน้มร่างมากระซิบว่า
" ควรแก่การกบฏ "
มาหยารัศมีตาลุกโพลงพลางส่งเสียงแหลมปรีด
" กบฏ !?! "
" ใช่เจ้าค่ะ เวลามาถึงแล้ว รอมานานไม่ใช่เหรอเจ้าคะ "
ฎิวต์ทำตาเป็นนัย
" โอกาสมิมีมาก หากมิรีบฉวยจะเสียหทัยในภายหลัง "
โซซาร์ฏิตเสนอสนอง
" หากท่านลุกฮือ พวกเรายินดียกท่านเป็นเจ้านางนะเจ้าคะ "
ปรันเปรินยิ้ม
" เจ้านาง....!!! "
มาหยารัศมีทำเสียงกระเส่าพร้อมส่งนัยน์ตาฝันเฟื่องฟูชูคอไสว นางตรองดูอยู่ครู่จึงหันมายังเหล่าทหารหญิงทั้งสามจึ่งกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
" ตริชอบเสมอ สมควรแก่กบฏ "
ฎิวต์ โซซาร์ฏิต และปรันเปริน คุกเข่าลงพร้อมกับทหารในกองทัพอีกนับแสน
" ขอเจ้านางมาหยารัศมีจงทรงพระเจริญเทอญ "
ทั้งหมดว่าพร้อมกัน
" สมควรอยู่ สมควรอยู่ ฮิ ฮิ... "
เจ้านางมาหยารัศมียิ้มรับตำแหน่งใหม่อันสูงส่ง
" เจ้านางเพคะ เรายังขาดมหาอาวุธ "
ฎิวต์ทูล
" สุดง่าย จงลากสำเภาทองมาหลอมหล่อเป็นพระแสงปืนใหญ่ยาวสามโยชน์ "
เจ้านางตรัสจบ
วงเครื่องสายบรรเลงเพลงเถมรูใจแตก ต่อด้วยเถมรูแยกร่าง
โซซาร์ฏิต ปรันเปริน เจ้านาง และฎิวต์ร่วมร้องบทเพลงเป็นลำดับ
" แม้กำลังจะน้อย แต่ใจมิถดถอยสร้างอาวุธ "
" เจ้านางวิเศษสุด พระสมุทรมิเปรียบปาน "
" ฮิฮิฮิ ฮา ฮา ฎิวต์ลงแรงทุกสิ่ง "
" เพคะเจ้านาง "
จบคำ ฎิวต์กราบทูลลาไปกอบกิจหล่อปืนใหญ่ให้สัมฤทธิ์ผล
โอ้เอ๋ย เถมรูเอย ไฉนเลยจึงตกระกำขนาดนี้ นี่จะไมมีผู้ใดกู้กรุงเลยละหรือ
- - - - - - - - -
กลางพนาในพะคัมด์ประเทศ ขบวนศึกแห่งพระเจ้าเตวูได้เคลื่อนพลมาตามลำเนาไพรอย่างช้าๆ ไพร่พลนับแสนได้ปกคลุมไปทั่วผืนป่าอันกว้างใหญ่ เสียงฝีเท้าเหล่าทหารที่เหยียบย่ำลงบนพื้นพสุธานั้น เปรียบหระหนึ่งอสุนีบาตฟาดฟันลงสู่ห้วงมหรรณพ
พระเจ้าเตวูเสด็จประทับมาบนพระราชยานคานหามทองคำประดับเพชรพลอยอันมีค่าโดยมีเหล่าทาสหามนับสิบ ตามหลังด้วยเสลี่ยงของเหล่าห้าขันทีพลีสวาท ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเสลี่ยงทองเหลืองกันคนละหลัง ยังความปลาบปลื้มแก่ห้าขันทีพลีสวาทเป็นยิ่งนัก
พระเจ้าเตวูทรงทอดพระเนตรภูมิประเทศรอบข้างอยู่ครู่จึงทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นพลางตรัสด้วยพระสุรสีหนาทอันดังสนั่น
" ห้ำหั่นการเคลื่อนไหว ยับยั้งไว้เพียงแค่นี้ "
พระราชยานคานหามทอดคำหยุดลงตามด้วยขบวนทัพทั้งขบวนเหล่าขันทีต่างฉงนเป็นที่ยิ่ง
" ทรงให้หยุดทัพล่ะหล่อน "
ไซ้เนินว่า
" มีเหตุอันใดก็ไม่รู้สินะเจ้า "
หนีรูสงสัย ซึ่งถูไถก็เหลียวชะโงกดูยังหน้าขบวนก็ไม่เป็นเหตุอันใดจึงตะโกนขึ้น
" วางเสลี่ยงข้าลงซิ "
เสลี่ยงของถูไถถูกวางลงอย่างช้าๆ
" เอ้า... วางเสลี่ยงของข้าลงบ้าง "
เพลินพวงสั่งบ้าง เพราะตนก็อยากลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเสลี่ยงทั้งหมดถูกวางลงแล้ว ห้าขันทีพลีสวาทก็เดินไปยังหัวขบวน ครั้นถึงพระราชยานคานหามทองคำของพระเจ้าเตวู ถูไถจึงกราบบังคมทูลถามขึ้น
" เกิดเหตุอันใดหรือเพฮะจอมราชันย์ "
" เปล่า... เพียงแต่ข้าเห็นว่าถึงเพลาหยุดพักตั้งค่ายได้แล้ว ทางข้างหน้าเป็นป่าลึก ยากเย็นนักที่จะผ่านพ้นให้เพลาอันสั้น อาจค่ำมืดระหว่างทางกระนั้นได้ "
พระเจ้าเตวูทรงมีพระดำรัส และในที่สุด ขบวนไพร้พลแห่งพะคัมด์ก็หยุดพักและตั้งค่ายชั่วคราว กองเพลิงถูกจุดขึ้นเป็นหย่อมๆ เพื่อให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น และไล่ยุงร้ายในยามดึกสงัด
ภายในซุ้มที่พักของห้าขันทีพลีสวาท เหล่าขันทีต่างมารวมหัวกันคบคิดกิจการบางอย่าง
" ถึงเวลาแล้วหนอพวกเรา "
หนีรูยิ้มกรุ้มกริ่ม
" ใช่ นับเป็นโอกาสเหมาะทีเดียวนะ "
เพลินพวงเอ่ย
" ที่นี่มีแต่เหล่านักรบบุรุษผู้งามสง่าและแข็งแกร่งดุจช้างสาร แต่ละคนล้วนแต่หล่อเหล่ากำยำกันทั้งนั้น "
ไซ้เนินแลบลิ้นไปมาน่าเกลียดยิ่ง
" จะพลาดโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน....สวรรค์สร้าง "
ถูไถเอ่ย
" จะเริ่มปฏิบัติการกันได้หรือยังละ ข้าร้อนรนเหลือกำลังแล้ว
หวงหลังชักฉุนขึ้นมา และแล้ว เหล่าขันทีทั้งห้าก็ผลุบออกจากซุ้มที่พักไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ต่างตรงไปยังซุ้มอันเป็นที่พักของเหล่าทหารหาญที่พวกเขาแอบทอดสายตาเอาไว้ตั้งแต่เริ่มเดินทัพออกจากพะคัมด์
กิจการที่พวกเขาเคยปฏิบัติกันมาเมื่อครั้งอยู่สำนักสากกระเบือเขียวกำลังจะถูกรื้อฟื้นขึ้นที่นี่ ที่กองทัพพะคัมด์กลางวนาดอนอันลี้ลับแห่งนี้เอง
เวลาผ่านไปก็หลายอยู่ หนีรูเดินโซเซออกมาจากซุ้มแห่งหนึ่ง พลันพานพบไซ้เนินพอดิบพอดี
"หนีรู ไยหล่อนจึงทรุดโทรมถึงเพียงนี้ "
ไซ้เนินฉงน
" ก็ซุ้มนั้นนะสิ ไม่รู้ไปกลัดมันอดอยากปากแห้งมาจากไหน เล่นเอาข้าเกือบตายกระนั้นหล่อน "
หนีรูว่าจบ ไซ้เนินทำตาลุกวาวพลางว่า
" จริงหรือเจ้า...!! เช่นนั้ขอข้าลองดูทีฤา "
" เชิญเถอะตัว โทรมทรุดชำรุดกลับมาอย่าหาว่าข้าไม่ทัดทาน "
หนีรูกล่าวจบแลดูไซ้เนินวิ่งรี่เข้าไปในซุ้มที่ตัวเองเพิ่งจะออกมานั้น เขาหันไปยังอีกทางหนึ่งและแลเห็นหนุ่มหน้าอ่อนกำลังเดินเข้าซุ้มของตนไป หนีรูตาลุกวาวพลางกล่าวว่า
" อุ๊ยตาย !! หล่อ... หล่อจริงแท้แม่เอย ต้องจัดการ ต้องจัดการ "
จบคำ ขันทีสุดสวยวิ่งรี่ตามไปติดๆ
ครู่ใหญ่ แสงไฟในซุ้มนั้นก็ดับลง...
ณ มุมหนึ่งของค่ายพัก หวงหลังกำลังเดินมาตามทางอย่างช้าๆ พลันหล่อนก็ต้องหยุดชะงักการเดินอย่างฉับพลัน เพราะรู้สึกว่ามีคนสะกดรอย หล่อนหันกลับไปมองก็ไม่พบผู้ใด จึงออกเดินต่อ แต่เมื่อเดินมาได้สักพักก็กลับรู้สึกเช่นเดิมอีก คราวนี้หล่อนจึงตัดสินใจหลบไปทางซ้ายเพื่อคอยสังเกตุการณ์
ทันใดกันนั้นเอง พลันปรากฏมืออันแข็งแกร่งดุจนักรบกล้าพุ่งมาปิดปากหวงหลังพร้อมใช้แขนอันกำยำกอดรัดหล่อนเอาไว้ หวงหลังพยายามหันไปมอง ในที่สุดหล่อนก็ต้องตะลึงตาค้างในทันที
" อ๊ะ !! ฝ่าพระบาทเตวู "
" หุบโอษฐ์ของเจ้าเสีย คืนนี้เจ้าต้องเป็นของข้า "
" อ๊ะ... ไม่ได้นะเพฮะ "
" ไย ? "
" ก็ทรงเป็นกษัตราผู้ยิ่งใหญ่ กอบกิจกับขันทีจะทำให้เกิดราคีทั้งราชวงศ์ "
" รึเจ้าอยากวายชนม์ ? "
" เช่นนั้นเห็นควรหาที่ลับตา ในป่าปะไรเพฮะ "
" เฉียบประจักษ์นัก "
จบพระสุรเสียง พระเจ้าเตวูทรงฉวยข้อมือหวงหลังวิ่งเข้าป่าไปพร้อมกัน
ครู่ใหญ่ บรรดาหิ่งห้อยในพนาก็หรี่แสงลง...
ภายในกองทัพรี้พลอันคนานับไปด้วยเหล่าบุรุษเพศนั้น ไม่ต่างอะไรจากกองทัพแห่งอิสตรีเลยแม้แต่น้อย ความเก็บกดอดกลั้นที่ถูกสะสมบ่มเพาะเพิ่มพูนมาเป็นเวลาเนิ่นนานตลอดการเดินทางได้ถูกระเบิดขึ้นที่กลางป่านี่เอง ถึงแม้จะเป็นการผิดปกติวิสัยแห่งบุรุษเพศก็ตาม
พระเจ้าเตวูเองก็ไม่ทรงแตกต่างไปจากบุรุษชาติอาชาไนยอื่นใดในกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์ที่สะกดเก็บอารมณ์ส่วนลึกเอาไว้ไม่อยู่ จำจะต้องปลดปล่อยออกไปยังคนใกล้ชิดสนิทแนบ
- - - - - - - - -
ณ อาณาจักรละวิรัฐ...
ภายในห้องหับแห่งหนึ่งซึ่งมีวิสูตรอันบางเบาหลายหลากสีคลี่แขวนคลอบคลุมอยู่มากมายหลายชั้น แสงสว่างเรืองรองสาดส่องออกจากอัจกลับหลายอันซึ่งตั้งไว้เป็นจุดๆ ทั่วห้อง สาดส่องให้แลเห็นเงาร่างของบุคคลสองผู้กำลังกอบกิจบางอย่างอยู่กลางห้องอันกว้างขวางนั้น
เสียงร่ำร้องครวญครางกระเส่าจากความสุขกระสันต์แห่งอารมณ์ปรารถนาของบุคคลทั้งคู่ดังอยู่มิรู้คลาย และดูราวกับว่าจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ ปานประหนึ่งเกลียวคลื่นอันเกรี้ยวกราดที่โหมกระหน่ำซ้ำซัดหาดทรายอย่างไม่ยั้ง
หนึ่งในบุคคลทั้งสองนั้นคือเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหากาตริย์ละวิรัฐ ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าก็คือมหาอำมาตย์เอกคู่พระศัยยาของพระองค์ ทั้งสองต่างอภิรมย์สวาทกันอย่างรวยรื่นชื่นตาแลสร้างสรรค์อารมณ์ปรารถนาให้เกิดขึ้นแก่กันครั้งแล้วครั้งเล่า
กรมกรีฑาอันตระการทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งโลกิยะ แลกายินทรีย์ทั้งสองก็สั่นสะท้านกัมปนะจนกัมปนาทประดุจแผ่นพสุธาจะถล่มทลายก่อนจะผละกายออกจากกันอย่างปลื้มสุข
มหาอำมาตย์เอกคลี่วิสูตรให้เปิดกว้างพลางพาตัวเองเยื้องย่างออกมา เขาจับจ้องไปยังพระวรกายเจ้าฟ้าฉกรรณราชาซึ่งทรงเอนพระองค์อยู่ภายในเพียงพระองค์เดียว
" อ้า... มหาอำมาตย์ยอดรักแห่งข้า "
ทรงทำพระเนตรเยิ้มหวานจนมหาอำมาตย์เอกสุดจะยับยั้งอารมณ์ปรารถนาที่โหมปะทุขึ้นมาอีกกระนั้นได้ จึงผลุบเข้าไปภายในหมายเริ่มประสานสวาทกับองค์เจ้าฟ้าหนุ่มอีกครา
เพลานั้นเอง....
มหาดเล็กคลานเข้ามาหยุดอยู่หน้าม่านพลางกราบถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ณ บัดนี้ ม้าใช้ได้รายงานมาว่า กรุงเถมรูบังเกิดผู้ต่อต้านตั้งตัวเป็นเจ้า รวบรวมไพร้พลเตรียมสร้างมหาอาวุธพระเจ้าข้า
บัดดล...
บรรดาม่านบางเบาทั้งหลายก็ถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ ผืนม่านปลิวไสวราวกับต้องแรงลมมหาศาล และในไม่ช้า เจ้าฟ้าฉกรรณราชาในชุดฉลองพระองค์เสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ก็ทรงหันมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบยิ่ง ทรงประทับนั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอันกำยำของมหาอำมาตย์เอก
" ส่งทรัพย์สนับสนุนทรราชย์เถมรูให้ได้ชัย หึ หึ หึ ครานี้เห็นทีละวิรัฐเราจะมีพันธมิตรเป็นอิสตรีอย่างแน่แท้ "
ม่านผืนหนึ่งปลิวไสวไปค้องโคมไฟ บังเกิดรอยไหม้ขึ้น พระเพลิงทวีความรุนแรงจนเห็นได้ชัด มหาอำมาตย์เอกและมหาดเล็กวิ่งวุ่นกันดับไฟจนจ้าละหวั่น หมอกควันคละคลุ้งไปทั่ว
ครั้นพระเพลิงสงบลง แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างวอดวาย เจ้าฟ้าฉกรรณราชา มหาอำมาตย์เอก และมหาดเล็กร่างกายหมองหม่น
ปี่พาทย์ครวญเพลงพระเพลิงพ่ายสามเที่ยวจบ
* * * * * * * * *
จบบทที่ 22 โปรดติดตามต่อบทที่ 23
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 22
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://pantip.com/topic/31182066
*****************
บทที่ 22
หวนคำนึกถึงแผ่นดินเถมรู ณ ชายฝั่งโลมเลียสมุทรวดี ศรีวารีแห่งเกวลทวีป
ภายหลังจากที่พระนางศรีตะกุมะลากาทรงแต่งตั้งมาหยารัศมีเป็นทหารเอกหญิงคอยควบคุมดูแลกองทัพเภตรา รวมถึงเภตราทอดคำลำมหึมานั้น เหตุการณ์ทั้งหมดก็ดำเนินไปอย่างเป็นปกติวิสัย จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะนางมาหยารัศมีกำลังเดินตรวจตราสำเภาทองอยู่นั้น พลันนางก็ต้องฉงนในสิ่งหนึ่งจึงเอ่ยถาม
" เจ้าหล่อนทั้งหลายจ๊ะ ไฉนทองหุ้มสำเภาจึงหมองคล้ำปานนี้จ๊ะ ฤามิขัดทำความสะอาดให้ธุลีบาทพอพระทัย "
" หามิได้เจ้าค่ะ ทองลอกเป็นลางบอกเหตุ "
ฎิวต์ นางทหารผู้หนึ่งเอ่ย
" เหตุร้ายฤาไฉน "
มาหยารัศมีฉงนสนเท่ห์
" สองภูไทจะพ่ายแพ้ "
โซซาร์ฏิต นางทหารอีกผู้ว่าจบ มาหยารัศมีถึงกับตะลึงงันพลางทำเสียงแหลม
" ฮ่า....!! เจ้า เอาอะไรมาพูด "
ปรันเปริน ทหารวัยสาวโน้มร่างมากระซิบว่า
" ควรแก่การกบฏ "
มาหยารัศมีตาลุกโพลงพลางส่งเสียงแหลมปรีด
" กบฏ !?! "
" ใช่เจ้าค่ะ เวลามาถึงแล้ว รอมานานไม่ใช่เหรอเจ้าคะ "
ฎิวต์ทำตาเป็นนัย
" โอกาสมิมีมาก หากมิรีบฉวยจะเสียหทัยในภายหลัง "
โซซาร์ฏิตเสนอสนอง
" หากท่านลุกฮือ พวกเรายินดียกท่านเป็นเจ้านางนะเจ้าคะ "
ปรันเปรินยิ้ม
" เจ้านาง....!!! "
มาหยารัศมีทำเสียงกระเส่าพร้อมส่งนัยน์ตาฝันเฟื่องฟูชูคอไสว นางตรองดูอยู่ครู่จึงหันมายังเหล่าทหารหญิงทั้งสามจึ่งกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า
" ตริชอบเสมอ สมควรแก่กบฏ "
ฎิวต์ โซซาร์ฏิต และปรันเปริน คุกเข่าลงพร้อมกับทหารในกองทัพอีกนับแสน
" ขอเจ้านางมาหยารัศมีจงทรงพระเจริญเทอญ "
ทั้งหมดว่าพร้อมกัน
" สมควรอยู่ สมควรอยู่ ฮิ ฮิ... "
เจ้านางมาหยารัศมียิ้มรับตำแหน่งใหม่อันสูงส่ง
" เจ้านางเพคะ เรายังขาดมหาอาวุธ "
ฎิวต์ทูล
" สุดง่าย จงลากสำเภาทองมาหลอมหล่อเป็นพระแสงปืนใหญ่ยาวสามโยชน์ "
เจ้านางตรัสจบ
วงเครื่องสายบรรเลงเพลงเถมรูใจแตก ต่อด้วยเถมรูแยกร่าง
โซซาร์ฏิต ปรันเปริน เจ้านาง และฎิวต์ร่วมร้องบทเพลงเป็นลำดับ
" แม้กำลังจะน้อย แต่ใจมิถดถอยสร้างอาวุธ "
" เจ้านางวิเศษสุด พระสมุทรมิเปรียบปาน "
" ฮิฮิฮิ ฮา ฮา ฎิวต์ลงแรงทุกสิ่ง "
" เพคะเจ้านาง "
จบคำ ฎิวต์กราบทูลลาไปกอบกิจหล่อปืนใหญ่ให้สัมฤทธิ์ผล
โอ้เอ๋ย เถมรูเอย ไฉนเลยจึงตกระกำขนาดนี้ นี่จะไมมีผู้ใดกู้กรุงเลยละหรือ
- - - - - - - - -
กลางพนาในพะคัมด์ประเทศ ขบวนศึกแห่งพระเจ้าเตวูได้เคลื่อนพลมาตามลำเนาไพรอย่างช้าๆ ไพร่พลนับแสนได้ปกคลุมไปทั่วผืนป่าอันกว้างใหญ่ เสียงฝีเท้าเหล่าทหารที่เหยียบย่ำลงบนพื้นพสุธานั้น เปรียบหระหนึ่งอสุนีบาตฟาดฟันลงสู่ห้วงมหรรณพ
พระเจ้าเตวูเสด็จประทับมาบนพระราชยานคานหามทองคำประดับเพชรพลอยอันมีค่าโดยมีเหล่าทาสหามนับสิบ ตามหลังด้วยเสลี่ยงของเหล่าห้าขันทีพลีสวาท ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานเสลี่ยงทองเหลืองกันคนละหลัง ยังความปลาบปลื้มแก่ห้าขันทีพลีสวาทเป็นยิ่งนัก
พระเจ้าเตวูทรงทอดพระเนตรภูมิประเทศรอบข้างอยู่ครู่จึงทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นพลางตรัสด้วยพระสุรสีหนาทอันดังสนั่น
" ห้ำหั่นการเคลื่อนไหว ยับยั้งไว้เพียงแค่นี้ "
พระราชยานคานหามทอดคำหยุดลงตามด้วยขบวนทัพทั้งขบวนเหล่าขันทีต่างฉงนเป็นที่ยิ่ง
" ทรงให้หยุดทัพล่ะหล่อน "
ไซ้เนินว่า
" มีเหตุอันใดก็ไม่รู้สินะเจ้า "
หนีรูสงสัย ซึ่งถูไถก็เหลียวชะโงกดูยังหน้าขบวนก็ไม่เป็นเหตุอันใดจึงตะโกนขึ้น
" วางเสลี่ยงข้าลงซิ "
เสลี่ยงของถูไถถูกวางลงอย่างช้าๆ
" เอ้า... วางเสลี่ยงของข้าลงบ้าง "
เพลินพวงสั่งบ้าง เพราะตนก็อยากลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเสลี่ยงทั้งหมดถูกวางลงแล้ว ห้าขันทีพลีสวาทก็เดินไปยังหัวขบวน ครั้นถึงพระราชยานคานหามทองคำของพระเจ้าเตวู ถูไถจึงกราบบังคมทูลถามขึ้น
" เกิดเหตุอันใดหรือเพฮะจอมราชันย์ "
" เปล่า... เพียงแต่ข้าเห็นว่าถึงเพลาหยุดพักตั้งค่ายได้แล้ว ทางข้างหน้าเป็นป่าลึก ยากเย็นนักที่จะผ่านพ้นให้เพลาอันสั้น อาจค่ำมืดระหว่างทางกระนั้นได้ "
พระเจ้าเตวูทรงมีพระดำรัส และในที่สุด ขบวนไพร้พลแห่งพะคัมด์ก็หยุดพักและตั้งค่ายชั่วคราว กองเพลิงถูกจุดขึ้นเป็นหย่อมๆ เพื่อให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น และไล่ยุงร้ายในยามดึกสงัด
ภายในซุ้มที่พักของห้าขันทีพลีสวาท เหล่าขันทีต่างมารวมหัวกันคบคิดกิจการบางอย่าง
" ถึงเวลาแล้วหนอพวกเรา "
หนีรูยิ้มกรุ้มกริ่ม
" ใช่ นับเป็นโอกาสเหมาะทีเดียวนะ "
เพลินพวงเอ่ย
" ที่นี่มีแต่เหล่านักรบบุรุษผู้งามสง่าและแข็งแกร่งดุจช้างสาร แต่ละคนล้วนแต่หล่อเหล่ากำยำกันทั้งนั้น "
ไซ้เนินแลบลิ้นไปมาน่าเกลียดยิ่ง
" จะพลาดโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน....สวรรค์สร้าง "
ถูไถเอ่ย
" จะเริ่มปฏิบัติการกันได้หรือยังละ ข้าร้อนรนเหลือกำลังแล้ว
หวงหลังชักฉุนขึ้นมา และแล้ว เหล่าขันทีทั้งห้าก็ผลุบออกจากซุ้มที่พักไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง ต่างตรงไปยังซุ้มอันเป็นที่พักของเหล่าทหารหาญที่พวกเขาแอบทอดสายตาเอาไว้ตั้งแต่เริ่มเดินทัพออกจากพะคัมด์
กิจการที่พวกเขาเคยปฏิบัติกันมาเมื่อครั้งอยู่สำนักสากกระเบือเขียวกำลังจะถูกรื้อฟื้นขึ้นที่นี่ ที่กองทัพพะคัมด์กลางวนาดอนอันลี้ลับแห่งนี้เอง
เวลาผ่านไปก็หลายอยู่ หนีรูเดินโซเซออกมาจากซุ้มแห่งหนึ่ง พลันพานพบไซ้เนินพอดิบพอดี
"หนีรู ไยหล่อนจึงทรุดโทรมถึงเพียงนี้ "
ไซ้เนินฉงน
" ก็ซุ้มนั้นนะสิ ไม่รู้ไปกลัดมันอดอยากปากแห้งมาจากไหน เล่นเอาข้าเกือบตายกระนั้นหล่อน "
หนีรูว่าจบ ไซ้เนินทำตาลุกวาวพลางว่า
" จริงหรือเจ้า...!! เช่นนั้ขอข้าลองดูทีฤา "
" เชิญเถอะตัว โทรมทรุดชำรุดกลับมาอย่าหาว่าข้าไม่ทัดทาน "
หนีรูกล่าวจบแลดูไซ้เนินวิ่งรี่เข้าไปในซุ้มที่ตัวเองเพิ่งจะออกมานั้น เขาหันไปยังอีกทางหนึ่งและแลเห็นหนุ่มหน้าอ่อนกำลังเดินเข้าซุ้มของตนไป หนีรูตาลุกวาวพลางกล่าวว่า
" อุ๊ยตาย !! หล่อ... หล่อจริงแท้แม่เอย ต้องจัดการ ต้องจัดการ "
จบคำ ขันทีสุดสวยวิ่งรี่ตามไปติดๆ
ครู่ใหญ่ แสงไฟในซุ้มนั้นก็ดับลง...
ณ มุมหนึ่งของค่ายพัก หวงหลังกำลังเดินมาตามทางอย่างช้าๆ พลันหล่อนก็ต้องหยุดชะงักการเดินอย่างฉับพลัน เพราะรู้สึกว่ามีคนสะกดรอย หล่อนหันกลับไปมองก็ไม่พบผู้ใด จึงออกเดินต่อ แต่เมื่อเดินมาได้สักพักก็กลับรู้สึกเช่นเดิมอีก คราวนี้หล่อนจึงตัดสินใจหลบไปทางซ้ายเพื่อคอยสังเกตุการณ์
ทันใดกันนั้นเอง พลันปรากฏมืออันแข็งแกร่งดุจนักรบกล้าพุ่งมาปิดปากหวงหลังพร้อมใช้แขนอันกำยำกอดรัดหล่อนเอาไว้ หวงหลังพยายามหันไปมอง ในที่สุดหล่อนก็ต้องตะลึงตาค้างในทันที
" อ๊ะ !! ฝ่าพระบาทเตวู "
" หุบโอษฐ์ของเจ้าเสีย คืนนี้เจ้าต้องเป็นของข้า "
" อ๊ะ... ไม่ได้นะเพฮะ "
" ไย ? "
" ก็ทรงเป็นกษัตราผู้ยิ่งใหญ่ กอบกิจกับขันทีจะทำให้เกิดราคีทั้งราชวงศ์ "
" รึเจ้าอยากวายชนม์ ? "
" เช่นนั้นเห็นควรหาที่ลับตา ในป่าปะไรเพฮะ "
" เฉียบประจักษ์นัก "
จบพระสุรเสียง พระเจ้าเตวูทรงฉวยข้อมือหวงหลังวิ่งเข้าป่าไปพร้อมกัน
ครู่ใหญ่ บรรดาหิ่งห้อยในพนาก็หรี่แสงลง...
ภายในกองทัพรี้พลอันคนานับไปด้วยเหล่าบุรุษเพศนั้น ไม่ต่างอะไรจากกองทัพแห่งอิสตรีเลยแม้แต่น้อย ความเก็บกดอดกลั้นที่ถูกสะสมบ่มเพาะเพิ่มพูนมาเป็นเวลาเนิ่นนานตลอดการเดินทางได้ถูกระเบิดขึ้นที่กลางป่านี่เอง ถึงแม้จะเป็นการผิดปกติวิสัยแห่งบุรุษเพศก็ตาม
พระเจ้าเตวูเองก็ไม่ทรงแตกต่างไปจากบุรุษชาติอาชาไนยอื่นใดในกองทัพอันเกรียงไกรของพระองค์ที่สะกดเก็บอารมณ์ส่วนลึกเอาไว้ไม่อยู่ จำจะต้องปลดปล่อยออกไปยังคนใกล้ชิดสนิทแนบ
- - - - - - - - -
ณ อาณาจักรละวิรัฐ...
ภายในห้องหับแห่งหนึ่งซึ่งมีวิสูตรอันบางเบาหลายหลากสีคลี่แขวนคลอบคลุมอยู่มากมายหลายชั้น แสงสว่างเรืองรองสาดส่องออกจากอัจกลับหลายอันซึ่งตั้งไว้เป็นจุดๆ ทั่วห้อง สาดส่องให้แลเห็นเงาร่างของบุคคลสองผู้กำลังกอบกิจบางอย่างอยู่กลางห้องอันกว้างขวางนั้น
เสียงร่ำร้องครวญครางกระเส่าจากความสุขกระสันต์แห่งอารมณ์ปรารถนาของบุคคลทั้งคู่ดังอยู่มิรู้คลาย และดูราวกับว่าจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ ปานประหนึ่งเกลียวคลื่นอันเกรี้ยวกราดที่โหมกระหน่ำซ้ำซัดหาดทรายอย่างไม่ยั้ง
หนึ่งในบุคคลทั้งสองนั้นคือเจ้าฟ้าฉกรรณราชามหากาตริย์ละวิรัฐ ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าก็คือมหาอำมาตย์เอกคู่พระศัยยาของพระองค์ ทั้งสองต่างอภิรมย์สวาทกันอย่างรวยรื่นชื่นตาแลสร้างสรรค์อารมณ์ปรารถนาให้เกิดขึ้นแก่กันครั้งแล้วครั้งเล่า
กรมกรีฑาอันตระการทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งโลกิยะ แลกายินทรีย์ทั้งสองก็สั่นสะท้านกัมปนะจนกัมปนาทประดุจแผ่นพสุธาจะถล่มทลายก่อนจะผละกายออกจากกันอย่างปลื้มสุข
มหาอำมาตย์เอกคลี่วิสูตรให้เปิดกว้างพลางพาตัวเองเยื้องย่างออกมา เขาจับจ้องไปยังพระวรกายเจ้าฟ้าฉกรรณราชาซึ่งทรงเอนพระองค์อยู่ภายในเพียงพระองค์เดียว
" อ้า... มหาอำมาตย์ยอดรักแห่งข้า "
ทรงทำพระเนตรเยิ้มหวานจนมหาอำมาตย์เอกสุดจะยับยั้งอารมณ์ปรารถนาที่โหมปะทุขึ้นมาอีกกระนั้นได้ จึงผลุบเข้าไปภายในหมายเริ่มประสานสวาทกับองค์เจ้าฟ้าหนุ่มอีกครา
เพลานั้นเอง....
มหาดเล็กคลานเข้ามาหยุดอยู่หน้าม่านพลางกราบถวายบังคม
" ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าชาวละวิรัฐ ณ บัดนี้ ม้าใช้ได้รายงานมาว่า กรุงเถมรูบังเกิดผู้ต่อต้านตั้งตัวเป็นเจ้า รวบรวมไพร้พลเตรียมสร้างมหาอาวุธพระเจ้าข้า
บัดดล...
บรรดาม่านบางเบาทั้งหลายก็ถูกคลี่ออกอย่างช้าๆ ผืนม่านปลิวไสวราวกับต้องแรงลมมหาศาล และในไม่ช้า เจ้าฟ้าฉกรรณราชาในชุดฉลองพระองค์เสื้อคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ก็ทรงหันมา ดวงพระพักตร์เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบยิ่ง ทรงประทับนั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดอันกำยำของมหาอำมาตย์เอก
" ส่งทรัพย์สนับสนุนทรราชย์เถมรูให้ได้ชัย หึ หึ หึ ครานี้เห็นทีละวิรัฐเราจะมีพันธมิตรเป็นอิสตรีอย่างแน่แท้ "
ม่านผืนหนึ่งปลิวไสวไปค้องโคมไฟ บังเกิดรอยไหม้ขึ้น พระเพลิงทวีความรุนแรงจนเห็นได้ชัด มหาอำมาตย์เอกและมหาดเล็กวิ่งวุ่นกันดับไฟจนจ้าละหวั่น หมอกควันคละคลุ้งไปทั่ว
ครั้นพระเพลิงสงบลง แลเห็นทุกสิ่งทุกอย่างวอดวาย เจ้าฟ้าฉกรรณราชา มหาอำมาตย์เอก และมหาดเล็กร่างกายหมองหม่น
ปี่พาทย์ครวญเพลงพระเพลิงพ่ายสามเที่ยวจบ
* * * * * * * * *
จบบทที่ 22 โปรดติดตามต่อบทที่ 23