เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 19

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403

*****************


บทที่ 19



เหล่าขุนนาง มหาอำมาตย์ และข้าราชการทั้งมวลต่างพากันตะลึงงันในพระราชโองการของเจ้าฟ้ามูรตีเป็นอันมาก เสียงซุบซิบอึงอลกันไปทุกแห่งหน

" ฝ่าพระบาท "

นางลำดวนดาว ซึ่งอยู่บนหลังช้างทรงได้ทักท้วงด้วยสีหน้าประหวั่น

" จะทรงกระทำการเช่นนั้นหาได้ไม่ เจดีย์อนุสรณ์สถานแห่งเสด็จทวดของพระองค์แท้ๆ ดูประหนึ่งเป็นการหยามพระยศพระเกียรติองค์บรรพชนกระนั้นแล "

" ถูกต้องแล้วพระพุทธเจ้าข้า เจดีย์นี้เป็นอนุสรณ์สถานการชนไอยราระหว่างเสด็จทวดของพระองค์ กับเจ้ากรุงพะคัมด์ เมื่อครั้งพระองค์ยังมิได้ทรงประสูติ หากแม้นทำลายลงสิ้นแล้ว จะเป็นการมิบังควรอย่างยิ่ง เหล่าปวงประชาราษฎรแลบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์อาจเคืองขัดกระนั้นได้ "

โหราจารย์กราบทูลขึ้น

เจ้าฟ้ามูรตีทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นฟ้าพลางตรัส

" คนก็ตายไปแล้ว ยังจะมาอาลัยอาวรณ์กระไรอีก ประเทศชาติจำเป็นจะต้องก้าวไปข้างหน้า หาควรคะนึงถึงหนหลัง "

นางลำดวนดาวร่ำไห้อย่างเศร้าโศกโศกาอาดูรสุดประมาณมี พลางกราบทูลอีกคราด้วยสุรเสียงสะอื้น

" หากแม้นพระองค์ยังทรงยืนกรานหนักแน่นเช่นนั้น หม่อมฉันขอพลีชีพถวายไท้ให้ทรงตรึก "

จบคำ นางลำดวนดาวผุดลุกขึ้นพลางทะยานกายพุ่งลงจากหลังช้างทรงเอาร่างกระแทกเจดีย์สิ้นลมไปพลัน ท่ามกลางความตกตะลึงงันของบรรดาเหล่าข้าราชบริพารขุนนางอำมาตย์และแม่ทัพนายกองทั้งมวล

มโหรีครวญเพลงธิดาสลายร่าง ต่อด้วยการเป่าสังข์

เจ้าฟ้ามูรตีทรงเผยยิ้มที่มุมพระโอษฐ์พลางทรงเหลียวพระเนตรมายังร่างอันไร้วิญญาณของนางลำดวนดาว ก่อนจะตรัสด้วยพระสุรเสียงไยไพ

" สดับไม่ได้ศัพท์สิจะมาจับไปดับชีพ "

จากนั้นทรงผินพระพักตร์หนี พลางตรัสต่อ

" ก็แค่ล้อเล่นเป็นเท่านั้น ใจจริงก็ไม่อยากจะรื้ออยู่แล้ว "

เหล่าข้าราชบริพารพากันมองหน้ากันด้วยความฉงนงุนงง ก่อนจะหันไปแลร่างอันไร้ชีวิตที่ฟุบอยู่ที่เชิงเจดีย์

โถ... นางลำดวนดาว สนมน้อยผู้อาภัพ นี่เจ้าเสียชีพโดยสูญเปล่ารึนี่

เจ้าฟ้ามูรตีทรงตรึกตรองอยู่ครู่จึ่งตรัส

" ถ้าเช่นนั้นก็ผ่านทางหมู่บ้านก็แล้วกัน "

" ไม่ได้นะพระพุทธเจ้าข้า การจะยกไพร่พลผ่านหมู่บ้านนั้น จะต้องรื้อถอนบ้านเรือนพสกนิกร อีกทั้งยังต้องถางป่าและไร่นาอีกเป็นจำนวนมากเพื่อให้ฝูงม้าและโขลงช้างเคลื่อนผ่านไปได้โดยสะดวก ข้าพระองค์เกรงว่าจะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองและเดือดร้อนให้เกิดแก่ประชาชีโดยถ้วนหน้า "

มหาอำมาตย์เอกทูล

" ถ้าเช่นนั้นเห็นทีต้องผ่านทางหุบเหว "

ทรงผินพระพักตร์มายังแม่ทัพทองถึงจึงตรัสต่อ

" รึว่าไร ทองถึง ถ้าแม้นว่าเราจะสร้างสะพานข้ามไปจะได้ฤา "

" เป็นการยากยิ่งพระพุทธเจ้าข้า... ถ้าคิดจะสร้างสะพานต้องใช้เพลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี เนื่องจากจะต้องวางแผนและออกแบบสะพาน ซึ่งผู้ที่เชี่ยวชาญการออกแบบสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตเช่นนั้นได้ก็มีแต่ท่านปุโรหิตเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ขณะนี้ท่านก็ไม่อยู่ที่นี่ ท่านไปท่องเที่ยวแถบภูธราประเทศ และนอกจากนั้น... การสร้างสะพานยังต้องโค่นป่ามหาศาลเพื่อเอาไม้มาทำเสา ต้องสั่งเชือกเถาวัลย์ชั้นดีจากอาณาจักรมินตรามาใช้มัด เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งมั่นคงพอที่จะให้ช้างศึกและม้าศึกเคลื่อนผ่านได้ "

แม่ทัพทองถึงทูลเฉลย

เจ้าฟ้ามูรตีตริชอบหนักหน่วง ก่อนตรัสถาม

" หุบเหวลึกมากไหมแม่ทัพ "

" ขอเดชะ ข้าพระองค์ส่งทหารลงไปสำรวจดูแล้ว พบว่าลึกประมาณได้เท่ากับความสูงของภูเขาลูกนั้น "

แม่ทัพชี้ไปยังเทือกเขาที่อยู่ข้างๆ ซึ่งสูงเสียดฟ้า มีหมู่นกฝูงหนึ่งบินผ่านมาอย่างงดงาม

" แล้วข้างล่างเป็นเช่นไร "

" ขอเดชะ เบื้องล่างเป็นธารน้ำไหลเย็นพระพุทธเจ้าข้า "

" ลำน้ำกว้างมากไหม "

" ไม่มากสักเท่าไหร่พระพุทธเจ้าข้า ประมาณครึ่งหนึ่งของความกว้างแห่งสุทธาราริณีโยคเพียงเท่านั้น "

" ดี... ถ้างั้น เราจะไปทางชลมารค "

" ชลมารค !!! "

เหล่าข้าราชบริพารต่างตะลึงงัน

- - - - - - - - -

ในที่สุดแล้ว...

เจ้าฟ้ามูรตีทรงมีพระบรมราชโองการให้โค่นวนามหาศาล แล้วนำไม้มาต่อเรือแจว เพื่อบรรทุกไพร่พลและสัมภาระไปทางน้ำ ซึ่งจะใช้เวลาน้อยกว่าการโค่นป่ามาสร้างสะพานมากมายหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็ด้วยพระโยนิโสมนสิการที่ว่า ช่างฝีมือทางนี้เราก็มีอยู่ ถึงเวลาแล้วที่จะได้ใช้ มิให้วิชาที่ร่ำเรียนฝึกปรือตกทอดกันมาต้องมีอันสูญสลาย นับเป็นการสืบสานศิลปวิทยาการทุกด้านอย่างคุ้มค่าน่ายกย่องสรรเสริญเป็นที่ยิ่ง

การดำเนินงานเริ่มขึ้นเป็นส่วนๆ นับตั้งแต่การเลือกสรรไม้ที่เหมาะแก่การต่อเรือแจว การเลื่อย การประกอบ และการเคี่ยวชันเพื่อมายาเรือ แม้กระนั้นก็ยังคงสอดแทรกไว้ซึ่งความละเอียดประณีตวิจิตรบรรจงด้วยการเขียนสีและลวดลายลงบนเรือ บางลำก็จะมีการลงรักปิดทองประดับกระจก ส่วนบางลำก็ยังฝังมุกโดยการฉะลุมุกเป็นลวดลายต่างๆ แล้วฝังลงบนพื้นผิว จากนั้นก็จะถมด้วยรักสีดำแล้วขัดให้ผิวมุกโดดเด่น

การสร้างเรือลำต่างๆยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะเสร็จสิ้น

- - - - - - - - -

ท่ามกลางวนาดอนชายเมืองละวิรัฐ

เพลากระนั้น พลันปรากฏหมู่มวลอิสตรีสวมเครื่องแต่งกายชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้นกว่าสามแสนนาง กำลังเริงระบำมาตามทางอย่างช้าๆ นำขบวนโดย มะจั่นฟาร์ตีฏ์ เสนาบดีหญิงมือขวาของพระนางสุบินสวรรค์ และพระนางศรีตะกุมะลากา

ขบวนอิสตรีสามแสนนี้ ที่แท้ก็คือขบวนสตรีทูต ซึ่งทางฝ่ายพระนางศรีตะกุมะลากาทรงมีพระสวนีย์ให้นำปลาหางสะดิ้งมารไปถวายแด่เจ้าฟ้าฉกรรณราชา กษัตริย์ละวิรัฐ

นางระบำผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

" ท่านมะจั่นฟาร์ตีฏ์ ข้ารู้สึกว่าขบวนของเราไปช้ามาก ออกจากกรุงเถมรูมาก็หลายอาทิตย์แล้ว จนป่านนี้ยังไม่ถึงจุดหมายเสียที ข้าว่าเราน่าจะเร่งความเร็วให้มากกว่านี้ "

" ไม่ได้ หากร่ายรำไวกวว่านี้จะเสียท่วงทีตามแบบฉบับโบราณของเถมรูเรา จะอดทนไปเถิด อีกครู่ใหญ่คงจะถึงในไม่ช้านี้แหละจ้า "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์บอก

- - - - - - - - -

เพลานั้น เจ้าฟ้าฉกรรณราชากษัตริย์ละวิรัฐ ทรงประทับบนมหาราชรถสุวรรณวิมานสถานเทวาพิลาศ ทำด้วยทองคำ ประดับอัญมณีหลากหลาย เสด็จประพาสมาตามป่า เหล่าชายฉกรรจ์นับหมื่นช่วยกันฉุดลากราชรถให้เลื่อนไปอย่างช้าๆ เจ้าฟ้าหนุ่มทรงชำเลืองมองมหาอำมาตย์เอกแห่งละวิรัฐจึ่งตรัส

" มิไยไลงไปเดินดงดมดอมดอกไม้กันให้ชื่นอุรากันเล่าอำมาตย์เรา "

" ดีพระพุทธเจ้าข้า "

เจ้าฟ้าฉกรรณราชาทรงพระสรวลพลางทรงมีพระสุรสีหนาทดังสนั่น

" สยบขบวน "

เหล่าทหารหาญนับหมื่นสนองรับพระบัญชา ต่างกุลีกุจอช่วยกันหยุดราชรถทองคำ ราชรถหยุดแน่นิ่งอยู่กับที่โดยไม่ช้า

องค์ฉกรรณราชา มหากษัตริย์ผู้ปกครองละวิรัฐประเทศ สเด็จพระราชดำเนินลงจากราชรถมาพร้อมกับมหาอำมาตย์คู่พระแท่นทอง ทั้งสองต่างโอบวรกายซึ่งกันและกันอย่างหวานชื่น

มาร์ฒแม้นดารณีย์ ราชินีแต่เพียงในนาม ผู้เป็นอิสตรีเพียงผู้เดียวในกองทัพได้สลับพระบาทฉับๆ พระกรโอบอุ้มพระสุพรรณราชเดินตามติดเจ้าฟ้าฉกรรณราชามามิได้ห่างพลางร้องทัดทานอย่างน่ารำคาญยิ่ง

" ช้าก่อนเพคะท่านเจ้า ท่านเจ้าเพคะ ช้าก่อนเพคะท่านเจ้า "

องค์ฉกรรณราชาทรงหันพระวรกายมา พลางทรงสะบัดกรีดพระหัตถาตบพระพักตร์ของมาร์แม้นดารณีย์หนึ่งฉาด ก่อนตรัสบริภาษเป็นการใหญ่

" อีดารณีย์เอ๋ย รัตติกาลล่วง เจ้าบังอาจเฉลยเนตรพิศเราแลอำมาตย์กอบกิจการร่วมพระแท่นทอง เจ้าประสงค์สิ่งใด ฤาหมายคิดสมสู่ชอบ "

มาร์แม้นดารณีย์ทรุดพระวรกายลงอย่างฉับพลันพลางทูลไปด้วยพระพักตร์หวั่นหวาด

" บ่คิด บ่ขัด บ่กระหวัด บ่ติง จะทรงสุงสิงกับบุรุษใดมิได้ห้าม "

" มิได้ห้าม !! "

เจ้าฟ้าฉกรรณราชาพิโรธใหญ่

" อ๋อ... นี่ชั้นต้องรอคำท้วงติงจากหล่อนด้วยเหรอยะ "

" หาเป็นเช่นนั้นไม่เพคะ "

" วาจาส่อสันดาน อาการส่อหทัย "

เจ้าฟ้าฉกรรณราชาดำรัสจบทรงหันไปยังมหาดเล็กผู้หนึ่งจึ่งตรัส

" ริบราชบาตร ถอดยศมาร์ฒแม้นดารณีย์จากตำแหน่งราชินี แล้วเนรเทศให้ออกจากพระราชอาณาจักร "

" พระพุทธเจ้าข้า "

มหาดเล็กรับสนองพระบรมราชโองการพลางสั่งให้ลูกน้องสิบนายกรูกันปลดเปลื้องเครื่องพระยศที่ติดตัวมาร์แม้นดารณีย์ อาทิ พระสุพรรณราชทองคำ สไบทอง สร้อยพระศอทองสลับมุก พระธำมรงค์ทองยอดมรกต พระกุณฑลทอง และพระมงกุฏทองประดับเพชร

สภาพมาร์ฒแม้นดารณีย์ภายหลังจากที่ถูกปลดวัตถาภรณ์ทั้งหลายออกแล้ว ไม่ต่างอันใดจากยาจกผู้หนึ่ง นางร่ำไห้ออกมาก่อนเดินฝ่าหมู่มวลทหารหาญผู้กล้าออกจากกองทัพไป เหล่าทหารต่างไชโยโห่ร้องกันจนอึงอลไปทั่ว

มโหรีหลวงบรรเลงเพลงธิดาสะอื้นไห้สามเที่ยว เพระมาร์ฒแม้นดารณีย์เดินช้า ประกอบกับเหล่าทหารมีมาก กว่าจะฝ่าออกไปจนพ้นก็นานอยู่

มโหรีจบลง พลันแว่วเสียงทำนองเพลงอันแปลกกรรณแว่วมาแต่ไกล เสียงเพลงดังขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินถนัด เจ้าฟ้าฉกรรณราชาเสด็จประคองเคียงมหาอำมาตย์ขึ้นสู่ราชรถเพื่อทอดพระเนตรให้ถนัดถนี่

ฉับพลัน...

องค์มหาราชทรงแลเห็นขบวนระบำปลาหางสะดิ้งมาร ของอิสตรีสามแสน กำลังเคลื่อนจรงมายังขบวนราชรถของพระองค์ ขบวนระบำนั้นแลดูงดงามแจ่มจรัสรัศมีเป็นที่ยิ่ง แสงทองเรืองรองจากสไบทองของนางรำแต่ละนางส่องประกายวาววับจับตา เจ้าฟ้าฉกรรณราชาและมหาอำมาตย์ต่างตะลึงงันอยู่กับที่

" โอ้เอย... กระไรเลยงามปานนี้ อำมาตย์เรา เจ้าจงลงไปดูให้แน่ชัดทีฤา ว่าเกิดอุบัติอันใด "

" พิเจ้าค่ะท่านเจ้า "

จบคำ อำมาตย์รีบเร่งลงจากราชรถไปในทันที จนกระทั่งถึงลานดินเบื้องล่าง

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ ตรงเข้ามายังมหาอำมาตย์หนุ่ม พลางว่า

" ราชสาส์นจากพระนางศรีตะกุมะลากา องค์กษัตรียาแห่งเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น พระผู้เคยทรงดำรงพระยศเป็นอดีตพระชายา ทรงมีมาแด่องค์เจ้าฟ้าฉกรรณราชา ราชันย์แห่งละวิรัฐ "

" ราชสาส์นอยู่หนใดเล่า ? "

" ปลาหางสะดิ้งมาร "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ ชูถาดทองคำใบหนึ่งขึ้น ในถาดมีปลาหางสะดิ้งมารตัวเป็นๆวางอยู่ ปลายังดิ้นกระแด่วๆมิหยุดหย่อนเลยกระไร

" ปลาหางสะดิ้งมาร !!! "

มหาอำมาตย์ละวิรัฐฉงนยิ่งนัก

" แม่นแท้เทียวนา พระนางศรีตะกุมะลาการาชินีนาถทรงหมายฟื้นถ่านอัคคีสวาทแต่ก่อนเก่าให้คุกรุ่นขึ้นอีกครา "

มหาอำมาตย์คำนึงในจิตว่า

..... เชอะ สัญชาติผักสามหาวคิดหวนคะนึง โถ แม่เจ้าประคุณรุนช่อง หึ หึ หึ ดี... จำเราจะตอบสนองให้สาสมเป็นที่ประจักษ์แจ้ง.....

ตรองจบ มหาอำมาตย์กางมือออกฉีกสไบมะจั่นฟาร์ตีฏ์ขาดกระจุยลง ละอองกรองทองฟุ้งกระจายไปทั่ว

" อ๊ะ...!! กร๊ดดดดดดดดด เจ้า..... ????? "

มะจั่นฟาร์ตีฏ์ร้องลั่นพลางยกมือปิดป้องของสงวนแห่งตน

ฉับพลัน เหล่าบรรดาทหารหาญชาติกล้าอาชาไนยแห่งละวิรัฐนครต่างพากันโหมกระหน่ำเข้าใส่กองทัพสตรีทูตสามแสนนางนั้น พลางกางมือออกฉีกสไบนางทูตทั้งสามแสนจนหมด แลเห็นกรองทองฟุ้งเป็นละอองไปในอากาศจนเต็ม

มะจั่นฟาร์ตีฏ์โกรธจัด พลางโยนปลาหางสะดิ้งมารทิ้งลงบ่อธาราข้างมหาราชรถสุวรรณวิมานสถานเทวาพิลาศของเจ้าฟ้าฉกรรณราชา ก่อนตะโกนลั่น

" ฟ้อนกลับทัพ "

เหล่าสตรีสามแสนกลับหลังหัน มโหรีประโคมเพลงนารีวจีกระจาย

เหล่านางทั้งมวลต่างเปลี่ยนท่าทางจากระบำเป็นฟ้อนเล็บเถมรู จากนั้นออกเดินไปเป็นแถบ และเห็นสไบทองมิพลิ้วเหมือนดังกาลก่อน แต่เป็นแว่นๆด้วยรอยฉีก

- - - - - - - - -
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่