เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 25

กระทู้สนทนา
เจ้าฟ้ามูรตี

บทประพันธ์ ด๋ง

ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24 http://pantip.com/topic/31195700

*****************


บทที่ 25




ภายในนครบุรุษบุรี ขณะนั้น กำลังมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร บรรดาประชาชนชาวนครต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังหลวงเพื่อชมการแสดงมากมายที่จะมีขึ้นในวันนั้น

สะขรุมจินห์ในคราบของบุรุษเพศ เดินลัดเลาะตามหมู่บ้านไปด้วยใจระทึก หล่อนแลซ้ายขวาด้วยสีหน้าปลื้มสุขยิ่ง

" หือ... มีหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ ทั้งนั้นเลย หามีสตรีแม้แต่เพียงผู้เดียวไม่ "

สะขรุมจินห์ยังคงเดินต่อไปพร้อมทกับชายตาให้แก่บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ด้วยเหตุที่ตนเองนั้นแต่งกายเป็นบุรุษ การกระทำดังกล่าวจึงดูขัดๆชอบกลอยู่ ประหนึ่งราวกับเป็นพวกผิดเพศกำลังแลหาเหยื่อกระนั้นแล

และแล้ว หล่อนก็เดินมาจนกระทั่งถึงลานกว้างหน้าพระราชวังอันเป็นที่รวมของบรรดาชายทั้งหลายในนคร เสียงไชโยโห่ร้องประกอบกับเสียงมโหรีขับกล่อมได้ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ

กลางลาน การแสดงของหนุ่มนักกล้ามกับสิงห์โตร้ายกำลังดำเนินไปท่ามกลางความหวาดกลัวและตื่นเต้นของผู้ชมที่มุงดูอยู่โดยรอบ

บริเวณหน้าพระราชวังหลวงได้รับการจัดไว้เป็นพลับพลาที่ประทับขององค์กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายแห่งนครแห่งนี้

สะขรุมจินห์เพ่งสายตาไปยังจุดที่องค์กษัตริย์ทรงพประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์อันโอฬาร และแล้วนางก็ต้องตะลึงงันในทันที

" เทวดาหนุน !!! ช่างหล่อเลิศประเสริฐศรีอะไรเช่นนี้หนอ "

องค์กษัตริย์แห่งนครบุรุษบุรีพระองค์นี้ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชิยาสวิง อันแปลว่า สวิงที่ทำจากสายธนู มีความหมายถึง การตักตวงสิ่งที่เฉียบคมและเหี้ยมหาญแข็งแกร่งมาไว้ในตน กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมีพระสิริโฉมที่สง่างามองอาจเกินมนุษย์ ดุจพญาราชสีห์คชสารที่ยังความศฤงคารให้เกิดแก่บรรรดาอิสตรีต่างแดนมานักต่อนัก

สะขรุมจินห์ตาค้างอยู่นานพลันหล่อนก็เหลือบไปเห็นเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนคุยหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้อยู่ที่เบื้องหลังแห่งองค์กษัตริย์นั้น บุคคลกลุ่มนั้นแต่งกายด้วยชุดยาว และมีเครื่องประดับมากมายทั้งศรีษะและร่างกาย ราวกับเป็นอิสตรี อักทั้งยังตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมเสียสวดสดอีกด้วย สะขรุมจินห์สงสัยเป็นยิ่งนัก พลางหันไปถามชายชราผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆนาง

" ตาเอ๊ย... ก็ไหนว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษผู้กล้ามิใช่หรือ เหตุไฉนผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังองค์กษัตริย์นั้นจึงเป็นสตรีเล่า "

ชายชราหันมาแล้วเพ่งมองสะขรุมจินห์อยู่ครู่หนึ่งจึงว่า

" เจ้าคงจะมาจากต่างนครจึงไม่รู้ พวกนั้นคือ นังบำเรอวัง ไงล่ะ "

" นังบำเรอวัง ? "

" ใช่... เป็นพวกผู้ชายที่ถูกแปลงเพศแล้วเอาไว้คอยปรณนิบัติองค์กษัตริย์ในยามที่ทรงมีพระประสงค์จะเสพสุขตามพระอารมณ์ "

สะขรุมจินห์หันกลับไปดูจึ่งว่า

" เป็นฉะนี้เอง "

" เจ้ามาจากที่ใดกัน "

ชายชราถามขึ้น สะขรุมจินห์หันมามองคราหนึ่งจึงตอบ

" อ..อ๋อ..คือ ข้า ข้ามาจากทางใต้ จะไปละวิรัฐ "

" ละวิรัฐ... ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดนักนี่ "

" ใช่..ใช่ "

" ดูเจ้าอ้อนแอ้นราวกับเป็นอิสตรี "

" หา... "

สะขรุมจินห์ตะลึงพลางเร่งรีบกลบเกลื่อนท่าทีเป็นเข้มแข็งโดยพลันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

" อะไร...ตา ข้าน่ะบุรุษแท้ทั้งแท่งเทียวนะ "

" ข้าเคยเห็นสตรีสมัยเมื่อข้ายังเด็กๆ ... เหมือนกับเจ้าเลย "

บัดดลกันนั้น...

ประชาชนเกิดการแตกฮือ เสียงหวีดร้องดังก้องไปทั่ว สาเหตุเนื่องจากสิงห์โตที่กำลังแสดงอยู่กลางลานเกิดร้อนและออกอาละวาดไล่ฆ่าผู้คน ฝูงชนต่างวิ่งหนีกันพัลวัน ต่างเบียดเสียดกันหลบหนี

สะขรุมจินห์ถูกผลักให้ล้มลง นางใช้มือปัดป้องฝีเท้าทั้งมวลที่พุ่งตรงลงมาบนร่างกายอย่างไม่ยั้ง

" อ๊ะ... !! ไม่ ไม่ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ อย่า อย่า "

ในไม่ช้า ผู้คนก็วิ่งหนีไปจนหมด เหลือเพียงนางซึ่งล้มอยู่บนพื้นเพียงผู้เดียว มวยผมอันยาวสลวยซึ่งกลบเกลื่อนไว้ได้สยายออก เสื้อผ้าขาดวิ่นจนแลเห็นเนินปทุมถันอันอะร้าอร่ามงามตาน่าชวนมอง

สิงห์โตวิ่งตรงมายังร่างนางพร้อมกับกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

" ไม่... "

นางร้องลั่นด้วยเสียงแหลมเล็ก พร้อมยกมือขึ้นปิดตา

ฉับพลัน บังเกิดเสียงของมีคมพุ่งแทงเนื้อ ตามด้วยเสียงของหนักตกลงสู่พื้น และเสียงคำรามของสิงห์ร้ายที่ดังกัมปนาทไปทั่ว

เสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนดังขึ้นในเวลาต่อมา และในไม่ช้า เมื่อสะขรุมจินห์เปิดมือที่ปิดตาทั้งสองข้างนั้นออก นางก็ได้เห็นซากของสิงห์โตโฉดนอนสงบนิ่งไร้วิญญาณอยู่แทบบาทของนาง ข้างๆกันนั้น มีร่างอันสูงสง่าขององค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงประทับยืนอยู่ พระบาทข้างหนึ่งทรงเหยียบหัวสิงห์โตเอาไว้

ครู่ใหญ่ ทรงยื่นพระหัตถ์มาฉุดร่างสะขรุมจินห์ขึ้นพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลราวหินผาต้องวายุละเมียดสายพิรุณ

" เกือบสิ้นชีวาตม์แล้วไหมล่ะ อีนางเอ๋ย... ไฉนเลยเจ้าจึงปลอมแปลงแฝงเร้นกายาเข้ามาในนครแห่งเรา... เจ้ารู้หรือไม่ว่า โทษทัณฑ์ที่เจ้าจะได้รับคือฉันใด "

" ไม่รู้อันใดเลยเพคะ... "

สะขรุมจินห์ทำเนตรหวานฉ่ำปานสายน้ำในลำขันธ์สวรรค์ธาราแห่งเถมรูประเทศอันงามระหง

" เจ้าจะต้องถูกลงหวาย "

" หา ... !! "

" หมกใส่ตุ่ม "

" อี๊ ... !! "

" ทุ่มลงเหว "

" อย่า ... !! "

" เผาด้วยเปลวไฟ "

" ไม่ ... !! "

" แล้วดองใสไว้ในโหล "

" กรี๊ดดดดดดด "

จบคำ นางทรุดกายลงร่ำไห้ราวกับทารก

กษัตริย์ชิยาสวิงทรงโน้มพระวรกายมาพลางตรัสกระซิบ

" เราล้อเล่น "

สะขรุมจินห์เงยหน้าขึ้นยิ้ม... ซึ่งองค์กษัตริย์ก็ทรงยิ้มตอบคราหนึ่งเช่นกันก่อนตรัส

" แต่เป็นจริง "

" ไม่... "

เสียงสะขรุมจินห์ดังก้องไปทั่วจนกระทั่งทหารหนุ่มสองนายลากนางหายเข้าไปในห้องลงทัณฑ์ซึ่งอยู่หลังวัง

- - - - - - - - -

ณ กองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น

พระนางสุบินสวรรค์ทรงพระดำเนินไปมาด้วยพระอารมณ์ขุ่นข้องรุ่มร้อน

" จะลีลาศอุกอาจให้เมื่อยชงฆ์องค์ไปไย ไฉนไม่มานั่งเสวยพระสุธารสเย็นให้ฉ่ำอุรา "

พระนางศรีตะกุมะลากาตรัสจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันมาทอดพระเนตร

" สะขรุมจินห์มิมามิห่วงหาอาทรเลยล่ะหรือ ศรีตะกุเจ้า "

" กะอีแค่นางไพร่รับใช้เช็ดบาทสิจะบังอาจให้ข้าห่วง เชอะ "

พระนางศรีตะกุมะลากาทรงสะบัดพระพักตร์ค้อนคราหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์ทรงเห็นดั่งนั้นก็ทรงยกพระหัตถาขึ้นตบพระอุราคราหนึ่งจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงแหลมเล็ก

" เลอสรวงฤดีดวงทรวงแม่จะแตกตาย มิไยเจ้าจึงมากลายเป็นเช่นนี้ "

พระนางสุบินสวรรค์เสด็จสืบพระบาทแหวกหมู่นางกำนัลไป พระนางศรีตุกุมะลากาทรงผุดขึ้นโดยพลัน

" สุบินสวรรค์ ท่านจะไปหนใด "

พระนางสุบินสวรรค์ทรงหยุดยืนอยู่กับที่พร้อมทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสู้ฟ้า

" มุ่งบุรุษบุรีในทันใด ตามตัวนางไพร่ของข้าคืน "

จบพระดำรัส พระนางสุบินสวรรค์ทรงสืบพระบาทต่อไปโดยไว พระนางศรีตะกุมะลากาทรงร้องเรียก

" รอข้าด้วย... "

จากนั้น พระนางศรีตะกุมะลากาเสด็จฉวยถาดพระสุธารสเย็นเต้นตามไปติดๆ จนชิดพระสรรพางค์องค์

- - - - - - - - -

ภายในท้องพระโรงพระราชวังบุรุษบุรีอันโอ่อ่าอลังการด้วยศิลปกรรมชายล้วน เหล่าข้าราชบริพาร ทหาร อำมาตย์ ต่างกระจายกันอยู่จนเต็ม แลไปยังหนทางใด ก็เห็นแต่บุรุษทุกเพศวัยที่มาประชุมกันเพื่อร่วมถวายชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาแห่งองค์กษัตริย์ชิยาสวิง

บัดนั้นเอง...

มหาดเล็กหลวงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากราบถวายบังคม

" ทูลสนองฝ่าพระบาท บัดนี้ มีไพร่พลสตรีกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนนาง บุกเข้าพระนครตรงมายังพระราชวังแล้วพระเจ้าข้า "

" สตรี !!! ? "

บุคคลทั้งมวลตะลึงงัน

กษัตริย์ชิยาสวิงเสด็จผุดลึกขึ้นทันควัน พลันใดกันนั้นเอง เสียงมโหรีอันอ่อนหวานก็แว่วมาจากพระทวารท้องพระโรง ก่อนปรากฏร่างพระนางสุบินสวรรค์ พระนางศรีตะกุมะลากา มะจั่นฟาร์ตีฏ์ วาริชฌาภาร์ณา จะติกะวะนาจิ และศริพราฟาร์ ตามด้วยนางกำนัลทั้งมวล

ขบวนสตรีหยุดลง พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเหลือบพระเนตรทอดไปยังองค์กษัตริย์ชิยาสวิงด้วยพระหทัยระทึกระทวยสะทกสะท้านระรานดวงจิต พลางทรงเอียงพระวรกายเข้ากระซิบที่ข้างพระกรรณพระนางสุบินสวรรค์ว่า

" เลอโฉมราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ นี่แหละบุรุษในฝันของเรา "

พระนางศรีตะกุมะลากาทรงยิ้ม หากแต่พระนางสุบินสวรรค์ทรงนิ่งเฉยอยู่ด้วยพระอาการสงบ

สองกษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปเบื้องหน้า ก่อนจะทรงหยุดอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์กษัตริย์ชิยาสวิงนั้น

" ข้าพเจ้าสุบินสวรรค์ ส่วนผู้นั้น ศรีตะกุมะลากา สองเราคือกษัตรียาเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น ณ แดนไกล มุ่งหมายเข้านครของท่านเพื่อตามหาคน "

" ปิติล้นที่ได้ทอดนัยเนตรสู่ท่านทั้งสอง เรา ชิยาสวิง กษัตริย์แห่งบุรุษบุรีขอต้อนรับ เชิญประทับนั่งเสียก่อนสิ "

กษัตริย์ชิยาสวิงทรงผายพระหัตถ์ไปยังพระแท่นทองที่มุมหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์เสด็จไปก่อน ส่วนพระนางศรีตะกุมะลากาสุดจะยับยั้งพระอารมณ์ส่วนลึกที่พิสมัยองค์กษัตริย์ชิยาสวิงพระองค์นั้นเอาไว้ได้ จึงทรงพระดำเนินไปคล้องพระพาหากษัตริย์ชิยาสวิงมา

" ทรงนั่งด้วยกันกับพวกหล่อมฉันสิเพคะ "

กษัตริย์ชิยาสวิงพระเนตรเบิก พลางเผยพระสรวล

" ยินดีไม่มีปัญหาอันใด ไปสิจ๊ะ "

องค์กษัตริย์หนุ่มทรงประทับบนพระแท่น ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยสองกษัตริย์ผู้ทรงศักดิ์ จนแลพระแท่นบัลลังก์คับแคบไปถนัดเนตร

เหล่าอำมาตย์ ข้าราชการบุรุษบุรีล้วนต่างพากันตื่นตาไปกับบรรดาเหล่าอิสตรีมากมายที่เข้ามาในพระนคร บางผู้ก็ลองใช้ไม้เขี่ยเล่นเพราะเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก บางผู้ก็แบกนางกลับบ้าน บางผู้ก็สานไมตรีแนบสนิท บางผู้ก็คิดไม่ซื่อ บางผู้ก็จับมือจับไม้ เหล่าชายทั้งมวลต่างสอดส่ายสายตามองหาสาวถูกใจกันพัลวัน

มโหรีครวญเพลง สาริกาหาคู่ไม่รู้ไปอยู่หนใดช่วยไขขานประสานเสียงสำเนียงเสนาะ ต่อด้วยการเคาะกรับ โดยมีเหล่านังบำเรอวังคอยปรบมือเป็นจังหวะโดยไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก เนื่องจากอิสตรีทั้งหลายมาแย่งบุรุษของพวกตนไปจนหมดสิ้น

- - - - - - - - -

เพลาดึก...

ภายในพระราชวังบุรุษบุรี สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น เดินมาตามทางในปราสาทซึ่วงมืดสลัว มีเพียงแสงเทียนรำไรจากโคมประทีปที่แขวนอยู่เพียงเท่านั้นที่คอยให้ความสว่างส่องนำทาง

สตรีผู้หนึ่งนั้นคือ จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษา ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าคือ ศริพราฟาร์ ราชเลขานุการในพระองค์พระนางสุบินสวรรค์

" นี่ท่านราชครู ก็องค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงบอกพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าทรงไม่เคยพบเห็นสะขรุมจินห์มาก่อนเก่า "

ศริพราฟาร์เอ่ย

" ก็ใช่ แต่พระนางสุบินสวรรค์มิทรงเชื่อดั่งคำนะสิ ถึงได้ให้สองเรามาตามหาให้ทั่วทั้งพระราชวัง "

จะติกะวะนาจิว่าจบ ทั้งสองยังคงเดินต่อไป จนกระทั่งถึงทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง พลันจะติกะวะนาจิก็ต้องตะลึงตาค้าง สายตาทั้งคู่ของนางจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เขาผู้นั้นเป็นราชครูวัยแปดสิบชันษาเช่นเดียวกัน หากแต่เป็นราชครูแห่งบุรุษบุรี

" งามงดหมดจดหาใดปาน "

จะติกะวะนาจิพร่ำเพ้อพลางทำเนตรชวนฝันเข้าใส่

" นี่... ราชครู ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบแล้วนะ "

ศริพราฟาร์ว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่