เจ้าฟ้ามูรตี
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1
http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7
http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8
http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9
http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10
http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11
http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13
http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14
http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15
http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16
http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17
http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18
http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19
http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20
http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21
http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22
http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23
http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24
http://pantip.com/topic/31195700
*****************
บทที่ 25
ภายในนครบุรุษบุรี ขณะนั้น กำลังมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร บรรดาประชาชนชาวนครต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังหลวงเพื่อชมการแสดงมากมายที่จะมีขึ้นในวันนั้น
สะขรุมจินห์ในคราบของบุรุษเพศ เดินลัดเลาะตามหมู่บ้านไปด้วยใจระทึก หล่อนแลซ้ายขวาด้วยสีหน้าปลื้มสุขยิ่ง
" หือ... มีหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ ทั้งนั้นเลย หามีสตรีแม้แต่เพียงผู้เดียวไม่ "
สะขรุมจินห์ยังคงเดินต่อไปพร้อมทกับชายตาให้แก่บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ด้วยเหตุที่ตนเองนั้นแต่งกายเป็นบุรุษ การกระทำดังกล่าวจึงดูขัดๆชอบกลอยู่ ประหนึ่งราวกับเป็นพวกผิดเพศกำลังแลหาเหยื่อกระนั้นแล
และแล้ว หล่อนก็เดินมาจนกระทั่งถึงลานกว้างหน้าพระราชวังอันเป็นที่รวมของบรรดาชายทั้งหลายในนคร เสียงไชโยโห่ร้องประกอบกับเสียงมโหรีขับกล่อมได้ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
กลางลาน การแสดงของหนุ่มนักกล้ามกับสิงห์โตร้ายกำลังดำเนินไปท่ามกลางความหวาดกลัวและตื่นเต้นของผู้ชมที่มุงดูอยู่โดยรอบ
บริเวณหน้าพระราชวังหลวงได้รับการจัดไว้เป็นพลับพลาที่ประทับขององค์กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายแห่งนครแห่งนี้
สะขรุมจินห์เพ่งสายตาไปยังจุดที่องค์กษัตริย์ทรงพประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์อันโอฬาร และแล้วนางก็ต้องตะลึงงันในทันที
" เทวดาหนุน !!! ช่างหล่อเลิศประเสริฐศรีอะไรเช่นนี้หนอ "
องค์กษัตริย์แห่งนครบุรุษบุรีพระองค์นี้ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชิยาสวิง อันแปลว่า สวิงที่ทำจากสายธนู มีความหมายถึง การตักตวงสิ่งที่เฉียบคมและเหี้ยมหาญแข็งแกร่งมาไว้ในตน กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมีพระสิริโฉมที่สง่างามองอาจเกินมนุษย์ ดุจพญาราชสีห์คชสารที่ยังความศฤงคารให้เกิดแก่บรรรดาอิสตรีต่างแดนมานักต่อนัก
สะขรุมจินห์ตาค้างอยู่นานพลันหล่อนก็เหลือบไปเห็นเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนคุยหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้อยู่ที่เบื้องหลังแห่งองค์กษัตริย์นั้น บุคคลกลุ่มนั้นแต่งกายด้วยชุดยาว และมีเครื่องประดับมากมายทั้งศรีษะและร่างกาย ราวกับเป็นอิสตรี อักทั้งยังตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมเสียสวดสดอีกด้วย สะขรุมจินห์สงสัยเป็นยิ่งนัก พลางหันไปถามชายชราผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆนาง
" ตาเอ๊ย... ก็ไหนว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษผู้กล้ามิใช่หรือ เหตุไฉนผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังองค์กษัตริย์นั้นจึงเป็นสตรีเล่า "
ชายชราหันมาแล้วเพ่งมองสะขรุมจินห์อยู่ครู่หนึ่งจึงว่า
" เจ้าคงจะมาจากต่างนครจึงไม่รู้ พวกนั้นคือ นังบำเรอวัง ไงล่ะ "
" นังบำเรอวัง ? "
" ใช่... เป็นพวกผู้ชายที่ถูกแปลงเพศแล้วเอาไว้คอยปรณนิบัติองค์กษัตริย์ในยามที่ทรงมีพระประสงค์จะเสพสุขตามพระอารมณ์ "
สะขรุมจินห์หันกลับไปดูจึ่งว่า
" เป็นฉะนี้เอง "
" เจ้ามาจากที่ใดกัน "
ชายชราถามขึ้น สะขรุมจินห์หันมามองคราหนึ่งจึงตอบ
" อ..อ๋อ..คือ ข้า ข้ามาจากทางใต้ จะไปละวิรัฐ "
" ละวิรัฐ... ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดนักนี่ "
" ใช่..ใช่ "
" ดูเจ้าอ้อนแอ้นราวกับเป็นอิสตรี "
" หา... "
สะขรุมจินห์ตะลึงพลางเร่งรีบกลบเกลื่อนท่าทีเป็นเข้มแข็งโดยพลันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
" อะไร...ตา ข้าน่ะบุรุษแท้ทั้งแท่งเทียวนะ "
" ข้าเคยเห็นสตรีสมัยเมื่อข้ายังเด็กๆ ... เหมือนกับเจ้าเลย "
บัดดลกันนั้น...
ประชาชนเกิดการแตกฮือ เสียงหวีดร้องดังก้องไปทั่ว สาเหตุเนื่องจากสิงห์โตที่กำลังแสดงอยู่กลางลานเกิดร้อนและออกอาละวาดไล่ฆ่าผู้คน ฝูงชนต่างวิ่งหนีกันพัลวัน ต่างเบียดเสียดกันหลบหนี
สะขรุมจินห์ถูกผลักให้ล้มลง นางใช้มือปัดป้องฝีเท้าทั้งมวลที่พุ่งตรงลงมาบนร่างกายอย่างไม่ยั้ง
" อ๊ะ... !! ไม่ ไม่ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ อย่า อย่า "
ในไม่ช้า ผู้คนก็วิ่งหนีไปจนหมด เหลือเพียงนางซึ่งล้มอยู่บนพื้นเพียงผู้เดียว มวยผมอันยาวสลวยซึ่งกลบเกลื่อนไว้ได้สยายออก เสื้อผ้าขาดวิ่นจนแลเห็นเนินปทุมถันอันอะร้าอร่ามงามตาน่าชวนมอง
สิงห์โตวิ่งตรงมายังร่างนางพร้อมกับกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
" ไม่... "
นางร้องลั่นด้วยเสียงแหลมเล็ก พร้อมยกมือขึ้นปิดตา
ฉับพลัน บังเกิดเสียงของมีคมพุ่งแทงเนื้อ ตามด้วยเสียงของหนักตกลงสู่พื้น และเสียงคำรามของสิงห์ร้ายที่ดังกัมปนาทไปทั่ว
เสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนดังขึ้นในเวลาต่อมา และในไม่ช้า เมื่อสะขรุมจินห์เปิดมือที่ปิดตาทั้งสองข้างนั้นออก นางก็ได้เห็นซากของสิงห์โตโฉดนอนสงบนิ่งไร้วิญญาณอยู่แทบบาทของนาง ข้างๆกันนั้น มีร่างอันสูงสง่าขององค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงประทับยืนอยู่ พระบาทข้างหนึ่งทรงเหยียบหัวสิงห์โตเอาไว้
ครู่ใหญ่ ทรงยื่นพระหัตถ์มาฉุดร่างสะขรุมจินห์ขึ้นพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลราวหินผาต้องวายุละเมียดสายพิรุณ
" เกือบสิ้นชีวาตม์แล้วไหมล่ะ อีนางเอ๋ย... ไฉนเลยเจ้าจึงปลอมแปลงแฝงเร้นกายาเข้ามาในนครแห่งเรา... เจ้ารู้หรือไม่ว่า โทษทัณฑ์ที่เจ้าจะได้รับคือฉันใด "
" ไม่รู้อันใดเลยเพคะ... "
สะขรุมจินห์ทำเนตรหวานฉ่ำปานสายน้ำในลำขันธ์สวรรค์ธาราแห่งเถมรูประเทศอันงามระหง
" เจ้าจะต้องถูกลงหวาย "
" หา ... !! "
" หมกใส่ตุ่ม "
" อี๊ ... !! "
" ทุ่มลงเหว "
" อย่า ... !! "
" เผาด้วยเปลวไฟ "
" ไม่ ... !! "
" แล้วดองใสไว้ในโหล "
" กรี๊ดดดดดดด "
จบคำ นางทรุดกายลงร่ำไห้ราวกับทารก
กษัตริย์ชิยาสวิงทรงโน้มพระวรกายมาพลางตรัสกระซิบ
" เราล้อเล่น "
สะขรุมจินห์เงยหน้าขึ้นยิ้ม... ซึ่งองค์กษัตริย์ก็ทรงยิ้มตอบคราหนึ่งเช่นกันก่อนตรัส
" แต่เป็นจริง "
" ไม่... "
เสียงสะขรุมจินห์ดังก้องไปทั่วจนกระทั่งทหารหนุ่มสองนายลากนางหายเข้าไปในห้องลงทัณฑ์ซึ่งอยู่หลังวัง
- - - - - - - - -
ณ กองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น
พระนางสุบินสวรรค์ทรงพระดำเนินไปมาด้วยพระอารมณ์ขุ่นข้องรุ่มร้อน
" จะลีลาศอุกอาจให้เมื่อยชงฆ์องค์ไปไย ไฉนไม่มานั่งเสวยพระสุธารสเย็นให้ฉ่ำอุรา "
พระนางศรีตะกุมะลากาตรัสจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันมาทอดพระเนตร
" สะขรุมจินห์มิมามิห่วงหาอาทรเลยล่ะหรือ ศรีตะกุเจ้า "
" กะอีแค่นางไพร่รับใช้เช็ดบาทสิจะบังอาจให้ข้าห่วง เชอะ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงสะบัดพระพักตร์ค้อนคราหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์ทรงเห็นดั่งนั้นก็ทรงยกพระหัตถาขึ้นตบพระอุราคราหนึ่งจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงแหลมเล็ก
" เลอสรวงฤดีดวงทรวงแม่จะแตกตาย มิไยเจ้าจึงมากลายเป็นเช่นนี้ "
พระนางสุบินสวรรค์เสด็จสืบพระบาทแหวกหมู่นางกำนัลไป พระนางศรีตุกุมะลากาทรงผุดขึ้นโดยพลัน
" สุบินสวรรค์ ท่านจะไปหนใด "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงหยุดยืนอยู่กับที่พร้อมทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสู้ฟ้า
" มุ่งบุรุษบุรีในทันใด ตามตัวนางไพร่ของข้าคืน "
จบพระดำรัส พระนางสุบินสวรรค์ทรงสืบพระบาทต่อไปโดยไว พระนางศรีตะกุมะลากาทรงร้องเรียก
" รอข้าด้วย... "
จากนั้น พระนางศรีตะกุมะลากาเสด็จฉวยถาดพระสุธารสเย็นเต้นตามไปติดๆ จนชิดพระสรรพางค์องค์
- - - - - - - - -
ภายในท้องพระโรงพระราชวังบุรุษบุรีอันโอ่อ่าอลังการด้วยศิลปกรรมชายล้วน เหล่าข้าราชบริพาร ทหาร อำมาตย์ ต่างกระจายกันอยู่จนเต็ม แลไปยังหนทางใด ก็เห็นแต่บุรุษทุกเพศวัยที่มาประชุมกันเพื่อร่วมถวายชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาแห่งองค์กษัตริย์ชิยาสวิง
บัดนั้นเอง...
มหาดเล็กหลวงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากราบถวายบังคม
" ทูลสนองฝ่าพระบาท บัดนี้ มีไพร่พลสตรีกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนนาง บุกเข้าพระนครตรงมายังพระราชวังแล้วพระเจ้าข้า "
" สตรี !!! ? "
บุคคลทั้งมวลตะลึงงัน
กษัตริย์ชิยาสวิงเสด็จผุดลึกขึ้นทันควัน พลันใดกันนั้นเอง เสียงมโหรีอันอ่อนหวานก็แว่วมาจากพระทวารท้องพระโรง ก่อนปรากฏร่างพระนางสุบินสวรรค์ พระนางศรีตะกุมะลากา มะจั่นฟาร์ตีฏ์ วาริชฌาภาร์ณา จะติกะวะนาจิ และศริพราฟาร์ ตามด้วยนางกำนัลทั้งมวล
ขบวนสตรีหยุดลง พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเหลือบพระเนตรทอดไปยังองค์กษัตริย์ชิยาสวิงด้วยพระหทัยระทึกระทวยสะทกสะท้านระรานดวงจิต พลางทรงเอียงพระวรกายเข้ากระซิบที่ข้างพระกรรณพระนางสุบินสวรรค์ว่า
" เลอโฉมราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ นี่แหละบุรุษในฝันของเรา "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงยิ้ม หากแต่พระนางสุบินสวรรค์ทรงนิ่งเฉยอยู่ด้วยพระอาการสงบ
สองกษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปเบื้องหน้า ก่อนจะทรงหยุดอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์กษัตริย์ชิยาสวิงนั้น
" ข้าพเจ้าสุบินสวรรค์ ส่วนผู้นั้น ศรีตะกุมะลากา สองเราคือกษัตรียาเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น ณ แดนไกล มุ่งหมายเข้านครของท่านเพื่อตามหาคน "
" ปิติล้นที่ได้ทอดนัยเนตรสู่ท่านทั้งสอง เรา ชิยาสวิง กษัตริย์แห่งบุรุษบุรีขอต้อนรับ เชิญประทับนั่งเสียก่อนสิ "
กษัตริย์ชิยาสวิงทรงผายพระหัตถ์ไปยังพระแท่นทองที่มุมหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์เสด็จไปก่อน ส่วนพระนางศรีตะกุมะลากาสุดจะยับยั้งพระอารมณ์ส่วนลึกที่พิสมัยองค์กษัตริย์ชิยาสวิงพระองค์นั้นเอาไว้ได้ จึงทรงพระดำเนินไปคล้องพระพาหากษัตริย์ชิยาสวิงมา
" ทรงนั่งด้วยกันกับพวกหล่อมฉันสิเพคะ "
กษัตริย์ชิยาสวิงพระเนตรเบิก พลางเผยพระสรวล
" ยินดีไม่มีปัญหาอันใด ไปสิจ๊ะ "
องค์กษัตริย์หนุ่มทรงประทับบนพระแท่น ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยสองกษัตริย์ผู้ทรงศักดิ์ จนแลพระแท่นบัลลังก์คับแคบไปถนัดเนตร
เหล่าอำมาตย์ ข้าราชการบุรุษบุรีล้วนต่างพากันตื่นตาไปกับบรรดาเหล่าอิสตรีมากมายที่เข้ามาในพระนคร บางผู้ก็ลองใช้ไม้เขี่ยเล่นเพราะเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก บางผู้ก็แบกนางกลับบ้าน บางผู้ก็สานไมตรีแนบสนิท บางผู้ก็คิดไม่ซื่อ บางผู้ก็จับมือจับไม้ เหล่าชายทั้งมวลต่างสอดส่ายสายตามองหาสาวถูกใจกันพัลวัน
มโหรีครวญเพลง สาริกาหาคู่ไม่รู้ไปอยู่หนใดช่วยไขขานประสานเสียงสำเนียงเสนาะ ต่อด้วยการเคาะกรับ โดยมีเหล่านังบำเรอวังคอยปรบมือเป็นจังหวะโดยไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก เนื่องจากอิสตรีทั้งหลายมาแย่งบุรุษของพวกตนไปจนหมดสิ้น
- - - - - - - - -
เพลาดึก...
ภายในพระราชวังบุรุษบุรี สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น เดินมาตามทางในปราสาทซึ่วงมืดสลัว มีเพียงแสงเทียนรำไรจากโคมประทีปที่แขวนอยู่เพียงเท่านั้นที่คอยให้ความสว่างส่องนำทาง
สตรีผู้หนึ่งนั้นคือ จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษา ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าคือ ศริพราฟาร์ ราชเลขานุการในพระองค์พระนางสุบินสวรรค์
" นี่ท่านราชครู ก็องค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงบอกพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าทรงไม่เคยพบเห็นสะขรุมจินห์มาก่อนเก่า "
ศริพราฟาร์เอ่ย
" ก็ใช่ แต่พระนางสุบินสวรรค์มิทรงเชื่อดั่งคำนะสิ ถึงได้ให้สองเรามาตามหาให้ทั่วทั้งพระราชวัง "
จะติกะวะนาจิว่าจบ ทั้งสองยังคงเดินต่อไป จนกระทั่งถึงทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง พลันจะติกะวะนาจิก็ต้องตะลึงตาค้าง สายตาทั้งคู่ของนางจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เขาผู้นั้นเป็นราชครูวัยแปดสิบชันษาเช่นเดียวกัน หากแต่เป็นราชครูแห่งบุรุษบุรี
" งามงดหมดจดหาใดปาน "
จะติกะวะนาจิพร่ำเพ้อพลางทำเนตรชวนฝันเข้าใส่
" นี่... ราชครู ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบแล้วนะ "
ศริพราฟาร์ว่า
เจ้าฟ้ามูรตี บทที่ 25
บทประพันธ์ ด๋ง
ปฐมบท และบทที่ 1 http://pantip.com/topic/30945806
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/30953632
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/30959854
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/30972487
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/31008949
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/31062538
บทที่ 7 http://pantip.com/topic/31068381
บทที่ 8 http://pantip.com/topic/31072197
บทที่ 9 http://pantip.com/topic/31080124
บทที่ 10 http://pantip.com/topic/31096418
บทที่ 11 http://pantip.com/topic/31106323
บทที่ 12 http://pantip.com/topic/31110852
บทที่ 13 http://pantip.com/topic/31119767
บทที่ 14 http://pantip.com/topic/31145208
บทที่ 15 http://pantip.com/topic/31153998
บทที่ 16 http://pantip.com/topic/31158597
บทที่ 17 http://pantip.com/topic/31162220
บทที่ 18 http://pantip.com/topic/31167403
บทที่ 19 http://pantip.com/topic/31171824
บทที่ 20 http://pantip.com/topic/31176304
บทที่ 21 http://pantip.com/topic/31182066
บทที่ 22 http://pantip.com/topic/31186088
บทที่ 23 http://pantip.com/topic/31191229
บทที่ 24 http://pantip.com/topic/31195700
*****************
บทที่ 25
ภายในนครบุรุษบุรี ขณะนั้น กำลังมีการจัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างมโหฬาร บรรดาประชาชนชาวนครต่างพากันไปชุมนุมอยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังหลวงเพื่อชมการแสดงมากมายที่จะมีขึ้นในวันนั้น
สะขรุมจินห์ในคราบของบุรุษเพศ เดินลัดเลาะตามหมู่บ้านไปด้วยใจระทึก หล่อนแลซ้ายขวาด้วยสีหน้าปลื้มสุขยิ่ง
" หือ... มีหนุ่มหล่อๆ ล่ำๆ ทั้งนั้นเลย หามีสตรีแม้แต่เพียงผู้เดียวไม่ "
สะขรุมจินห์ยังคงเดินต่อไปพร้อมทกับชายตาให้แก่บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย แต่ด้วยเหตุที่ตนเองนั้นแต่งกายเป็นบุรุษ การกระทำดังกล่าวจึงดูขัดๆชอบกลอยู่ ประหนึ่งราวกับเป็นพวกผิดเพศกำลังแลหาเหยื่อกระนั้นแล
และแล้ว หล่อนก็เดินมาจนกระทั่งถึงลานกว้างหน้าพระราชวังอันเป็นที่รวมของบรรดาชายทั้งหลายในนคร เสียงไชโยโห่ร้องประกอบกับเสียงมโหรีขับกล่อมได้ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
กลางลาน การแสดงของหนุ่มนักกล้ามกับสิงห์โตร้ายกำลังดำเนินไปท่ามกลางความหวาดกลัวและตื่นเต้นของผู้ชมที่มุงดูอยู่โดยรอบ
บริเวณหน้าพระราชวังหลวงได้รับการจัดไว้เป็นพลับพลาที่ประทับขององค์กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งบรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายแห่งนครแห่งนี้
สะขรุมจินห์เพ่งสายตาไปยังจุดที่องค์กษัตริย์ทรงพประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์อันโอฬาร และแล้วนางก็ต้องตะลึงงันในทันที
" เทวดาหนุน !!! ช่างหล่อเลิศประเสริฐศรีอะไรเช่นนี้หนอ "
องค์กษัตริย์แห่งนครบุรุษบุรีพระองค์นี้ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชิยาสวิง อันแปลว่า สวิงที่ทำจากสายธนู มีความหมายถึง การตักตวงสิ่งที่เฉียบคมและเหี้ยมหาญแข็งแกร่งมาไว้ในตน กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมีพระสิริโฉมที่สง่างามองอาจเกินมนุษย์ ดุจพญาราชสีห์คชสารที่ยังความศฤงคารให้เกิดแก่บรรรดาอิสตรีต่างแดนมานักต่อนัก
สะขรุมจินห์ตาค้างอยู่นานพลันหล่อนก็เหลือบไปเห็นเหล่าบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังยืนคุยหัวร่อต่อกระซิกระริกระรี้อยู่ที่เบื้องหลังแห่งองค์กษัตริย์นั้น บุคคลกลุ่มนั้นแต่งกายด้วยชุดยาว และมีเครื่องประดับมากมายทั้งศรีษะและร่างกาย ราวกับเป็นอิสตรี อักทั้งยังตกแต่งใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมเสียสวดสดอีกด้วย สะขรุมจินห์สงสัยเป็นยิ่งนัก พลางหันไปถามชายชราผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างๆนาง
" ตาเอ๊ย... ก็ไหนว่าเมืองนี้มีแต่บุรุษผู้กล้ามิใช่หรือ เหตุไฉนผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังองค์กษัตริย์นั้นจึงเป็นสตรีเล่า "
ชายชราหันมาแล้วเพ่งมองสะขรุมจินห์อยู่ครู่หนึ่งจึงว่า
" เจ้าคงจะมาจากต่างนครจึงไม่รู้ พวกนั้นคือ นังบำเรอวัง ไงล่ะ "
" นังบำเรอวัง ? "
" ใช่... เป็นพวกผู้ชายที่ถูกแปลงเพศแล้วเอาไว้คอยปรณนิบัติองค์กษัตริย์ในยามที่ทรงมีพระประสงค์จะเสพสุขตามพระอารมณ์ "
สะขรุมจินห์หันกลับไปดูจึ่งว่า
" เป็นฉะนี้เอง "
" เจ้ามาจากที่ใดกัน "
ชายชราถามขึ้น สะขรุมจินห์หันมามองคราหนึ่งจึงตอบ
" อ..อ๋อ..คือ ข้า ข้ามาจากทางใต้ จะไปละวิรัฐ "
" ละวิรัฐ... ก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดนักนี่ "
" ใช่..ใช่ "
" ดูเจ้าอ้อนแอ้นราวกับเป็นอิสตรี "
" หา... "
สะขรุมจินห์ตะลึงพลางเร่งรีบกลบเกลื่อนท่าทีเป็นเข้มแข็งโดยพลันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
" อะไร...ตา ข้าน่ะบุรุษแท้ทั้งแท่งเทียวนะ "
" ข้าเคยเห็นสตรีสมัยเมื่อข้ายังเด็กๆ ... เหมือนกับเจ้าเลย "
บัดดลกันนั้น...
ประชาชนเกิดการแตกฮือ เสียงหวีดร้องดังก้องไปทั่ว สาเหตุเนื่องจากสิงห์โตที่กำลังแสดงอยู่กลางลานเกิดร้อนและออกอาละวาดไล่ฆ่าผู้คน ฝูงชนต่างวิ่งหนีกันพัลวัน ต่างเบียดเสียดกันหลบหนี
สะขรุมจินห์ถูกผลักให้ล้มลง นางใช้มือปัดป้องฝีเท้าทั้งมวลที่พุ่งตรงลงมาบนร่างกายอย่างไม่ยั้ง
" อ๊ะ... !! ไม่ ไม่ ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ไม่ อย่า อย่า "
ในไม่ช้า ผู้คนก็วิ่งหนีไปจนหมด เหลือเพียงนางซึ่งล้มอยู่บนพื้นเพียงผู้เดียว มวยผมอันยาวสลวยซึ่งกลบเกลื่อนไว้ได้สยายออก เสื้อผ้าขาดวิ่นจนแลเห็นเนินปทุมถันอันอะร้าอร่ามงามตาน่าชวนมอง
สิงห์โตวิ่งตรงมายังร่างนางพร้อมกับกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
" ไม่... "
นางร้องลั่นด้วยเสียงแหลมเล็ก พร้อมยกมือขึ้นปิดตา
ฉับพลัน บังเกิดเสียงของมีคมพุ่งแทงเนื้อ ตามด้วยเสียงของหนักตกลงสู่พื้น และเสียงคำรามของสิงห์ร้ายที่ดังกัมปนาทไปทั่ว
เสียงไชโยโห่ร้องของผู้คนดังขึ้นในเวลาต่อมา และในไม่ช้า เมื่อสะขรุมจินห์เปิดมือที่ปิดตาทั้งสองข้างนั้นออก นางก็ได้เห็นซากของสิงห์โตโฉดนอนสงบนิ่งไร้วิญญาณอยู่แทบบาทของนาง ข้างๆกันนั้น มีร่างอันสูงสง่าขององค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงประทับยืนอยู่ พระบาทข้างหนึ่งทรงเหยียบหัวสิงห์โตเอาไว้
ครู่ใหญ่ ทรงยื่นพระหัตถ์มาฉุดร่างสะขรุมจินห์ขึ้นพลางตรัสด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลราวหินผาต้องวายุละเมียดสายพิรุณ
" เกือบสิ้นชีวาตม์แล้วไหมล่ะ อีนางเอ๋ย... ไฉนเลยเจ้าจึงปลอมแปลงแฝงเร้นกายาเข้ามาในนครแห่งเรา... เจ้ารู้หรือไม่ว่า โทษทัณฑ์ที่เจ้าจะได้รับคือฉันใด "
" ไม่รู้อันใดเลยเพคะ... "
สะขรุมจินห์ทำเนตรหวานฉ่ำปานสายน้ำในลำขันธ์สวรรค์ธาราแห่งเถมรูประเทศอันงามระหง
" เจ้าจะต้องถูกลงหวาย "
" หา ... !! "
" หมกใส่ตุ่ม "
" อี๊ ... !! "
" ทุ่มลงเหว "
" อย่า ... !! "
" เผาด้วยเปลวไฟ "
" ไม่ ... !! "
" แล้วดองใสไว้ในโหล "
" กรี๊ดดดดดดด "
จบคำ นางทรุดกายลงร่ำไห้ราวกับทารก
กษัตริย์ชิยาสวิงทรงโน้มพระวรกายมาพลางตรัสกระซิบ
" เราล้อเล่น "
สะขรุมจินห์เงยหน้าขึ้นยิ้ม... ซึ่งองค์กษัตริย์ก็ทรงยิ้มตอบคราหนึ่งเช่นกันก่อนตรัส
" แต่เป็นจริง "
" ไม่... "
เสียงสะขรุมจินห์ดังก้องไปทั่วจนกระทั่งทหารหนุ่มสองนายลากนางหายเข้าไปในห้องลงทัณฑ์ซึ่งอยู่หลังวัง
- - - - - - - - -
ณ กองทัพเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น
พระนางสุบินสวรรค์ทรงพระดำเนินไปมาด้วยพระอารมณ์ขุ่นข้องรุ่มร้อน
" จะลีลาศอุกอาจให้เมื่อยชงฆ์องค์ไปไย ไฉนไม่มานั่งเสวยพระสุธารสเย็นให้ฉ่ำอุรา "
พระนางศรีตะกุมะลากาตรัสจบ พระนางสุบินสวรรค์ทรงหันมาทอดพระเนตร
" สะขรุมจินห์มิมามิห่วงหาอาทรเลยล่ะหรือ ศรีตะกุเจ้า "
" กะอีแค่นางไพร่รับใช้เช็ดบาทสิจะบังอาจให้ข้าห่วง เชอะ "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงสะบัดพระพักตร์ค้อนคราหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์ทรงเห็นดั่งนั้นก็ทรงยกพระหัตถาขึ้นตบพระอุราคราหนึ่งจึ่งตรัสด้วยพระสุรเสียงแหลมเล็ก
" เลอสรวงฤดีดวงทรวงแม่จะแตกตาย มิไยเจ้าจึงมากลายเป็นเช่นนี้ "
พระนางสุบินสวรรค์เสด็จสืบพระบาทแหวกหมู่นางกำนัลไป พระนางศรีตุกุมะลากาทรงผุดขึ้นโดยพลัน
" สุบินสวรรค์ ท่านจะไปหนใด "
พระนางสุบินสวรรค์ทรงหยุดยืนอยู่กับที่พร้อมทรงเชิดพระพักตร์ขึ้นสู้ฟ้า
" มุ่งบุรุษบุรีในทันใด ตามตัวนางไพร่ของข้าคืน "
จบพระดำรัส พระนางสุบินสวรรค์ทรงสืบพระบาทต่อไปโดยไว พระนางศรีตะกุมะลากาทรงร้องเรียก
" รอข้าด้วย... "
จากนั้น พระนางศรีตะกุมะลากาเสด็จฉวยถาดพระสุธารสเย็นเต้นตามไปติดๆ จนชิดพระสรรพางค์องค์
- - - - - - - - -
ภายในท้องพระโรงพระราชวังบุรุษบุรีอันโอ่อ่าอลังการด้วยศิลปกรรมชายล้วน เหล่าข้าราชบริพาร ทหาร อำมาตย์ ต่างกระจายกันอยู่จนเต็ม แลไปยังหนทางใด ก็เห็นแต่บุรุษทุกเพศวัยที่มาประชุมกันเพื่อร่วมถวายชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาแห่งองค์กษัตริย์ชิยาสวิง
บัดนั้นเอง...
มหาดเล็กหลวงวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามากราบถวายบังคม
" ทูลสนองฝ่าพระบาท บัดนี้ มีไพร่พลสตรีกว่าหนึ่งล้านเก้าแสนนาง บุกเข้าพระนครตรงมายังพระราชวังแล้วพระเจ้าข้า "
" สตรี !!! ? "
บุคคลทั้งมวลตะลึงงัน
กษัตริย์ชิยาสวิงเสด็จผุดลึกขึ้นทันควัน พลันใดกันนั้นเอง เสียงมโหรีอันอ่อนหวานก็แว่วมาจากพระทวารท้องพระโรง ก่อนปรากฏร่างพระนางสุบินสวรรค์ พระนางศรีตะกุมะลากา มะจั่นฟาร์ตีฏ์ วาริชฌาภาร์ณา จะติกะวะนาจิ และศริพราฟาร์ ตามด้วยนางกำนัลทั้งมวล
ขบวนสตรีหยุดลง พระนางศรีตะกุมะลากาทรงเหลือบพระเนตรทอดไปยังองค์กษัตริย์ชิยาสวิงด้วยพระหทัยระทึกระทวยสะทกสะท้านระรานดวงจิต พลางทรงเอียงพระวรกายเข้ากระซิบที่ข้างพระกรรณพระนางสุบินสวรรค์ว่า
" เลอโฉมราวเทพเจ้าสร้างสรรค์ นี่แหละบุรุษในฝันของเรา "
พระนางศรีตะกุมะลากาทรงยิ้ม หากแต่พระนางสุบินสวรรค์ทรงนิ่งเฉยอยู่ด้วยพระอาการสงบ
สองกษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปเบื้องหน้า ก่อนจะทรงหยุดอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์กษัตริย์ชิยาสวิงนั้น
" ข้าพเจ้าสุบินสวรรค์ ส่วนผู้นั้น ศรีตะกุมะลากา สองเราคือกษัตรียาเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น ณ แดนไกล มุ่งหมายเข้านครของท่านเพื่อตามหาคน "
" ปิติล้นที่ได้ทอดนัยเนตรสู่ท่านทั้งสอง เรา ชิยาสวิง กษัตริย์แห่งบุรุษบุรีขอต้อนรับ เชิญประทับนั่งเสียก่อนสิ "
กษัตริย์ชิยาสวิงทรงผายพระหัตถ์ไปยังพระแท่นทองที่มุมหนึ่ง พระนางสุบินสวรรค์เสด็จไปก่อน ส่วนพระนางศรีตะกุมะลากาสุดจะยับยั้งพระอารมณ์ส่วนลึกที่พิสมัยองค์กษัตริย์ชิยาสวิงพระองค์นั้นเอาไว้ได้ จึงทรงพระดำเนินไปคล้องพระพาหากษัตริย์ชิยาสวิงมา
" ทรงนั่งด้วยกันกับพวกหล่อมฉันสิเพคะ "
กษัตริย์ชิยาสวิงพระเนตรเบิก พลางเผยพระสรวล
" ยินดีไม่มีปัญหาอันใด ไปสิจ๊ะ "
องค์กษัตริย์หนุ่มทรงประทับบนพระแท่น ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยสองกษัตริย์ผู้ทรงศักดิ์ จนแลพระแท่นบัลลังก์คับแคบไปถนัดเนตร
เหล่าอำมาตย์ ข้าราชการบุรุษบุรีล้วนต่างพากันตื่นตาไปกับบรรดาเหล่าอิสตรีมากมายที่เข้ามาในพระนคร บางผู้ก็ลองใช้ไม้เขี่ยเล่นเพราะเพิ่งเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก บางผู้ก็แบกนางกลับบ้าน บางผู้ก็สานไมตรีแนบสนิท บางผู้ก็คิดไม่ซื่อ บางผู้ก็จับมือจับไม้ เหล่าชายทั้งมวลต่างสอดส่ายสายตามองหาสาวถูกใจกันพัลวัน
มโหรีครวญเพลง สาริกาหาคู่ไม่รู้ไปอยู่หนใดช่วยไขขานประสานเสียงสำเนียงเสนาะ ต่อด้วยการเคาะกรับ โดยมีเหล่านังบำเรอวังคอยปรบมือเป็นจังหวะโดยไม่ใคร่เต็มใจเท่าใดนัก เนื่องจากอิสตรีทั้งหลายมาแย่งบุรุษของพวกตนไปจนหมดสิ้น
- - - - - - - - -
เพลาดึก...
ภายในพระราชวังบุรุษบุรี สองสตรีชาวเถมรูภูธราอัศวชิวหานิศาแคว้น เดินมาตามทางในปราสาทซึ่วงมืดสลัว มีเพียงแสงเทียนรำไรจากโคมประทีปที่แขวนอยู่เพียงเท่านั้นที่คอยให้ความสว่างส่องนำทาง
สตรีผู้หนึ่งนั้นคือ จะติกะวะนาจิ ราชครูหญิงวัยแปดสิบชันษา ส่วนอีกหนึ่งนั้นเล่าคือ ศริพราฟาร์ ราชเลขานุการในพระองค์พระนางสุบินสวรรค์
" นี่ท่านราชครู ก็องค์กษัตริย์ชิยาสวิงทรงบอกพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าทรงไม่เคยพบเห็นสะขรุมจินห์มาก่อนเก่า "
ศริพราฟาร์เอ่ย
" ก็ใช่ แต่พระนางสุบินสวรรค์มิทรงเชื่อดั่งคำนะสิ ถึงได้ให้สองเรามาตามหาให้ทั่วทั้งพระราชวัง "
จะติกะวะนาจิว่าจบ ทั้งสองยังคงเดินต่อไป จนกระทั่งถึงทางเลี้ยวแห่งหนึ่ง พลันจะติกะวะนาจิก็ต้องตะลึงตาค้าง สายตาทั้งคู่ของนางจับจ้องไปที่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เขาผู้นั้นเป็นราชครูวัยแปดสิบชันษาเช่นเดียวกัน หากแต่เป็นราชครูแห่งบุรุษบุรี
" งามงดหมดจดหาใดปาน "
จะติกะวะนาจิพร่ำเพ้อพลางทำเนตรชวนฝันเข้าใส่
" นี่... ราชครู ท่านก็ปาเข้าไปแปดสิบแล้วนะ "
ศริพราฟาร์ว่า