(รีวิว) 5 เดือน กับการพิชิตน้ำหนักจาก 110KG. สู่... ให้ทันวันรับปริญญา

แชร์ประสบการณ์การลดน้ำหนักของผมที่เคยหนักถึง 110 กิโลกรัม ฮึดสู้ลดน้ำหนักเพื่อให้ทันวันรับปริญญาของตัวเอง

ผมชื่อโจ อายุ 22 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพิ่งรับปริญญาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา เพื่อนๆคนไหนที่มีน้ำหนักตัวเยอะและลองลดน้ำหนักมาหลายวิธีแล้วก็ไม่เห็นผลเท่าที่ควร งั้นลองมาดูเรื่องราวของผมที่ตัดสินใจลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองจากคนที่อ้วนมาก ๆ ให้มีรูปร่างที่ดีเพื่อให้ทันวันสำคัญในชีวิตอย่าง วันรับปริญญา ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น โดยไม่ใช้ยาหรืออาหารเสริมลดความอ้วนใดๆ เราไปดูพร้อมกันเลยครับว่าเรื่องราวของผมเริ่มต้นกันอย่างไร



โดยธรรมชาติแล้วผมเป็นคนโครงร่างใหญ่ ลุคเข้ม ๆ หนวดเคราเฟิ้ม ขนเยอะ สมัยเรียนเพื่อนหาชื่อมาเรียกสารพัด เช่น หมีควาย ช้าง คิงคอง เป็นต้น แค่ขึ้นรถวินมอเตอร์ไซค์ เขาก็ไม่ค่อยอยากรับ แถมบวกราคาเพิ่มด้วย



สมัยเด็ก ๆ ผมเป็นคนผอมมาก แม่ถึงกับต้องสรรหาอาหารมาบำรุงสารพัด กระทั่งย้ายโรงเรียนช่วง ป.3 ตอนนั้นเองเป็นจุดเริ่มต้นของความอ้วน เพราะอาหารกลางวันที่โรงเรียนใหม่ตักได้ไม่อั้น แล้วยิ่งผมเป็นคนชอบดูหนังอยู่บ้าน ก็มีแต่กินกับนอน ไม่ชอบออกกำลังกายและเล่นกีฬาไม่ค่อยเป็นด้วย จนผมขึ้น ป.4 แม่จึงส่งไปเรียนว่ายน้ำ แต่ก็ไม่ได้ว่ายเพื่อลดน้ำหนักจริงจังเท่าไร เพราะไปว่ายเอาสนุกมากกว่า พอถึง ป.5 ก็ได้ไปเรียนเทควันโด แต่ไม่นานก็เลิกไป



พอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 เพื่อนนัดไปกินหมูกระทะบ่อยมาก แล้วก็เข้ามาเป็นสมาชิกชมรมคาราเต้ของมหาวิทยาลัย ซ้อมสองเดือนแรก น้ำหนักลดไป 13 กิโลกรัม แต่หลังจากขึ้นปี 2 ก็ไม่ค่อยได้เล่นเท่าไร จนน้ำหนักกลับขึ้นมาอีก

สมัยเฟรชชี่ปี 1 ยังผิวดำๆ หน้ามัน สิวเขรอะๆ


เป็นสมาชิกชมรมคาราเต้ของมหาลัย ซ้อมสองเดือนแรก ลดไป 13KG. หลังจากขึ้นปี 2 ก็ไม่ค่อยได้เล่น น้ำหนักก็ขึ้นกลับมาอีก


และเมื่อเดือน พ.ค. 56 จบปี 3 น้ำหนักสูงสุดที่เคยชั่งอยู่ที่ 112KG. และกลายเป็นคนที่อ้วนที่สุดในกลุ่ม



เริ่มลดน้ำหนักจริงจังครั้งแรก ช่วง เดือน ก.ค. ปี 56 (เรียนปี 4 เทอมต้น)

ผมกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็ชวนกันเข้าฟิตเนสที่มหาวิทยาลัย ซึ่งเสียค่าเข้าครั้งละ 20 บาท ทีแรกลองเดินบนลู่วิ่ง แต่ไม่เท่าไรก็รู้สึกปวดขา เลยเปลี่ยนมาเล่นเครื่องคาร์ดิโอแบบเดินอากาศ ช่วงแรกก็เดินได้ 30 นาที พอพักก็มายกเวทนิดหน่อย แล้วปั่นจักรยานต่อ 15 นาที ส่วนใหญ่จะไปกันหลังเลิกเรียน 3-4 วันต่อสัปดาห์ แต่ไปได้ประมาณเดือนเดียว ก็ต้องผ่าไส้ติ่ง ทำให้บวมน้ำเกลือและต้องรักษาตัวจากแผลผ่าตัดอีกเกือบเดือน ทำให้กลับมาอ้วนอีก

จนมาเทอมปลาย ช่วงฝึกงาน 4 เดือน (ธ.ค. 56 - มี.ค. 57)

ผมต้องไปฝึกงานในกองถ่ายภาพยนตร์ของบริษัทหนึ่งในฝ่ายโปรดักชั่น ซึ่งเป็นงานที่ใช้พลังงานทั้งวัน ต้องอยู่สตูดิโอตั้งแต่ตี 5 ถึงเที่ยงคืน ได้นอนพักผ่อนก็น้อย ถ้ากินน้อยหรือไม่กิน ก็จะไม่มีแรง เลยต้องกินจนอิ่มเต็มที่ ทำให้น้ำหนักขึ้นเอาๆ พอหลังจากฝึกงานเสร็จ ก็ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนจนกว่าจะถึงช่วงทำเรื่องจบรับปริญญา

(พ.ค. 57 ช่วงซัมเมอร์ของมหาลัย)
ตอนนั้นได้มีเพื่อนคนหนึ่งมาชวนไปเล่นฟิตเนสที่มหาวิทยาลัย ซึ่งผมดีใจที่มีคนไปเป็นเพื่อน เพราะตอนนั้นรู้สึกอ้วนเกินไปและอึดอัด น้ำหนักอยู่ที่ 110 กิโลกรัม จึงลองสู้อีกสักตั้ง แต่หลังจากนั้นสักพักเพื่อนที่มาด้วยกันก็ไม่มาแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจไปเล่นคนเดียว ตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ เพิ่มเวลามากขึ้นจากเล่นคาร์ดิโอ 30 นาที เป็น 45 นาที และปรับความชันหนักบ้างผ่อนบ้าง รวมถึงการคุมอาหาร ที่ไม่ถึงกับกินคลีน แต่เลือกอาหารกิน ทั้งงดของหวาน ของมัน ของทอด และโชคดีที่ผมเลิกดื่มน้ำอัดลมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

จุดเริ่มต้นครั้งสำคัญ (10 มิ.ย 57)

กลับมาเล่นเหมือนที่เคยเล่นเมื่อก่อน ลองสู้อีกสักตั้ง



ในช่วงนั้นเพื่อนๆเริ่มคุยกันเรื่องหาช่างถ่ายภาพวันรับปริญญาที่จะมีในเดือน พ.ย. จึงคิดว่าอยากให้รูปออกมาดูดี เพราะเพื่อนเคยล้อว่าถ้าผมใส่ชุดครุย คงจะเหมือนยักษ์แฮกริดในภาพยนตร์เรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ผมจึงตั้งใจจะลดน้ำหนักให้ทันวันรับปริญญา โดยตั้งเป้าไว้ที่ 80 กิโลกรัม

สัปดาห์แรกน้ำหนักลดไป 2KG. ก็มีกำลังใจจนเล่นครบเดือนนึง ลดไปรวมๆ 6KG. (110KG. > 104KG.)



จนกระทั่งความซวยมาเยือน หลังจากรุ่นน้องเรียนสอบซัมเมอร์เสร็จ ฟิตเนสปิด และจะปิดปรับปรุงย้ายไปตึกใหม่ เปิดอีกทีช่วงเปิดเทอมเดือน ส.ค. เลื่อนตาม AEC ทีนี้คิดหนักว่าจะเอาไงต่อ หยุดแค่นี้ หรือหาที่ใหม่?

(ก.ค. 57)
ฟิตเนสของมหาวิทยาลัยปิดปรับปรุง ทำให้คิดหนักว่าจะหยุดแค่นี้หรือหาที่ใหม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหายิมที่ใหม่ใกล้ ๆ ในละแวกนี้ ซึ่งเป็นยิมที่นักเพาะกายทีมชาติมาเปิด เข้าไปแรก ๆ ก็อายทำตัวไม่ถูก ไม่มีความมั่นใจ แล้วพี่เจ้าของยิมก็เดินมาให้คำแนะนำว่าอ้วนแบบนี้ให้เดินเร็วไปก่อนยังไม่ต้องวิ่ง เพราะจะมีปัญหาที่ข้อ ให้เบิร์นสัก 30-45 นาที (เพราะต่ำกว่านั้นร่างกายจะไม่ดึงพลังงานจากไขมันมาเบิร์น) แล้วให้กินอาหารครบทุกมื้อ ปริมาณเท่าเดิม ห้ามลดหรืออดอาหาร



เมื่อวิ่งเสร็จก็เปลี่ยนมาเล่นเวทบ้าง เล่นแบบรวม ๆ สลับกัน เพื่อให้ผิวหนังกระชับไม่ย้วย ผมจะคอยสังเกตคนอื่นๆที่เขาเล่น มีข้อสงสัยก็เดินไปสอบถามบ้างนิดหน่อย จนระยะหลังเริ่มปรับมาเล่นทีละส่วน แล้วก็มีปั่นจักรยานปิดท้าย ทำแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ จนปัจจุบันวิ่งเร็วได้ ไม่มีปัญหาเรื่องปวดข้อ พอวิ่งบนลู่บ่อยๆก็เริ่มเบื่อ จึงไปวิ่งรอบมหาวิทยาลัยช่วงเย็น ๆ ประมาณ 6-7 รอบ เปลี่ยนบรรยากาศ



ส่วนเรื่องการกิน ผมได้ยินจากพี่ในยิมคุยกัน ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร เช่น ในมื้อ ๆ หนึ่ง ควรกินเนื้อสัตว์ที่มีโปรตีน 60 เปอร์เซ็นต์ มีผักอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ ต้องไม่กินหวาน ไม่มัน ไม่ทอด และงดเค็ม ส่วนมื้อเย็นให้งดคาร์โบไฮเดรตหรือพวกแป้ง นับแต่นั้นมาผมก็เลือกกินอาหารมากกว่าเดิมและดีที่ผมชอบกินผักอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหา แต่ผมไม่มีเวลาทำอาหารใส่กล่องไปทาน เลยต้องกินอาหารที่ร้านตามสั่ง โดยบอกเขาว่าขอไม่ใส่น้ำมันในพวกอาหารผัด ให้ผัดกับน้ำแทน เอารสอ่อน ๆ ไม่ต้องเค็ม เพราะไม่อยากให้ตัวบวมน้ำ เพราะทานอาหารที่มีโซเดียมสูง

สำหรับมื้อเย็นผมก็งดคาร์โบไฮเดรต แล้วกินพวกผักและเนื้อสัตว์ โดยวิธีต้มหรือนึ่ง อย่าง ไข่ขาวต้ม อกไก่ย่างลอกหนัง ปลานึ่ง และสุกี้ไก่น้ำ โดยกินไม่เกินหนึ่งทุ่มและตรงเวลาทั้งสามมื้อ ทำแบบนี้ตลอด 5 เดือน ซึ่งช่วงดึก ๆ ตอนแรกก็หิว เลยหาแอปเปิลเก็บไว้ทานลูกหนึ่ง หลังจากนั้นงดอาหาร แล้วก็ดื่มแต่น้ำเปล่า ส่วนพวกนม โยเกิร์ต ก็เลือกพวกไขมัน 0 เปอร์เซ็นต์ ทั้งรสจืดและรสธรรมชาติ

หากอดทนผ่านเดือนแรกไปได้ ก็จะรู้สึกชินไปเอง หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นโรคจิตเวลาเลือกกิน แต่สำหรับผมไม่ถึงกับนับแคลอรีนะ แต่มีพิจารณาดูบ้าง แต่คือให้เรามองว่าอะไรควรกินหรือไม่ควรกิน



ระยะ 2-3 เดือนแรก เข้ายิม 6 วัน/สัปดาห์ จันทร์-เสาร์ รู้สึกเล่นหนักไป จึงรู้สึกเพลียบ่อยๆ พักผ่อนก็น้อย ทำให้ดูโทรม
หลังจากนั้นก็ปรับเป็นเล่น 5 วัน/สัปดาห์ จันทร์-พุธ หยุด พฤ. กลับมาเล่น ศุกร์-เสาร์ ทำให้ค่อยดีขึ้น




ยอมรับว่ามีท้อบ้างครับ แต่... "ความอดทน" คือ "สิ่งสำคัญที่สุด" แต่ถ้าเหนื่อยก็พักครับ อย่าหักโหม


ชุดคาราเต้ตัวเดิม แต่ตัวคน..ไซส์ใหม่


เมื่อกลับไปใส่ชุดนักศึกษาอีกครั้ง ถึงกับต้องซื้อใหม่ยกชุด ในงานเข้าพิธีรับมอบทุนเรียนดี (ส.ค. 57)
เพื่อนๆและอาจารย์ได้เจอก็ตกใจกันหมดครับ เวลามีคนทักว่าผอมลง ก็ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อเรื่อยๆ


มีวินัยแบบนี้อยู่ 5 เดือน น้ำหนักลดไปถึง 33KG. เหลือ 77KG. (จากที่ตั้งเป้าไว้ 80KG.)

และในที่สุดวันรับปริญญา ได้มีรูปเท่ๆกับคนอื่นอย่างที่ตั้งใจ (พ.ย. 57)




ทีนี้พี่วินก็ไม่มองหัวจรดเท้าอีกต่อไป แถมไม่บวกเพิ่มราคา


จากที่เคยใส่เสื้อไซส์ XXL และกางเกงเอวขนาด 42 นิ้ว ทำให้ตอนนี้สามารถใส่เสื้อไซส์ M-L กับกางเกงเอวขนาด 32 นิ้วได้ และทำให้หาเสื้อผ้าใส่ง่ายขึ้น ทำอะไรก็คล่องตัวมากขึ้น

แม้จะลดมาได้ถึงขนาดนี้ เริ่มจากวิธีถูกบ้างผิดบ้าง เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ช่วงนี้น้ำหนักก็คงตัวอยู่ที่ 77-78 กิโลกรัม ไม่ขึ้นไม่ลง

ปัจจุบันก็ยังคงเข้ายิมเป็นกิจวัตร และยังคงเหลือส่วนหน้าท้องบ้าง รวมถึงปัญหาผิวหนังแตกลาย จึงหันไปเน้นเล่นเวทสร้างกล้ามเนื้อให้กระชับมากขึ้น โดยเล่นวันละ 1-2 ส่วน สลับโปรแกรมกัน พร้อมคาร์ดิโอหนักเบาสลับวัน และเปลี่ยนจากทานอาหารหลัก 3 มื้อเป็น 4 มื้อ ลดคาร์บเน้นโปรตีน จากนม ไข่และอกไก่เป็นหลัก

รูปปัจจุบัน กลางปี 2558 รู้สึกว่าตัวหนาใหญ๋ขึ้นกว่าตอนลดแบบไม่ได้เน้นเล่นเวท




อย่ามัวแต่รอคนอื่น ทำเพื่อตัวเองครับ แค่เพียงอดทนและตั้งใจ อย่าลืมนะครับ "คนเรามักจะสนใจ คนที่รู้จักใส่ใจตัวเอง"

เมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวการลดน้ำหนักของผมแล้ว เพื่อนๆก็ลองเอาไปปรับใช้กับตัวเองดู และที่สำคัญควรมีวินัยด้วย เชื่อเลยว่าใช้เวลาไม่นาน เพื่อนๆเองก็สามารถลดน้ำหนักและกลับมาหุ่นดีได้แน่นอนครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่