หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (28)...THANKSGIVING
จากการบอกกันปากต่อปาก วันนี้ทุกคนมารวมกันที่ห้องน้าวิว ศูนย์บัญชาการประจำหอ เวลาหกโมง
“เอ! ขาดใครอีกนะพี่น้อย”
“รอน้องดวงเนตรแป๊บเดียวค่ะ”
“มาแล้วครับ” เสียงดังมาแต่ไกลเหมือนแตรไซเรน ทั้งคู่ปรากฏตัวพร้อมกันหกโมงตรง
“แกมาช้าต้องให้เนตรรอใช่ไหม” น้าวิวเอ็ด
“ผมสิครับรอเขา...ผู้หญิงเป็นอย่างนี้แหละครับกว่าจะแต่งตัวเสร็จ”
“โอ๊ย! เจ็บ” ดวงเนตรแอบหยิกที่แขนพี่หนอย
“ใครเหยียบหมาแมวที่นี่หรือไงร้องลั่นเชียว“
“คนครับ ๆ อย่าลดเกรดผมลงเป็นแมวตัวเล็กสิ” ทุกคนหัวเราะเพราะท่าทางแมวข่วนของหน่อยทำใส่น้าวิว
“พอดีกว่าค่ะ อย่ามัวสนุกกันอยู่เลยค่ะ เดี๋ยวคนแก่จะรอไม่ดีนะคะ” วันนี้พี่น้อยแต่งชุดหมีตาสก๊อตลายเขียว ขาว เสื้อยืดแขนยาวตัวในสีแดง
หนอยเดินเข้าไปแซะขณะเดินใกล้จะถึงอาคารที่จัดงาน
“พี่น้อยเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ วันนี้เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่วันคริสต์มาสนะครับ”
พี่น้อยหันมาฟาดแขนเพี้ยะแล้วอมยิ้ม เจ๊ใหญ่เดินติด ๆ กันหันมาจิกหนอยต่อ
“พี่น้อยเขาพอใจใส่ชุดอะไร มันหนักหัวแกเหรอหนอย”
“เปล่า ๆ ครับ ผมจะชมว่าสวยดี” พี่น้อยยิ้มตาหยี มองดวงเนตรซึ่งกำลังยิ้มอยู่ด้วย ทั้งสองคนนี้เกิดมาเป็นคู่ต่อกรกันได้สนุกกว่าทุกคู่
“ถึงแล้วค่ะ ขอความเป็นระเบียบด้วยนะคะ” คุณครูพี่น้อยพูดเตือนเพื่อให้ทุกคนอยู่ในกริยาที่สุภาพ
“ต้องตั้งแถวเรียงหนึ่งไหมครับ” พี่น้อยยิ้มไม่ตอบด้วยเพราะรู้ว่าโดนหนอยแย่
“Hello! Everyone ” หนอยกล่าวกับทุกคน ธรรมเนียมทักทายมีทั้งเชกแฮนด์ การโอบกอดและจุ๊บเบา ๆ ที่แก้ม ก็เริ่มขึ้นตามมาด้วยบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุก ๆ ดิบ ๆ ลุงพอลเริ่มก่อน
“หนุ่มหน้าตาหล่อนี้เป็นแฟนนิคกี้ใช่ไหม” แล้วแกก็พาไปแนะนำว่าที่หลานเขยของแกจนทั่วทุกคน คนชราทั้งหมดลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าโอเค
เสียงล้อกันแหย่กันดังมาจากทางกลุ่มผู้สูงวัย โดยมีหนอยเป็นผู้สร้างความบันเทิง ก่อนการเสิร์ฟอาหารมีการสวดขอบคุณพระเจ้า
แล้วถึงเวลาเสิร์ฟอาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ อาหารมีไก่งวงสองตัวใหญ่ ฟรุตเค้ก
ซินนามอนที ...ชาร้อนรสอบเชย พั้นซ์ สลัดถาดใหญ่ ทั้งพูดทั้งกินกันสนุกสนานระหว่างคนต่างเชื้อชาติ แต่มีภาษาใจเดียวกัน คือความรักที่เราแบ่งปัน
ให้แก่มวลมนุษย์ ทุกคนอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า และก็ได้เวลาที่นักศึกษาไทยต้องกล่าวลา เพราะเวลาสอบเทอมปลายใกล้เข้ามาทุกขณะ ดวงเนตรหรือ
นิคกี้ขวัญใจของกลุ่มสูงวัยเดินสายลาทุกคนด้วยรอยยิ้มและอ้อมกอด
“พวกเราสนุกมาก อาหารอร่อย และขอขอบคุณแทนเพื่อน ๆ ทุกคนค่ะ”
คณะทยอยกลับออกมาพอพ้นตัวอาคาร อากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก ระหว่างงานเลี้ยงเป็นเพราะอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ในตัวอาคารเปิด
ฮีตเตอร์ อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกคนจึงเร่งฝีเท้า ครู่เดียวก็ถึงหอพัก น้าวิวให้ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว พวกหอโดมิโนวิ่งกันหน้าตั้งเข้าหอเพราะ
ความหนาว
ดวงเนตรอาบน้ำอุ่นอีกรอบชโลมด้วยเบบี้ออยล์ แปรงฟัน กราบพระ สวดมนต์ เงยหน้ามองภาพถ่าย เตี่ย แม่ ตัวเธอ และน้อง ๆ ส่วนอีกภาพ
เป็นภาพขาว ดำที่ดวงเนตรถ่ายคู่กับพี่หนอยชุดไทยในงาน International Festival เขาเอาใส่กรอบมาไว้บนชั้นด้วย ด้านล่างภาพเขียนใว้ว่า ”The
most beloved woman of mine” ...แด่หญิงอันเป็นสุดที่รักของฉัน เธอล้มตัวลงนอนได้ทั้งกลิ่นแป้งอ่อน ผสมกลิ่นโคโลญจน์จาง ๆ พาความคิดฝัน
ของดวงเนตรล่องลอยและหลับไป
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของเทอมปลายภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง ดวงเนตรและนักศึกษาส่วนใหญ่ อดหลับอดนอน เพียงคำเดียวที่อยู่ในใจ
เหมือนกันคือ
“สู้ๆ ” วิชาสุดท้ายของดวงเนตรคือวิชาการตลาด การสอบเป็นแบบเปิดตำราสอบ ...Open book มีหัวข้อให้เลือกห้าข้อ ให้ทำสามข้อ เป็นการเขียนอธิบาย ดวงเนตรส่งข้อสอบเกือบเป็นคนสุดท้าย เธอยื่นข้อสอบให้ดอกเตอร์จินนี่ อาจารย์คนนี้มีความประทับใจกับเด็กต่างชาติโดย
เฉพาะเด็กเอเชีย เพราะทุกคนส่วนใหญ่กวาด A จากวิชาที่เธอสอนเสมอ เธอพูดเสียงเบากับดวงเนตรว่า...ขอให้โชคดีนะ ดวงเนตรยิ้มสวยแล้วกล่าว
ขอบคุณ เธอเปิดข้อสอบแล้วคิดว่าผ่านฉลุยแน่เพราะตรงกับที่คาดไว้
“เขาออกมากันเกือบหมดแล้ว ทำไม่ได้เหรอครับ” หนอยถามอย่างห่วงใย
“ค่ะยากมาก” พูดจบดวงเนตรก็ก้มหน้าลง หนอยเชยคางขึ้นจ้องหน้าเห็นรอยยิ้มเลยรู้ว่าโดนหลอก
ดวงเนตรออกเสียงเบา ๆ “ไชโย” เธอเอามือโหนคอหนอย แล้วกระโดดไปรอบ ๆ หน้าตาแจ่มใสรอยยิ้มสดชื่น ชัวร์ A
“ค่ะ”
“อะไรกันนักหนานะเนี่ยทั้งสวยทั้งเก่ง”
“เก่งต้องยกความดีให้คนติวค่ะ”
“วิชาอื่นเนตรไม่รู้ แต่เนตรทำดีที่สุดแล้วค่ะ”
“ไปกันเถอะพี่หนอยจะพาไปขับรถชมวิวข้างบนจะได้พักสายตา”
รถขับวนขึ้นมาที่จุดชมวิว สีสันสดสวยของใบไม้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงกิ่งก้านยืนต้นเดียวดายแห้งแล้ง แทรกตัวอยู่ตามสนสีเขียว
หลากหลายพันธุ์ ลมพัดกระโชกเป็นช่วงๆ หนอยถอดแจ็คเก็ตหนังตัวหนาสีดำสวมทับให้
“พี่หนอยไม่หนาวเหรอคะ” เธอจับมือพี่หนอยบีบเบา ๆ
“มือเย็นมากเลยค่ะ”
“งั้นขอกอดหน่อย” หนอยหาข้ออ้าง ดวงเนตรกำลังยืนกอดอกเพราะหนาว แต่อ้อมแขนที่สอดมาโอบไว้ ทำให้อุ่นขึ้น เขาเอามือเสยผมข้างแก้ม
ออกแนบใบหน้าชิดแก้มดวงเนตร
“อุ่นขึ้นไหมครับ”
*** แก้มนวลนาง หอมปาน ดอกแก้ว
กอดไว้แล้ว ดอกแก้ว ที่ปรารถนา
จากนี้ไป จะโอบไว้ ไม่จากลา
ปรารถนา ให้นางอยู่ คู่ข้างกาย***
ทั้งสองทอดสายตาออกไปไกลลิบ ในความเหงาและโดดเดี่ยวของต้นเมเบิลและต้นโอ๊คที่เหลือเพียงกิ่งก้านในยามนี้ แม้ดูเหงาแต่ทั้งสอง
ใจเติมความรักให้กันจนเปี่ยมล้น กับความเงียบสงบของอากาศที่หนาวเย็น ตะวันโบกมือให้ท้องฟ้า ก่อนลดตัวลาลับหายไป
“กลับกันเถอะค่ะเดี๋ยวเนตรจะทำอาหารจานพิเศษให้ทานนะคะ”
ครู่เดียวหนอยก็ขับรถมาถึงหอ ดวงเนตรขอตัวอาบน้ำ หนอยถามว่าจะให้เตรียมอะไรให้ไหม เธอบอกให้หนอยพักผ่อน เขาเลยถือโอกาสขึ้น
ไปนอนกลิ้งบนเตียง ครู่ใหญ่เธอออกมาในชุดลำลอง...กางเกงยืดเนื้อหนาสีดำและเสื้อยืดแขนยาวสีม่วงอ่อน ข้างหลังสกีนเป็นรูปช้างตัวน้อย และ “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” เป็นสีม่วงเข้ม ภายในหอพักมีเครื่องทำความร้อนจากส่วนกลางอาคาร ทำให้ความร้อนกระจายไปตามห้องต่าง ๆ ตอนที่เรา
เปิดสวิตช์ และถ้าเป็นฤดูร้อนเราก็เปิดแอร์ได้ แต่ส่วนใหญ่ในฤดูร้อนอากาศกำลังสบายประมาณ ยี่สิบกว่าองศาเท่านั้นจึงเปิดหน้าต่างเอา
อาหารค่ำ...ดวงเนตรปิ้งขนมปังสี่แผ่น ปลอกอะโวคาโดที่กำลังสุก ผ่าครึ่งเอาเม็ดออก แล้วหันเป็นพระจันทร์เสี้ยวหนาพอดี วางลงบนแผ่นขนมปัง
โรยเกลือนิดหน่อยพอได้รสแล้วโรยพริกไทย วางทับด้วยชีส ทับบนด้วยแผ่นขนมปังอีกแผ่น เอาลงไปย่างบนกระทะอีกทีพอให้ชีสละลาย เสร็จแล้วเอาแซนด์วิชทั้งสองคู่มาหันขวาง จัดใส่จานใบสวย เธอลงมือทำเงียบ ๆ และไม่เห็นว่าหนอยออกไปไหน ครู่เดียวเขาก็กลับมาซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง
ดวงเนตรไม่ได้สนใจมากนัก หันไปชงชาร้อนใส่นม แล้วไฟในห้องก็ดับ แต่ที่โต๊ะมีเทียนสวยจุดไว้ ไม่เพียงเท่านั้นมีแจกันสูง เสียบดอกกุหลาบกลีบ
หนาดอกใหญ่สีขาวอมชมพู
“โอ้! สวยมากค่ะพี่หนอย ขอบคุณนะคะ” ดวงเนตรยิ้มหวานเป็นการขอบคุณอีกครั้ง
“ทานกันเลย เดียวเย็นไม่อร่อยนะคะ” พี่หนอยกัดแซนด์วิซเข้าไปคำแรก
“อร่อยมาก นี่ไปเอาสูตรมาจากทีวีอีกแล้วใช่ไหม” เธอยิ้มและพยักหน้า
“พี่หนอยไม่ชอบอะโวคาโด แต่ที่เนตรเอามาทำแซนด์วิซนี้อร่อยได้ใจเลย” ทั้งคู่ดื่มด่ำกับความอร่อย และชานมร้อน ช่างเข้ากันดีจริง ๆ กินไป
มองตากันไป ดวงเนตรส่งยิ้มให้ทั้งปากและตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความสุขของเขาทั้งสองเอ่อล้นแทบท่วมพื้นห้อง จู่ ๆ ไฟก็เปิด กลุ่มน้าวิวทั้งกลุ่มรวม
ทั้งพี่พลด้วย ทั้งสองออกอาการตกใจ แต่หนอยจะเป็นปกติเร็วกว่า
“มากันโดยไม่ต้องเชิญเลยครับท่าน”
“ฉันว่าถ้าฉันมาช้าอีกนิดแกคงมองจนดวงเนตรละลายหายเข้าไปในตาแกแน่” น้าวิวซัดเข้าให้ยาวเลย
“อุ๊ย! อย่างกับดูหนังรักเลย โรแมนทิคมีกุหลาบมีจุดเทียน...อิจฉานะคะ” พี่น้อยพูดเสียงหวานเพราะดูแกจะอินกว่าใคร ๆ พี่พลยิ้มกว้างหน้าตา
พลอยมีความสุขไปกับน้องทั้งสอง
“พี่ ๆ มากันนานแล้วเหรอคะ” ดวงเนตรถาม
“ก็ตั้งแต่เริ่มกินกันคำแรกแล้วล่ะ” พี่ศีริพูดบ้าง ทุกคนมีรอยยิ้มในหน้า แต่ท่าทางเหมือนดูหนังรักแล้วเกิดอาการค้างทางอารมณ์ เจ๊ใหญ่ยังไม่
จบเรื่องโรแมนทิคของทั้งสองคน
“ไม่เบื่อเหรอไอ้ตี๋หน้าหยก มองดวงเนตรทุกวัน...หลายเวลา”
“มองทุกวันมีแต่จะรักเพิ่มขึ้นทุกวันครับ”
“อ้วก” น้านิดทำเสียง
“อย่าทำอีกนะคะน่าเกลียดจัง” พี่น้อยท้วง
“ก็มันเลี่ยนนี่คะพี่น้อย”
“ไม่หรอก ดูแล้วอยากจะเป็นน้องเนตรแทน” พี่น้อยแกล้งทำตาเยิ้มใส่หนอย
“อย่าเข้าใจผิดนะครับ ถ้าอยากจะเป็นดวงเนตร...เอาไว้รอผมชาติหน้าดีกว่าไหมครับ”
“โอ๊ย! พี่น้อยนี้หยิกเจ็บจัง”
“ก็แกมันปากเสีย พูดอะไรไม่คิดถึงคนฟังบ้าง” น้าวิวตามซ้ำ ดวงเนตรยิ้มเพราะพี่ทั้งกลุ่มดูเหมือนจะรุมเขา แต่ความจริงเขาเป็นคนเดียวที่เข้า
ออกโดยไม่มีใครรังเกียจ
“ไงดวงเนตรเทอมนี้กวาด Aหมดไหม”
“ต้องรอวันศุกร์เช้าค่ะ ถ้าได้หมดน้าวิวจะเลี้ยงเหรอคะ”
“ได้เลยน้องหนูอยากกินอะไรดี”
“ทำขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ไหมคะ”
“ดีเลยกำลังอยากกินอยู่ อย่างนั้นทำกินกันวันศุกร์เย็นเลยนะ เพราะทุกคนสอบเสร็จ แล้วก็ปิดเทอมแล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วง” น้าวิวพูดแล้ว
หันมาชวนพี่พลอีกคน
“ได้ครับ พรุ่งนี้สักกี่โมงดีครับ”
"ช่วงเย็นเสร็จธุระก็มาเลย OK! ”
“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ” พี่พลอำลาทุกคนออกไป น้าวิวหันมาหาหนอย
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้ามารับนะ ใครจะไปซื้อของบ้างนี่”
“ไปกันหมดนี้แหละ” พี่ศิริตอบ
“เอาตามนี้ก็ดี กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้มาให้ตรงเวลานะ”
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (28)...THANKSGIVING
จากการบอกกันปากต่อปาก วันนี้ทุกคนมารวมกันที่ห้องน้าวิว ศูนย์บัญชาการประจำหอ เวลาหกโมง
“เอ! ขาดใครอีกนะพี่น้อย”
“รอน้องดวงเนตรแป๊บเดียวค่ะ”
“มาแล้วครับ” เสียงดังมาแต่ไกลเหมือนแตรไซเรน ทั้งคู่ปรากฏตัวพร้อมกันหกโมงตรง
“แกมาช้าต้องให้เนตรรอใช่ไหม” น้าวิวเอ็ด
“ผมสิครับรอเขา...ผู้หญิงเป็นอย่างนี้แหละครับกว่าจะแต่งตัวเสร็จ”
“โอ๊ย! เจ็บ” ดวงเนตรแอบหยิกที่แขนพี่หนอย
“ใครเหยียบหมาแมวที่นี่หรือไงร้องลั่นเชียว“
“คนครับ ๆ อย่าลดเกรดผมลงเป็นแมวตัวเล็กสิ” ทุกคนหัวเราะเพราะท่าทางแมวข่วนของหน่อยทำใส่น้าวิว
“พอดีกว่าค่ะ อย่ามัวสนุกกันอยู่เลยค่ะ เดี๋ยวคนแก่จะรอไม่ดีนะคะ” วันนี้พี่น้อยแต่งชุดหมีตาสก๊อตลายเขียว ขาว เสื้อยืดแขนยาวตัวในสีแดง
หนอยเดินเข้าไปแซะขณะเดินใกล้จะถึงอาคารที่จัดงาน
“พี่น้อยเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าครับ วันนี้เป็นวันขอบคุณพระเจ้า ไม่ใช่วันคริสต์มาสนะครับ”
พี่น้อยหันมาฟาดแขนเพี้ยะแล้วอมยิ้ม เจ๊ใหญ่เดินติด ๆ กันหันมาจิกหนอยต่อ
“พี่น้อยเขาพอใจใส่ชุดอะไร มันหนักหัวแกเหรอหนอย”
“เปล่า ๆ ครับ ผมจะชมว่าสวยดี” พี่น้อยยิ้มตาหยี มองดวงเนตรซึ่งกำลังยิ้มอยู่ด้วย ทั้งสองคนนี้เกิดมาเป็นคู่ต่อกรกันได้สนุกกว่าทุกคู่
“ถึงแล้วค่ะ ขอความเป็นระเบียบด้วยนะคะ” คุณครูพี่น้อยพูดเตือนเพื่อให้ทุกคนอยู่ในกริยาที่สุภาพ
“ต้องตั้งแถวเรียงหนึ่งไหมครับ” พี่น้อยยิ้มไม่ตอบด้วยเพราะรู้ว่าโดนหนอยแย่
“Hello! Everyone ” หนอยกล่าวกับทุกคน ธรรมเนียมทักทายมีทั้งเชกแฮนด์ การโอบกอดและจุ๊บเบา ๆ ที่แก้ม ก็เริ่มขึ้นตามมาด้วยบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุก ๆ ดิบ ๆ ลุงพอลเริ่มก่อน
“หนุ่มหน้าตาหล่อนี้เป็นแฟนนิคกี้ใช่ไหม” แล้วแกก็พาไปแนะนำว่าที่หลานเขยของแกจนทั่วทุกคน คนชราทั้งหมดลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าโอเค
เสียงล้อกันแหย่กันดังมาจากทางกลุ่มผู้สูงวัย โดยมีหนอยเป็นผู้สร้างความบันเทิง ก่อนการเสิร์ฟอาหารมีการสวดขอบคุณพระเจ้า
แล้วถึงเวลาเสิร์ฟอาหารเป็นบุฟเฟ่ต์ มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ อาหารมีไก่งวงสองตัวใหญ่ ฟรุตเค้ก
ซินนามอนที ...ชาร้อนรสอบเชย พั้นซ์ สลัดถาดใหญ่ ทั้งพูดทั้งกินกันสนุกสนานระหว่างคนต่างเชื้อชาติ แต่มีภาษาใจเดียวกัน คือความรักที่เราแบ่งปัน
ให้แก่มวลมนุษย์ ทุกคนอิ่มอร่อยกันถ้วนหน้า และก็ได้เวลาที่นักศึกษาไทยต้องกล่าวลา เพราะเวลาสอบเทอมปลายใกล้เข้ามาทุกขณะ ดวงเนตรหรือ
นิคกี้ขวัญใจของกลุ่มสูงวัยเดินสายลาทุกคนด้วยรอยยิ้มและอ้อมกอด
“พวกเราสนุกมาก อาหารอร่อย และขอขอบคุณแทนเพื่อน ๆ ทุกคนค่ะ”
คณะทยอยกลับออกมาพอพ้นตัวอาคาร อากาศข้างนอกหนาวเย็นมาก ระหว่างงานเลี้ยงเป็นเพราะอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ในตัวอาคารเปิด
ฮีตเตอร์ อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกคนจึงเร่งฝีเท้า ครู่เดียวก็ถึงหอพัก น้าวิวให้ทุกคนแยกย้ายกันไปได้แล้ว พวกหอโดมิโนวิ่งกันหน้าตั้งเข้าหอเพราะ
ความหนาว
ดวงเนตรอาบน้ำอุ่นอีกรอบชโลมด้วยเบบี้ออยล์ แปรงฟัน กราบพระ สวดมนต์ เงยหน้ามองภาพถ่าย เตี่ย แม่ ตัวเธอ และน้อง ๆ ส่วนอีกภาพ
เป็นภาพขาว ดำที่ดวงเนตรถ่ายคู่กับพี่หนอยชุดไทยในงาน International Festival เขาเอาใส่กรอบมาไว้บนชั้นด้วย ด้านล่างภาพเขียนใว้ว่า ”The
most beloved woman of mine” ...แด่หญิงอันเป็นสุดที่รักของฉัน เธอล้มตัวลงนอนได้ทั้งกลิ่นแป้งอ่อน ผสมกลิ่นโคโลญจน์จาง ๆ พาความคิดฝัน
ของดวงเนตรล่องลอยและหลับไป
วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของเทอมปลายภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วง ดวงเนตรและนักศึกษาส่วนใหญ่ อดหลับอดนอน เพียงคำเดียวที่อยู่ในใจ
เหมือนกันคือ “สู้ๆ ” วิชาสุดท้ายของดวงเนตรคือวิชาการตลาด การสอบเป็นแบบเปิดตำราสอบ ...Open book มีหัวข้อให้เลือกห้าข้อ ให้ทำสามข้อ เป็นการเขียนอธิบาย ดวงเนตรส่งข้อสอบเกือบเป็นคนสุดท้าย เธอยื่นข้อสอบให้ดอกเตอร์จินนี่ อาจารย์คนนี้มีความประทับใจกับเด็กต่างชาติโดย
เฉพาะเด็กเอเชีย เพราะทุกคนส่วนใหญ่กวาด A จากวิชาที่เธอสอนเสมอ เธอพูดเสียงเบากับดวงเนตรว่า...ขอให้โชคดีนะ ดวงเนตรยิ้มสวยแล้วกล่าว
ขอบคุณ เธอเปิดข้อสอบแล้วคิดว่าผ่านฉลุยแน่เพราะตรงกับที่คาดไว้
“เขาออกมากันเกือบหมดแล้ว ทำไม่ได้เหรอครับ” หนอยถามอย่างห่วงใย
“ค่ะยากมาก” พูดจบดวงเนตรก็ก้มหน้าลง หนอยเชยคางขึ้นจ้องหน้าเห็นรอยยิ้มเลยรู้ว่าโดนหลอก
ดวงเนตรออกเสียงเบา ๆ “ไชโย” เธอเอามือโหนคอหนอย แล้วกระโดดไปรอบ ๆ หน้าตาแจ่มใสรอยยิ้มสดชื่น ชัวร์ A
“ค่ะ”
“อะไรกันนักหนานะเนี่ยทั้งสวยทั้งเก่ง”
“เก่งต้องยกความดีให้คนติวค่ะ”
“วิชาอื่นเนตรไม่รู้ แต่เนตรทำดีที่สุดแล้วค่ะ”
“ไปกันเถอะพี่หนอยจะพาไปขับรถชมวิวข้างบนจะได้พักสายตา”
รถขับวนขึ้นมาที่จุดชมวิว สีสันสดสวยของใบไม้หายไปหมดแล้ว เหลือเพียงกิ่งก้านยืนต้นเดียวดายแห้งแล้ง แทรกตัวอยู่ตามสนสีเขียว
หลากหลายพันธุ์ ลมพัดกระโชกเป็นช่วงๆ หนอยถอดแจ็คเก็ตหนังตัวหนาสีดำสวมทับให้
“พี่หนอยไม่หนาวเหรอคะ” เธอจับมือพี่หนอยบีบเบา ๆ
“มือเย็นมากเลยค่ะ”
“งั้นขอกอดหน่อย” หนอยหาข้ออ้าง ดวงเนตรกำลังยืนกอดอกเพราะหนาว แต่อ้อมแขนที่สอดมาโอบไว้ ทำให้อุ่นขึ้น เขาเอามือเสยผมข้างแก้ม
ออกแนบใบหน้าชิดแก้มดวงเนตร
“อุ่นขึ้นไหมครับ”
*** แก้มนวลนาง หอมปาน ดอกแก้ว
กอดไว้แล้ว ดอกแก้ว ที่ปรารถนา
จากนี้ไป จะโอบไว้ ไม่จากลา
ปรารถนา ให้นางอยู่ คู่ข้างกาย***
ทั้งสองทอดสายตาออกไปไกลลิบ ในความเหงาและโดดเดี่ยวของต้นเมเบิลและต้นโอ๊คที่เหลือเพียงกิ่งก้านในยามนี้ แม้ดูเหงาแต่ทั้งสอง
ใจเติมความรักให้กันจนเปี่ยมล้น กับความเงียบสงบของอากาศที่หนาวเย็น ตะวันโบกมือให้ท้องฟ้า ก่อนลดตัวลาลับหายไป
“กลับกันเถอะค่ะเดี๋ยวเนตรจะทำอาหารจานพิเศษให้ทานนะคะ”
ครู่เดียวหนอยก็ขับรถมาถึงหอ ดวงเนตรขอตัวอาบน้ำ หนอยถามว่าจะให้เตรียมอะไรให้ไหม เธอบอกให้หนอยพักผ่อน เขาเลยถือโอกาสขึ้น
ไปนอนกลิ้งบนเตียง ครู่ใหญ่เธอออกมาในชุดลำลอง...กางเกงยืดเนื้อหนาสีดำและเสื้อยืดแขนยาวสีม่วงอ่อน ข้างหลังสกีนเป็นรูปช้างตัวน้อย และ “มหาวิทยาลัยเชียงใหม่” เป็นสีม่วงเข้ม ภายในหอพักมีเครื่องทำความร้อนจากส่วนกลางอาคาร ทำให้ความร้อนกระจายไปตามห้องต่าง ๆ ตอนที่เรา
เปิดสวิตช์ และถ้าเป็นฤดูร้อนเราก็เปิดแอร์ได้ แต่ส่วนใหญ่ในฤดูร้อนอากาศกำลังสบายประมาณ ยี่สิบกว่าองศาเท่านั้นจึงเปิดหน้าต่างเอา
อาหารค่ำ...ดวงเนตรปิ้งขนมปังสี่แผ่น ปลอกอะโวคาโดที่กำลังสุก ผ่าครึ่งเอาเม็ดออก แล้วหันเป็นพระจันทร์เสี้ยวหนาพอดี วางลงบนแผ่นขนมปัง
โรยเกลือนิดหน่อยพอได้รสแล้วโรยพริกไทย วางทับด้วยชีส ทับบนด้วยแผ่นขนมปังอีกแผ่น เอาลงไปย่างบนกระทะอีกทีพอให้ชีสละลาย เสร็จแล้วเอาแซนด์วิชทั้งสองคู่มาหันขวาง จัดใส่จานใบสวย เธอลงมือทำเงียบ ๆ และไม่เห็นว่าหนอยออกไปไหน ครู่เดียวเขาก็กลับมาซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง
ดวงเนตรไม่ได้สนใจมากนัก หันไปชงชาร้อนใส่นม แล้วไฟในห้องก็ดับ แต่ที่โต๊ะมีเทียนสวยจุดไว้ ไม่เพียงเท่านั้นมีแจกันสูง เสียบดอกกุหลาบกลีบ
หนาดอกใหญ่สีขาวอมชมพู
“โอ้! สวยมากค่ะพี่หนอย ขอบคุณนะคะ” ดวงเนตรยิ้มหวานเป็นการขอบคุณอีกครั้ง
“ทานกันเลย เดียวเย็นไม่อร่อยนะคะ” พี่หนอยกัดแซนด์วิซเข้าไปคำแรก
“อร่อยมาก นี่ไปเอาสูตรมาจากทีวีอีกแล้วใช่ไหม” เธอยิ้มและพยักหน้า
“พี่หนอยไม่ชอบอะโวคาโด แต่ที่เนตรเอามาทำแซนด์วิซนี้อร่อยได้ใจเลย” ทั้งคู่ดื่มด่ำกับความอร่อย และชานมร้อน ช่างเข้ากันดีจริง ๆ กินไป
มองตากันไป ดวงเนตรส่งยิ้มให้ทั้งปากและตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความสุขของเขาทั้งสองเอ่อล้นแทบท่วมพื้นห้อง จู่ ๆ ไฟก็เปิด กลุ่มน้าวิวทั้งกลุ่มรวม
ทั้งพี่พลด้วย ทั้งสองออกอาการตกใจ แต่หนอยจะเป็นปกติเร็วกว่า
“มากันโดยไม่ต้องเชิญเลยครับท่าน”
“ฉันว่าถ้าฉันมาช้าอีกนิดแกคงมองจนดวงเนตรละลายหายเข้าไปในตาแกแน่” น้าวิวซัดเข้าให้ยาวเลย
“อุ๊ย! อย่างกับดูหนังรักเลย โรแมนทิคมีกุหลาบมีจุดเทียน...อิจฉานะคะ” พี่น้อยพูดเสียงหวานเพราะดูแกจะอินกว่าใคร ๆ พี่พลยิ้มกว้างหน้าตา
พลอยมีความสุขไปกับน้องทั้งสอง
“พี่ ๆ มากันนานแล้วเหรอคะ” ดวงเนตรถาม
“ก็ตั้งแต่เริ่มกินกันคำแรกแล้วล่ะ” พี่ศีริพูดบ้าง ทุกคนมีรอยยิ้มในหน้า แต่ท่าทางเหมือนดูหนังรักแล้วเกิดอาการค้างทางอารมณ์ เจ๊ใหญ่ยังไม่
จบเรื่องโรแมนทิคของทั้งสองคน
“ไม่เบื่อเหรอไอ้ตี๋หน้าหยก มองดวงเนตรทุกวัน...หลายเวลา”
“มองทุกวันมีแต่จะรักเพิ่มขึ้นทุกวันครับ”
“อ้วก” น้านิดทำเสียง
“อย่าทำอีกนะคะน่าเกลียดจัง” พี่น้อยท้วง
“ก็มันเลี่ยนนี่คะพี่น้อย”
“ไม่หรอก ดูแล้วอยากจะเป็นน้องเนตรแทน” พี่น้อยแกล้งทำตาเยิ้มใส่หนอย
“อย่าเข้าใจผิดนะครับ ถ้าอยากจะเป็นดวงเนตร...เอาไว้รอผมชาติหน้าดีกว่าไหมครับ”
“โอ๊ย! พี่น้อยนี้หยิกเจ็บจัง”
“ก็แกมันปากเสีย พูดอะไรไม่คิดถึงคนฟังบ้าง” น้าวิวตามซ้ำ ดวงเนตรยิ้มเพราะพี่ทั้งกลุ่มดูเหมือนจะรุมเขา แต่ความจริงเขาเป็นคนเดียวที่เข้า
ออกโดยไม่มีใครรังเกียจ
“ไงดวงเนตรเทอมนี้กวาด Aหมดไหม”
“ต้องรอวันศุกร์เช้าค่ะ ถ้าได้หมดน้าวิวจะเลี้ยงเหรอคะ”
“ได้เลยน้องหนูอยากกินอะไรดี”
“ทำขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ไหมคะ”
“ดีเลยกำลังอยากกินอยู่ อย่างนั้นทำกินกันวันศุกร์เย็นเลยนะ เพราะทุกคนสอบเสร็จ แล้วก็ปิดเทอมแล้วด้วย ไม่มีอะไรต้องห่วง” น้าวิวพูดแล้ว
หันมาชวนพี่พลอีกคน
“ได้ครับ พรุ่งนี้สักกี่โมงดีครับ”
"ช่วงเย็นเสร็จธุระก็มาเลย OK! ”
“งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ” พี่พลอำลาทุกคนออกไป น้าวิวหันมาหาหนอย
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้ามารับนะ ใครจะไปซื้อของบ้างนี่”
“ไปกันหมดนี้แหละ” พี่ศิริตอบ
“เอาตามนี้ก็ดี กลับกันได้แล้ว พรุ่งนี้มาให้ตรงเวลานะ”