หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (52)...ด้วยความหวัง
ออกจากมหาวิทยาลัยมาดวงเนตรก็กลับมาที่บ้าน เธอลงจากรถไปเพียงครู่เดียว แล้วเดินออกมาพร้อมกุหลาบสีขาวในมือ ภัทรเห็นจนชิน
ตาคงแวะไปที่สนามบินอีกเช่นเคย ดวงเนตรขับออกมาได้ครู่เดียว ก็ไขกระจกให้ลมพัดเข้ามา
“อากาศกำลังดี...ว่าไหมคะพี่หนอย” รถจอดบริเวณเดิมที่รั้วข้างสนามบินชิคาโกโอแฮร์ ป้ายที่ดวงเนตรแขวนไว้ยังอยู่ เธอก้มลงจูบดอกกุหลาบ
อย่างอ่อนโยน เหมือนเช่นที่ทั้งสองจูบปากกันแผ่วเบาและเนินนานเหมือนอยากให้โลกหยุดหมุน ดวงเนตรวางลงข้างรั้ว
“พี่หนอยอยู่ที่ไหนนะ สบายดีไหม เนตรเป็นห่วงเนตรรักพี่หนอยมากและจะรักตลอดไป” ดวงเนตรพูดคนเดียว เธอเดินกลับมาช้า ๆ แววตาเศร้า
ที่ยังเคว้งคว้าง ดวงเนตรขับรถกลับเข้ามา
พอจอดรถก็เจอพี่ภัทร “เนตรวันนี้มาทานอาหารเย็นกับพี่นะ” เสียงเขาดูนุ่มลง
“เดี๋ยวมาเรียมาด้วย ห้าโมงสะดวกไหม”
“ค่ะ” ดวงเนตรตอบสั้น ๆ ‘กินยาผิดซองหรือเปล่า ช่วงนี้แปลก ๆ ’ ดวงเนตรคิด เธอนั่งลงที่โต๊ะหยิบเอาหนังสือมาทบทวน จนกระทั่งสี่โมงครึ่ง
“เกือบไปแล้ว…เพลินเลย” อาบน้ำเสร็จแล้ว เดินเอื่อยๆ ไปที่บ้านพี่ภัทร มาเรียยังไม่มา
“มีอะไรให้เนตรช่วยไหมคะ”
“พี่ทำเสร็จแล้ว” เสียงกดกริ่ง
“เดี๋ยวเนตรไปเปิดให้” เจอกับมาเรียทั้งสองเข้ากอดกันและทักทาย ดวงเนตรก็เดินนำเข้ามาที่โต๊ะอาหาร มาเรียเข้าไปทักทายแพท…(ภัทร)
ทุกคนสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าก่อนมื้ออาหารค่ำ คุยกันเรื่องนั่นเรื่องนี้จนกินอาหารเสร็จพี่ภัทรบอกกับดวงเนตรให้ช่วยชงกาแฟสองแก้ว พวกเขา
จะไปรอที่ห้องรับแขก
“ดีนะนึกว่าใจดีเรียกมาเลี้ยงข้าวที่แท้เรียกมาใช้” ดวงเนตรยังตั้งแง่ เธอถือกาแฟเข้ามาทั้งสองคนยังง่วนอยู่กับเอกสาร มาเรียจับมือดวงเนตร
มานั่งข้าง ๆ แล้วเล่าเรื่องโดยย่อว่าทั้งสองกำลังช่วยดวงเนตรสืบหาหนอยจากเอกสารเท่าที่มีอยู่ มาเรียมองดูที่แหวนแล้วขอดวงเนตรดู
“โอ้พระเจ้า! ฉันเคยเห็นแหวนวงนี้วันที่เราทยอยส่งผู้ประสบอุบัติเหตุไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ”
“พี่หนอยเป็นคนซื้อให้นิคกี้ แต่มันมีขายอยู่ตามห้างทั่วไปไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่ใช่แบรนด์นี้ เขาขายแต่ของแพง และทำมารุ่นหนึ่ง ๆ ไม่กี่วง แล้วดูนี่สิแฟนเธอสั่งให้เขาลงคำว่า”love”ไว้ในวงแหวนด้านใน...เอ! ใช่หรือ
เปล่านะ ผิวขาวละเอียด เขาเป็นคนเอเซีย” มาเรียพูดไป พยายามคิดตามไป
“อ้อ! แล้วเขามี ๆ ” เธอหันไปทางพี่ภัทรชี้ไปที่สร้อยพระที่ป้าสุรีย์ให้ภัทรไว้นานแล้ว
“มีสิ่งนี้ด้วยที่คอ” ดวงเนตรทรุดตัวเข่าอ่อน มาเรียจับมือดวงเนตรไว้
“ไม่เป็นไรใช่ไหมนิคกี้”
“ไม่ ๆ เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงคล้ายสะอื้น ความหวังน้อยนิด ความสับสนภายในใจ
“เราต้องเช็กอีกทีว่าใช่เขาไหม และเขาถูกส่งไปรักษาตัวที่ไหน ตกลงตามนี้ก่อน ฉันจะไปส่งนิคกี้ที่เรือน...เธอท่าทางไม่ดีเลย” มาเรียประคอง
ดวงเนตรมาที่ห้อง ดวงเนตรฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วสะอื้นไห้ มาเรียเข้ามากอด
“นิคกี้พระเจ้าทรงมีเมตตากับเราเสมอ...เธอต้องมีศรัทธาในพระองค์ แล้วเราจะช่วยกันหาหนอยนะO.K.!”
“นิคกี้จะให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนไหม” เธอถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้” มาเรียพยักหน้าและเดินออกมาเงียบ ๆ
******แม้ความหวังที่เหลือเท่าเม็ดทราย
แต่ยังหมายปีนป่ายไฝ่ค้นหา
แม้จะต้องดั้นด้นค้นทั่วฟ้า
เพื่อตามหาใจข้าเอากลับคืน******
หลังเข้าเรียนได้เทอมแรก ดวงเนตรมีเพื่อนมากขึ้น วันนี้เธอใส่เสื้อยืดสีส้มอ่อนสวมทับด้วยเสื้อหนัง กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ ผมถักเป็นเปีย
หลวม ๆ แล้วตลบขึ้นติดด้วยกิ๊บใหญ่ เธอมาถึงจุดนัดพบตามเวลา มองเห็นแมททิววิ่งมาที่รถ “สวัสดีนิคกี้”
“สวัสดีจ้ะแมททิว”
“พร้อมหรือยัง”
“ไปได้เลย ผมเก็บของเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” แมททิวกระโดดขึ้นรถ แล้วบอกทางไปที่อะพาร์ตเมนต์ของเขา แมททิวเข้าไปครู่เดี๋ยวก็ลาก
กระเป๋าใบใหญ่มา ดวงเนตรลงไปเปิดท้ายรถให้
“ให้ฉันไปช่วยไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกเหลือของอีกไม่เยอะ...รอเดี๋ยวนะ” เขากลับมาพร้อมกล่องเอกสารและหนังสือ
“เรียบร้อยแล้วนิคกี้ไปกันเถอะ”
“โอเค”
“ทางนี้เป็นเส้นทางที่ฉันคุ้นที่สุด ไปมามหาวิทยาลัยทุกวัน อ้อ! แล้วอีกเส้นที่ไปกินกาแฟร้านโจอี้ไง”
“อือ! ช่วงบ่ายว่างไปกันไหมนิคกี้ ผมเลี้ยงนะแลกกันกับที่นิคกี้ช่วยขนของ”
“ได้สิ” ดวงเนตรตอบสั้น ๆ
“บ้านเราคงอยู่ไม่ไกลกันนะ พี่เขยผมเขาสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เราเรียนนั่นแหละ เขาสอนคณะเศรษฐศาสตร์”
“พูดเล่นน่า...มีแต่ดอกเตอร์แจ็กสันเท่านั้นที่อยู่แถวนี้ หรือเธอเป็นน้องของคุณมาเรีย” ดวงเนตรเดาเพราะเค้าหน้าของแมททิวคล้ายกับมาเรีย
มาก เธอมองหน้าเขา แมททิวพยักหน้า
“โอ้พระเจ้า! จริง ๆ ด้วยดีใจจังเพราะฉันรู้จักครอบครัวแจ็กสันดี”
“พี่มาเรียก็พูดถึงผู้หญิงเอเชียบ่อย ๆ ที่แท้ก็นิคกี้เอง “What’s a small world...โลกช่างแคบจริง ๆ เลยนะ”
มาเรียวิ่งออกมาต้อนรับทั้งสองคน เธอเข้าไปกอดแมททิวอย่างดีใจ เอามือลูบศีรษะเขา คงเป็นการแสดงความรักเพราะแมททิวเป็นน้องคน
เล็กสุดในครอบครัว ดวงเนตรเห็นภาพพี่น้อง คู่นี้แล้วอดนึกถึงน้องที่อยู่เมืองไทยไม่ได้
‘วันนี้ว่างจะโทรคุยกันหน่อยแล้วค่อยส่งจดหมายตาม’ ดวงเนตรคิด มาเรียและแมททิวหันมาขอบคุณ
“เข้ามาข้างในก่อนไหมนิคกี้”
“ไม่ดีกว่าค่ะ นิคกี้จะเลยไปดูต้นไม้และช่วงบ่ายแมททิวจะเลี้ยงกาแฟเป็นค่าขนของค่ะ”
“แหมขี้เหนียวจัง เลี้ยงแค่กาแฟ” พี่สาวต่อว่า
เธอออกรถไปพร้อมโบกมือให้สองพี่น้อง ขับรถไปที่ร้านมิสเซลลี่ เมื่อได้ต้นไม้ครบแล้ว “ที่บ้านน่าอยู่ขึ้นมากเพราะต้นไม้ของคุณ” ดวงเนตร
พูดกับมิสเซลลี่
“ขอบคุณค่ะ คุณเป็นลูกค้าที่น่ารักมาก”
“บางคนเรื่องมากจนฉันปวดหัว” มิสเซลลี่นินทาลูกค้าให้ดวงเนตรฟัง เธอยิ้มให้พร้อมกล่าวอำลา
“ฉันไปก่อนละนะ Bye.”
ช่วงบ่ายแมททิวเดินเรื่อย ๆ มาถึงบ้านนิคกี้ “Hi! แมททิว รอสักครู่นะ” แมททิวนั่งรอที่เก้าอี้โยกบนชานบ้าน กลิ่นดอกไม้หอมโชยมา ระแนงไม้
ที่มีเถาองุ่นเลื้อยคลานเกาะอยู่ทั่วไปดูสวยงาม ทางขึ้นด้านหน้ามีบันไดสองขั้น ดวงเนตรตั้งต้นดอกอาซาเลีย และต้นไฮเดรนเยียสีม่วงคราม
“ทำบ้านได้น่าอยู่จริงนะนิคกี้” แมททิวทึ่ง
“ไปเถอะ แมททิว”
“นิคกี้เป็นอะไร ทำไมหน้าเศร้าจัง”
“คิดถึงแฟนจะเข้าครึ่งปีแล้ว ยังตามไม่เจอร่องรอยเพิ่มเติมเลย และเมื่อก่อนที่คาร์บอลเดล ทุกช่วงที่สอบเสร็จพี่ ๆ และเพื่อน รวมนิคกี้กับ
แนท..พี่หนอย จะทำอาหารกินกัน และเขาชอบแหย่ให้ทุกคนหัวเราะ เขาร้องเพลงไพเราะและเล่นกีต้าร์เก่งด้วย” ดวงเนตรพูดถึงพี่หนอยเหมือน
รำพัน
แมททิวถอนใจเบา ๆ “ผมเป็นกำลังใจให้ ขอให้สมปรารถนานะครับ” เอ่ยไปก็พลางคิด...’อย่าชอบคนที่เขามีคู่แล้วจะได้ไม่เจ็บปวด’ เป็นความ
จริงที่ใครอยู่ใกล้นิคกี้แล้วจะไม่ชอบเธอ นิคกี้เป็นผู้หญิงรูปร่างโปร่งบาง ผิวขาวละเอียด ดวงตาสวยยาวรีสีน้ำตาลเข้มช่างมีเสน่ห์นัก สำหรับหญิงสาว
เองแม้สนิทก็จะมีระยะห่างที่ชัดเจน
“ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว”...นั่นคือคำตอบของนิคกี้เองตั้งแต่แรกจนถึงเดี๋ยวนี้
หัวในสลายที่ปลายฟ้า (52)...ด้วยความหวัง
ออกจากมหาวิทยาลัยมาดวงเนตรก็กลับมาที่บ้าน เธอลงจากรถไปเพียงครู่เดียว แล้วเดินออกมาพร้อมกุหลาบสีขาวในมือ ภัทรเห็นจนชิน
ตาคงแวะไปที่สนามบินอีกเช่นเคย ดวงเนตรขับออกมาได้ครู่เดียว ก็ไขกระจกให้ลมพัดเข้ามา
“อากาศกำลังดี...ว่าไหมคะพี่หนอย” รถจอดบริเวณเดิมที่รั้วข้างสนามบินชิคาโกโอแฮร์ ป้ายที่ดวงเนตรแขวนไว้ยังอยู่ เธอก้มลงจูบดอกกุหลาบ
อย่างอ่อนโยน เหมือนเช่นที่ทั้งสองจูบปากกันแผ่วเบาและเนินนานเหมือนอยากให้โลกหยุดหมุน ดวงเนตรวางลงข้างรั้ว
“พี่หนอยอยู่ที่ไหนนะ สบายดีไหม เนตรเป็นห่วงเนตรรักพี่หนอยมากและจะรักตลอดไป” ดวงเนตรพูดคนเดียว เธอเดินกลับมาช้า ๆ แววตาเศร้า
ที่ยังเคว้งคว้าง ดวงเนตรขับรถกลับเข้ามา
พอจอดรถก็เจอพี่ภัทร “เนตรวันนี้มาทานอาหารเย็นกับพี่นะ” เสียงเขาดูนุ่มลง
“เดี๋ยวมาเรียมาด้วย ห้าโมงสะดวกไหม”
“ค่ะ” ดวงเนตรตอบสั้น ๆ ‘กินยาผิดซองหรือเปล่า ช่วงนี้แปลก ๆ ’ ดวงเนตรคิด เธอนั่งลงที่โต๊ะหยิบเอาหนังสือมาทบทวน จนกระทั่งสี่โมงครึ่ง
“เกือบไปแล้ว…เพลินเลย” อาบน้ำเสร็จแล้ว เดินเอื่อยๆ ไปที่บ้านพี่ภัทร มาเรียยังไม่มา
“มีอะไรให้เนตรช่วยไหมคะ”
“พี่ทำเสร็จแล้ว” เสียงกดกริ่ง
“เดี๋ยวเนตรไปเปิดให้” เจอกับมาเรียทั้งสองเข้ากอดกันและทักทาย ดวงเนตรก็เดินนำเข้ามาที่โต๊ะอาหาร มาเรียเข้าไปทักทายแพท…(ภัทร)
ทุกคนสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าก่อนมื้ออาหารค่ำ คุยกันเรื่องนั่นเรื่องนี้จนกินอาหารเสร็จพี่ภัทรบอกกับดวงเนตรให้ช่วยชงกาแฟสองแก้ว พวกเขา
จะไปรอที่ห้องรับแขก
“ดีนะนึกว่าใจดีเรียกมาเลี้ยงข้าวที่แท้เรียกมาใช้” ดวงเนตรยังตั้งแง่ เธอถือกาแฟเข้ามาทั้งสองคนยังง่วนอยู่กับเอกสาร มาเรียจับมือดวงเนตร
มานั่งข้าง ๆ แล้วเล่าเรื่องโดยย่อว่าทั้งสองกำลังช่วยดวงเนตรสืบหาหนอยจากเอกสารเท่าที่มีอยู่ มาเรียมองดูที่แหวนแล้วขอดวงเนตรดู
“โอ้พระเจ้า! ฉันเคยเห็นแหวนวงนี้วันที่เราทยอยส่งผู้ประสบอุบัติเหตุไปตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ”
“พี่หนอยเป็นคนซื้อให้นิคกี้ แต่มันมีขายอยู่ตามห้างทั่วไปไม่ใช่เหรอคะ”
“ไม่ใช่แบรนด์นี้ เขาขายแต่ของแพง และทำมารุ่นหนึ่ง ๆ ไม่กี่วง แล้วดูนี่สิแฟนเธอสั่งให้เขาลงคำว่า”love”ไว้ในวงแหวนด้านใน...เอ! ใช่หรือ
เปล่านะ ผิวขาวละเอียด เขาเป็นคนเอเซีย” มาเรียพูดไป พยายามคิดตามไป
“อ้อ! แล้วเขามี ๆ ” เธอหันไปทางพี่ภัทรชี้ไปที่สร้อยพระที่ป้าสุรีย์ให้ภัทรไว้นานแล้ว
“มีสิ่งนี้ด้วยที่คอ” ดวงเนตรทรุดตัวเข่าอ่อน มาเรียจับมือดวงเนตรไว้
“ไม่เป็นไรใช่ไหมนิคกี้”
“ไม่ ๆ เป็นไรค่ะ” น้ำเสียงคล้ายสะอื้น ความหวังน้อยนิด ความสับสนภายในใจ
“เราต้องเช็กอีกทีว่าใช่เขาไหม และเขาถูกส่งไปรักษาตัวที่ไหน ตกลงตามนี้ก่อน ฉันจะไปส่งนิคกี้ที่เรือน...เธอท่าทางไม่ดีเลย” มาเรียประคอง
ดวงเนตรมาที่ห้อง ดวงเนตรฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วสะอื้นไห้ มาเรียเข้ามากอด
“นิคกี้พระเจ้าทรงมีเมตตากับเราเสมอ...เธอต้องมีศรัทธาในพระองค์ แล้วเราจะช่วยกันหาหนอยนะO.K.!”
“นิคกี้จะให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนไหม” เธอถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องค่ะ ฉันอยู่คนเดียวได้” มาเรียพยักหน้าและเดินออกมาเงียบ ๆ
******แม้ความหวังที่เหลือเท่าเม็ดทราย
แต่ยังหมายปีนป่ายไฝ่ค้นหา
แม้จะต้องดั้นด้นค้นทั่วฟ้า
เพื่อตามหาใจข้าเอากลับคืน******
หลังเข้าเรียนได้เทอมแรก ดวงเนตรมีเพื่อนมากขึ้น วันนี้เธอใส่เสื้อยืดสีส้มอ่อนสวมทับด้วยเสื้อหนัง กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ ผมถักเป็นเปีย
หลวม ๆ แล้วตลบขึ้นติดด้วยกิ๊บใหญ่ เธอมาถึงจุดนัดพบตามเวลา มองเห็นแมททิววิ่งมาที่รถ “สวัสดีนิคกี้”
“สวัสดีจ้ะแมททิว”
“พร้อมหรือยัง”
“ไปได้เลย ผมเก็บของเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” แมททิวกระโดดขึ้นรถ แล้วบอกทางไปที่อะพาร์ตเมนต์ของเขา แมททิวเข้าไปครู่เดี๋ยวก็ลาก
กระเป๋าใบใหญ่มา ดวงเนตรลงไปเปิดท้ายรถให้
“ให้ฉันไปช่วยไหมคะ”
“ไม่ต้องหรอกเหลือของอีกไม่เยอะ...รอเดี๋ยวนะ” เขากลับมาพร้อมกล่องเอกสารและหนังสือ
“เรียบร้อยแล้วนิคกี้ไปกันเถอะ”
“โอเค”
“ทางนี้เป็นเส้นทางที่ฉันคุ้นที่สุด ไปมามหาวิทยาลัยทุกวัน อ้อ! แล้วอีกเส้นที่ไปกินกาแฟร้านโจอี้ไง”
“อือ! ช่วงบ่ายว่างไปกันไหมนิคกี้ ผมเลี้ยงนะแลกกันกับที่นิคกี้ช่วยขนของ”
“ได้สิ” ดวงเนตรตอบสั้น ๆ
“บ้านเราคงอยู่ไม่ไกลกันนะ พี่เขยผมเขาสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เราเรียนนั่นแหละ เขาสอนคณะเศรษฐศาสตร์”
“พูดเล่นน่า...มีแต่ดอกเตอร์แจ็กสันเท่านั้นที่อยู่แถวนี้ หรือเธอเป็นน้องของคุณมาเรีย” ดวงเนตรเดาเพราะเค้าหน้าของแมททิวคล้ายกับมาเรีย
มาก เธอมองหน้าเขา แมททิวพยักหน้า
“โอ้พระเจ้า! จริง ๆ ด้วยดีใจจังเพราะฉันรู้จักครอบครัวแจ็กสันดี”
“พี่มาเรียก็พูดถึงผู้หญิงเอเชียบ่อย ๆ ที่แท้ก็นิคกี้เอง “What’s a small world...โลกช่างแคบจริง ๆ เลยนะ”
มาเรียวิ่งออกมาต้อนรับทั้งสองคน เธอเข้าไปกอดแมททิวอย่างดีใจ เอามือลูบศีรษะเขา คงเป็นการแสดงความรักเพราะแมททิวเป็นน้องคน
เล็กสุดในครอบครัว ดวงเนตรเห็นภาพพี่น้อง คู่นี้แล้วอดนึกถึงน้องที่อยู่เมืองไทยไม่ได้
‘วันนี้ว่างจะโทรคุยกันหน่อยแล้วค่อยส่งจดหมายตาม’ ดวงเนตรคิด มาเรียและแมททิวหันมาขอบคุณ
“เข้ามาข้างในก่อนไหมนิคกี้”
“ไม่ดีกว่าค่ะ นิคกี้จะเลยไปดูต้นไม้และช่วงบ่ายแมททิวจะเลี้ยงกาแฟเป็นค่าขนของค่ะ”
“แหมขี้เหนียวจัง เลี้ยงแค่กาแฟ” พี่สาวต่อว่า
เธอออกรถไปพร้อมโบกมือให้สองพี่น้อง ขับรถไปที่ร้านมิสเซลลี่ เมื่อได้ต้นไม้ครบแล้ว “ที่บ้านน่าอยู่ขึ้นมากเพราะต้นไม้ของคุณ” ดวงเนตร
พูดกับมิสเซลลี่
“ขอบคุณค่ะ คุณเป็นลูกค้าที่น่ารักมาก”
“บางคนเรื่องมากจนฉันปวดหัว” มิสเซลลี่นินทาลูกค้าให้ดวงเนตรฟัง เธอยิ้มให้พร้อมกล่าวอำลา
“ฉันไปก่อนละนะ Bye.”
ช่วงบ่ายแมททิวเดินเรื่อย ๆ มาถึงบ้านนิคกี้ “Hi! แมททิว รอสักครู่นะ” แมททิวนั่งรอที่เก้าอี้โยกบนชานบ้าน กลิ่นดอกไม้หอมโชยมา ระแนงไม้
ที่มีเถาองุ่นเลื้อยคลานเกาะอยู่ทั่วไปดูสวยงาม ทางขึ้นด้านหน้ามีบันไดสองขั้น ดวงเนตรตั้งต้นดอกอาซาเลีย และต้นไฮเดรนเยียสีม่วงคราม
“ทำบ้านได้น่าอยู่จริงนะนิคกี้” แมททิวทึ่ง
“ไปเถอะ แมททิว”
“นิคกี้เป็นอะไร ทำไมหน้าเศร้าจัง”
“คิดถึงแฟนจะเข้าครึ่งปีแล้ว ยังตามไม่เจอร่องรอยเพิ่มเติมเลย และเมื่อก่อนที่คาร์บอลเดล ทุกช่วงที่สอบเสร็จพี่ ๆ และเพื่อน รวมนิคกี้กับ
แนท..พี่หนอย จะทำอาหารกินกัน และเขาชอบแหย่ให้ทุกคนหัวเราะ เขาร้องเพลงไพเราะและเล่นกีต้าร์เก่งด้วย” ดวงเนตรพูดถึงพี่หนอยเหมือน
รำพัน
แมททิวถอนใจเบา ๆ “ผมเป็นกำลังใจให้ ขอให้สมปรารถนานะครับ” เอ่ยไปก็พลางคิด...’อย่าชอบคนที่เขามีคู่แล้วจะได้ไม่เจ็บปวด’ เป็นความ
จริงที่ใครอยู่ใกล้นิคกี้แล้วจะไม่ชอบเธอ นิคกี้เป็นผู้หญิงรูปร่างโปร่งบาง ผิวขาวละเอียด ดวงตาสวยยาวรีสีน้ำตาลเข้มช่างมีเสน่ห์นัก สำหรับหญิงสาว
เองแม้สนิทก็จะมีระยะห่างที่ชัดเจน
“ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว”...นั่นคือคำตอบของนิคกี้เองตั้งแต่แรกจนถึงเดี๋ยวนี้