หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (42)...วันนี้ที่ยังมีเรา
ตกลงเย็นนั้นมีรถขับมาด้วยกันสามคัน พี่หนอยมากับน้าวิว พี่ศิริ พี่น้อย และดวงเนตร อีกคันคือสี่สหายแห่งเมืองสงขลา พี่พลไปตามเจอ
แต่สุดากับพี่น้องที่เช่าบ้านเองอีกหลังหนึ่ง ส่วนภาคภูมิกับวิศาลไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ.อด ทุกคนเข้าไปทักทายกันในร้าน วันนี้ดวงเนตรเอาชุดที่พี่
หนอยซื้อให้วันปีใหม่มาใส่ พี่หนอยกับพี่น้อย...อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตอนซื้อชุด...ยิ้มสดใส
“โอ้! แม่นางจุติมาจากสวรรค์ชั้นไหนฤา”
“ชั้นสองค่ะ”
“แง่วว...ไม่รับมุกพี่หนอยเลยคนสวย” พี่หนอยต่อว่าเล็ก ๆ
ทุกคนทอดเสื้อกันหนาวออก น้าวิวเข้ามากอดดวงเนตรเธอกอดตอบ พี่น้อยน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงว่าน้าวิวผูกพันกับดวงเนตรที่เข้ามาเติมเต็ม
หัวใจเธอแทนดวงแก้ว...น้องสาวที่ล่วงลับ
“ชุดสวยจังเลย”
“คนสวยใส่ผ้าถุงยังสวยเลยครับ” พี่หนอยแหย่
“บ้านแกสินี่ถ้าดวงเนตรไปอยู่บ้านแกสงสัยคงต้องบังคับให้เขาใส่ผ้าถุงแน่” พูดแล้วก็เสียใจเอง...เพราะมันจะมีวันนั้นไหมหนอ ดวงเนตรใส่
ชุดกระโปรงผ้าเนื้อหนาแขนยาวเรียวลงมาตามรูปแขน เอวจีบและปล่อยตัวกระโปรงยาวลงมาเกือบถึงน่อง เอวเล็ก สะโพกผายพอดีตัวเหมือนสั่งตัด
ตัวชุดเป็นพื้นสีน้ำตาลแดง ลายกุหลาบดอกเล็กกระจายตัวอยู่พองาม คอกลมระบายด้วยลูกไม้ลายละเอียดนุ่มสีแดงเข้ม พี่หนอยใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม
คอเต่า กางเกงยีน ทับด้วยสูทแบบลำลองสีเดียวกับเสื้อ หมากพาน้องทักท้ายทุกคน พี่พลเดินนำไปที่โต๊ะจัดไว้สิบห้าที่ ดวงเนตรนั่งกลางหนอยกับพี่
พลนั่งประกบ เหล็กกะจะนั่งข้างพี่คนสวยแต่ช้าไปกว่าพี่พลหนึ่งก้าว
“กระจายตัวกันหน่อยให้มันสมดุลย์ จะไปแย่งของที่เขามีเจ้าของเหรอเหล็ก” เสียงน้าวิวดักคอ
“ใครก็อยากนั่งกับคนสวย”
“อ้อ! มีพี่เนตรสวยอยู่คนเดียวนี่นะ” พี่ศิริแกล้งทำเสียงเข้มใส่ เหล็กเลยเข้ามาไปนั่งใกล้ ๆ
“ใครว่า...ก็สวยกันทุกคนนะครับ”
“หัดมาตั้งแต่เกิดเลยนะไอ้เรื่องพูดหวานปานน้ำผึ้งเนี่ย” น้าวิวดักคอ
หมากแก้ให้ “มันพูดมากครับไม่ใช่พูดหวาน พูดจนลิงเก็บมะพร้าวในสวนของพ่อหนีไปหลายตัวเลยครับ จนพ่อต้องส่งพวกเรามาเผชิญชะตา
กรรมที่กรุงเทพเพราะมันเป็นต้นเหตุ” คำบรรยายของหมากได้ใจทุกคนจริง ๆ เสียงหัวเราะไปตามการเล่าของหมาก แม้แต่ดวงเนตรก็อดหัวเราะไม่ได้
อาหารเริ่มทยอยออกมา ปากก็กินไปพูดไปให้ได้ฮาเป็นระยะจากบรรดาหนุ่มปากมากสองท่าน...พี่หนอยและน้องเล็ก...เหล็กกล้า
เหล็กแหย่พี่เนตร “สวยซะขนาดนี้ หาแฟนใหม่ให้หล่อกว่าพี่หนอยยังทันนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องหาเรื่องช่วยพี่หรอก หล่อขั้นเทพพี่เนตรเจอมาเยอะแล้วค่ะขี้เกียจมานั่งเฝ้าด้วย”
“ ใช่ ๆ เอาหล่อเท่อย่างพี่หนอยก็พอแล้ว แถมดูแลเอาอกเอาใจอย่างนี้ ไม่ใช่หาเอาตามตลาดนัดได้ง่าย ๆ นะครับ” พี่หนอยต่อกรกับเหล็ก
ดวงเนตรมองสบตาคนหล่อ ทุกอย่างที่ว่ามาเป็นความจริงที่เธอเห็นด้วยทั้งหมด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มสวยทั้งปากและตา
“มองกันอยู่นั้นแหละจนจะละลายหายไปทั้งสองคนอยู่แล้ว” เหล็กยังไม่เลิกตอแย เลยโดนหมากลุกขึ้นมาเขกกบาลหนึ่งที
“เจ็บนะพี่”
“ก็จะได้สงบปากสงบคำบ้างไง” หมากตอบน้อง ส่วนพี่พลอยู่ท่ามกลางการปะทะกันด้วยวาจาได้แต่ยิ้ม อาหารหมดโต๊ะแล้ว พัดกับหมัดดูจะถูกใจ
ที่พี่หมากเคาะหัวน้องเล็ก
ครู่หนึ่งมิสเตอร์คังเจ้าของร้าน ถือเค้กมูสช็อกโกแลตขนาดสองปอนด์และชีสเค้กมา
“โอ้! ยอดเลย” เหล็กออกอาการดีใจ
“เขาเอามาให้พี่เนตรจ้ะ” พี่น้อยเอ่ย พอวางลงหนอยเอาเทียนหนึ่งเล่มเล็กเสียบตรงกลาง
“เล่มเดียวเหรอครับ” เหล็กเอ่ย
“ถ้าเอาตามอายุต้องขนกันมาหลายกล่องเลย”
“พี่หนอยดูพูดสิ” ดวงเนตรต่อว่า
“ใช่ ๆ พูดออกมาได้ไงน่าเกียจจัง” เหล็กช่วยยุให้เขาทะเลาะกัน
“ใครถามเอ็งไอ้เหล็ก เสียมารยาท” เสียงพัดขัดขึ้นแบบเหลือทนกับปากน้องชาย
“เอาล่ะกินเค้กก่อนอิ่มแล้ว ใครจะตีกับใครเชิญได้นอกร้านครับผม” พี่หนอยเบรก
“มัวปะทะวาจากันเดียวเสียฤกษ์หมด” หนอยพูดขึ้น ดวงเนตรมองดูเค้กอย่างถูกใจ
“ชอบใช่ไหมล่ะ พี่หนอยรู้อยู่แล้วว่าเนตรชอบบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก เจ้านี้อร่อยที่สุดในคาร์บอนเดลเลยนะ ยังมีอีกก้อนใหญ่...เค้กมูสช็อกโกแลต
เลือกกันตามใจชอบครับ” หนอยจุดเทียน แล้วทุกคนก็ร้อง Happy Birthday ลั่นร้าน
“อ้าว! ตักกันเองนะครับ” หนอยพูดหลังจากตัดเค้กแล้ว และเอาใส่จานสองชิ้นให้ตัวเองและดวงเนตร อีกชิ้นวางลงที่จานน้าวิว
“ทานเยอะ ๆ นะครับน้าวิว” เขายิ้มกว้างเห็นแนวฟันขาวสวย เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“อย่าให้เกิดอะไรเลย โอ้พระเจ้าทำไมช่างโหดร้ายนัก” เสียงเอ่ยเบา ๆ พอพี่น้อยได้ยิน
ดาวเอ๋ยอย่าเพิ่งเคลื่อน เดือนเอ๋ยอย่าเพิ่งคล้อย อย่าทำร้ายหัวใจดวงน้อยของดวงเนตรเลย...ดวงเนตรมีความรู้สึกเหมือนกันว่า
ความสุขที่มีอยู่ทุกวินาทีกับพี่หนอยอาจจะค่อย ๆ หมดไปและหมดไป ‘พุทธองค์โปรดเมตตาพี่หนอยและดวงเนตรด้วยเถิด’ หญิงสาวคิด
ทุกคนอยู่ในชุดกันหนาวพร้อมจะแยกกันกลับ
“อ้าว ๆ ! กลับได้แล้ว ค่อย ๆ ไปนะระวังด้วยถนนมันลื่น” เสียงเจ๊ใหญ่สั่งการ
“ไปล่ะครับ แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” เสียงเหล็กกระโกนลั่น ท่ามกลางความหนาวและความเงียบ
“ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย คงต้องเสียไปเพราะปากไอ้เหล็กไม่ช้าก็เร็ว” พัดเอ่ยขึ้น ทุกคนหัวเราะก๊าก ไม่รู้ว่าสะใจหรือขำ
หนอยขับรถมาจอดเทียบหน้าหอ ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปข้างใน อากาศจะยิ่งหนาวเมื่อหิมะหยุด และค่อย ๆยุบตัวละลายกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง ถนน
ก็ลื่น พื้นที่เดินไปมาก็ลื่น ทุกคนผ่านประสบการการลื่นล้มมาแล้ว
น้าวิวพูดขึ้น “หนอยไปส่งน้องหนูที่ห้องให้เรียบร้อย พี่ ๆ เขาจะแยกไปแล้วเหนื่อยจังวันนี้”
“ครับผม”
หนอยออกอาการ งง! หมู่นี้ดูเหมือนน้าวิวจะลดเงื่อนไขการพบปะกับดวงเนตรลงไปมาก หนอยคิดว่าเธอคงเข้าใจดีว่าหนอยจะไม่ล่วงข้าม
แดนของดวงเนตรจนกว่าเราสองคนจะพร้อม และต้องถูกต้องตามธรรมเนียม ดวงเนตรเข้าไปล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อยออกมา
“อ้าว! พี่หนอยยังไม่กลับเหรอคะ”
“เนตรนึกว่า ไปแล้วเสียอีก”
“ไปได้ยังไง ยังไม่ได้จูบลาเลย”
“พี่หนอยชักจะเอาใหญ่แล้ว” ดวงเนตรกล่าวออกไปเช่นนั้นเอง แต่เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอเองก็ต้องการรอยจูบที่อบอุ่นและต้องการซุกตัวอยู่
ในวงแขนนั้นตลอดไป เพราะหากวันหนึ่งเธอต้องโอบกอดตัวเองไว้อย่างเดียวดาย เธอจะทนอยู่ได้นานสักเพียงใด
“พี่หนอยเหนื่อยไหมคะ”
“อยู่กับเนตรถึงจะเหนื่อย พอได้เห็นรอยยิ้มก็หายแล้ว”
“นอนเถอะเดี๋ยวพี่หนอยห่มผ้าให้” เธอสวมทับเสื้อคลุมแล้วเอนตัวลงนอน หนอยทอดเสื้อสูทพาดเก้าอี้ไว้ เอาหมอนบนฟูกมาดันหลังไว้ ผิง
กับหัวเตียงแล้วลงนอนใกล้ ๆ มือซ้ายโอบตัวดวงเนตรไว้ เธอซุกเข้าหาอกกว้าง มือสองข้างสอดเอวแล้วกอดไว้แน่น
“หมู่นี้ทำไมเนตรกอดพี่หนอยซะแน่น...หนาวเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ เนตรกลัวพี่หนอยหาย” เขายิ้มเห็นฟันขาวสวย ใช่ดวงเนตรจำได้...พี่ก้อยพี่สาวพี่หนอยเป็นหมอฟัน มีอยู่หลายครั้งที่แม่โทรมาหา
หนอยแล้วขอคุยกับเนตร แม่พี่หนอยเสียงเข้ม แต่ใจดี นิสัยน่าจะคล้ายน้าวิว แม่พูดสอนเนตรหลายอย่างและให้กำลังใจเสมอ ส่วนพี่ก้อยก็ได้คุยกัน
หลายครั้ง ยกเว้น! เตี่ย แม่พี่หนอยเป็นคนพูดเองไว้เจอกันแล้วค่อยคุย เรื่องทั้งหมดแม่ตัดสินใจเองได้
“เนตรยังไม่หลับพี่หนอยรู้นะ คิดอะไรอยู่ครับ”
“เปล่าค่ะ หลับตาเฉย ๆ ”
“มองหน้าพี่หนอยซิ”
“นั่นไงตาของเนตรหลอกคนไม่เคยได้หรอก”
“สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้เนตรกลัว”
“ทำไมล่ะ”
“เนตรกลัวว่ามันจะจางหายไปเหมือนในความฝัน”
“ความฝันก็คือความฝัน อย่าเครียดสิครับเดี๋ยวหน้าจะแก่เร็วนะ” เขาใช้นิ้วไล้แผ่วเบาทั่วใบหน้าเหมือนจะเก็บทุกอย่างของดวงเนตรเข้าไว้
ในความทรงจำ เธอหลับตาซุกเข้าหาอกกว้าง กลิ่นกายกับกลิ่นโคโลญจน์...ให้ห่างไกลไปไหนก็ไม่มีวันลืม อกกว้างช่างอบอุ่นนัก
“เด็กน้อย...พี่หนอยจะไม่หายไปไหนโดยที่ยังไม่ได้กล่าวคำลา
“พี่หนอยรักดวงเนตรนะครับ”
'แม้หากต้องพลิกฟ้าพลิกดินดวงเนตรก็จะตามหาดวงใจดวงนี้กลับคืนมา' น้ำตาไหลริน พร้อมกับการเผลอหลับไปกับความคิด พี่หนอยจัดท่า
นอนให้ดีแล้วห่มผ้า จูบลงที่ดวงตาซึ่งยังเปียกชื้นอยู่
“พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพลังแห่งรัก เมื่อสองแรงรวมเป็นหนึ่งพลังย่อมมหาศาล ผมจะอยู่กับเนตรจนแก่ มองดูลูกหลานอย่างมีความสุขด้วยกัน
นอนหลับฝันดีนะครับ” พี่หนอยปิดไฟกลางห้อง เปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้แล้ว ล็อกประตู
หนอยสวมสูททับแล้วขับรถกลับไป ดวงเนตรได้ยินทุกคำที่พี่หนอยพูดเธอยังไม่ได้หลับดี พอหนอยขยับตัวดวงเนตรก็รู้สึกแล้ว แต่เธอแสร้ง
ทำเป็นหลับต่อ “ทุกคำพูดของพี่หนอย ดวงเนตรถือเอาเป็นสัญญาจากพี่หนอยนะคะ”
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (42)...วันนี้ที่ยังมีเรา
ตกลงเย็นนั้นมีรถขับมาด้วยกันสามคัน พี่หนอยมากับน้าวิว พี่ศิริ พี่น้อย และดวงเนตร อีกคันคือสี่สหายแห่งเมืองสงขลา พี่พลไปตามเจอ
แต่สุดากับพี่น้องที่เช่าบ้านเองอีกหลังหนึ่ง ส่วนภาคภูมิกับวิศาลไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ.อด ทุกคนเข้าไปทักทายกันในร้าน วันนี้ดวงเนตรเอาชุดที่พี่
หนอยซื้อให้วันปีใหม่มาใส่ พี่หนอยกับพี่น้อย...อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตอนซื้อชุด...ยิ้มสดใส
“โอ้! แม่นางจุติมาจากสวรรค์ชั้นไหนฤา”
“ชั้นสองค่ะ”
“แง่วว...ไม่รับมุกพี่หนอยเลยคนสวย” พี่หนอยต่อว่าเล็ก ๆ
ทุกคนทอดเสื้อกันหนาวออก น้าวิวเข้ามากอดดวงเนตรเธอกอดตอบ พี่น้อยน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงว่าน้าวิวผูกพันกับดวงเนตรที่เข้ามาเติมเต็ม
หัวใจเธอแทนดวงแก้ว...น้องสาวที่ล่วงลับ
“ชุดสวยจังเลย”
“คนสวยใส่ผ้าถุงยังสวยเลยครับ” พี่หนอยแหย่
“บ้านแกสินี่ถ้าดวงเนตรไปอยู่บ้านแกสงสัยคงต้องบังคับให้เขาใส่ผ้าถุงแน่” พูดแล้วก็เสียใจเอง...เพราะมันจะมีวันนั้นไหมหนอ ดวงเนตรใส่
ชุดกระโปรงผ้าเนื้อหนาแขนยาวเรียวลงมาตามรูปแขน เอวจีบและปล่อยตัวกระโปรงยาวลงมาเกือบถึงน่อง เอวเล็ก สะโพกผายพอดีตัวเหมือนสั่งตัด
ตัวชุดเป็นพื้นสีน้ำตาลแดง ลายกุหลาบดอกเล็กกระจายตัวอยู่พองาม คอกลมระบายด้วยลูกไม้ลายละเอียดนุ่มสีแดงเข้ม พี่หนอยใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม
คอเต่า กางเกงยีน ทับด้วยสูทแบบลำลองสีเดียวกับเสื้อ หมากพาน้องทักท้ายทุกคน พี่พลเดินนำไปที่โต๊ะจัดไว้สิบห้าที่ ดวงเนตรนั่งกลางหนอยกับพี่
พลนั่งประกบ เหล็กกะจะนั่งข้างพี่คนสวยแต่ช้าไปกว่าพี่พลหนึ่งก้าว
“กระจายตัวกันหน่อยให้มันสมดุลย์ จะไปแย่งของที่เขามีเจ้าของเหรอเหล็ก” เสียงน้าวิวดักคอ
“ใครก็อยากนั่งกับคนสวย”
“อ้อ! มีพี่เนตรสวยอยู่คนเดียวนี่นะ” พี่ศิริแกล้งทำเสียงเข้มใส่ เหล็กเลยเข้ามาไปนั่งใกล้ ๆ
“ใครว่า...ก็สวยกันทุกคนนะครับ”
“หัดมาตั้งแต่เกิดเลยนะไอ้เรื่องพูดหวานปานน้ำผึ้งเนี่ย” น้าวิวดักคอ
หมากแก้ให้ “มันพูดมากครับไม่ใช่พูดหวาน พูดจนลิงเก็บมะพร้าวในสวนของพ่อหนีไปหลายตัวเลยครับ จนพ่อต้องส่งพวกเรามาเผชิญชะตา
กรรมที่กรุงเทพเพราะมันเป็นต้นเหตุ” คำบรรยายของหมากได้ใจทุกคนจริง ๆ เสียงหัวเราะไปตามการเล่าของหมาก แม้แต่ดวงเนตรก็อดหัวเราะไม่ได้
อาหารเริ่มทยอยออกมา ปากก็กินไปพูดไปให้ได้ฮาเป็นระยะจากบรรดาหนุ่มปากมากสองท่าน...พี่หนอยและน้องเล็ก...เหล็กกล้า
เหล็กแหย่พี่เนตร “สวยซะขนาดนี้ หาแฟนใหม่ให้หล่อกว่าพี่หนอยยังทันนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องหาเรื่องช่วยพี่หรอก หล่อขั้นเทพพี่เนตรเจอมาเยอะแล้วค่ะขี้เกียจมานั่งเฝ้าด้วย”
“ ใช่ ๆ เอาหล่อเท่อย่างพี่หนอยก็พอแล้ว แถมดูแลเอาอกเอาใจอย่างนี้ ไม่ใช่หาเอาตามตลาดนัดได้ง่าย ๆ นะครับ” พี่หนอยต่อกรกับเหล็ก
ดวงเนตรมองสบตาคนหล่อ ทุกอย่างที่ว่ามาเป็นความจริงที่เธอเห็นด้วยทั้งหมด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มสวยทั้งปากและตา
“มองกันอยู่นั้นแหละจนจะละลายหายไปทั้งสองคนอยู่แล้ว” เหล็กยังไม่เลิกตอแย เลยโดนหมากลุกขึ้นมาเขกกบาลหนึ่งที
“เจ็บนะพี่”
“ก็จะได้สงบปากสงบคำบ้างไง” หมากตอบน้อง ส่วนพี่พลอยู่ท่ามกลางการปะทะกันด้วยวาจาได้แต่ยิ้ม อาหารหมดโต๊ะแล้ว พัดกับหมัดดูจะถูกใจ
ที่พี่หมากเคาะหัวน้องเล็ก
ครู่หนึ่งมิสเตอร์คังเจ้าของร้าน ถือเค้กมูสช็อกโกแลตขนาดสองปอนด์และชีสเค้กมา
“โอ้! ยอดเลย” เหล็กออกอาการดีใจ
“เขาเอามาให้พี่เนตรจ้ะ” พี่น้อยเอ่ย พอวางลงหนอยเอาเทียนหนึ่งเล่มเล็กเสียบตรงกลาง
“เล่มเดียวเหรอครับ” เหล็กเอ่ย
“ถ้าเอาตามอายุต้องขนกันมาหลายกล่องเลย”
“พี่หนอยดูพูดสิ” ดวงเนตรต่อว่า
“ใช่ ๆ พูดออกมาได้ไงน่าเกียจจัง” เหล็กช่วยยุให้เขาทะเลาะกัน
“ใครถามเอ็งไอ้เหล็ก เสียมารยาท” เสียงพัดขัดขึ้นแบบเหลือทนกับปากน้องชาย
“เอาล่ะกินเค้กก่อนอิ่มแล้ว ใครจะตีกับใครเชิญได้นอกร้านครับผม” พี่หนอยเบรก
“มัวปะทะวาจากันเดียวเสียฤกษ์หมด” หนอยพูดขึ้น ดวงเนตรมองดูเค้กอย่างถูกใจ
“ชอบใช่ไหมล่ะ พี่หนอยรู้อยู่แล้วว่าเนตรชอบบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก เจ้านี้อร่อยที่สุดในคาร์บอนเดลเลยนะ ยังมีอีกก้อนใหญ่...เค้กมูสช็อกโกแลต
เลือกกันตามใจชอบครับ” หนอยจุดเทียน แล้วทุกคนก็ร้อง Happy Birthday ลั่นร้าน
“อ้าว! ตักกันเองนะครับ” หนอยพูดหลังจากตัดเค้กแล้ว และเอาใส่จานสองชิ้นให้ตัวเองและดวงเนตร อีกชิ้นวางลงที่จานน้าวิว
“ทานเยอะ ๆ นะครับน้าวิว” เขายิ้มกว้างเห็นแนวฟันขาวสวย เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“อย่าให้เกิดอะไรเลย โอ้พระเจ้าทำไมช่างโหดร้ายนัก” เสียงเอ่ยเบา ๆ พอพี่น้อยได้ยิน
ดาวเอ๋ยอย่าเพิ่งเคลื่อน เดือนเอ๋ยอย่าเพิ่งคล้อย อย่าทำร้ายหัวใจดวงน้อยของดวงเนตรเลย...ดวงเนตรมีความรู้สึกเหมือนกันว่า
ความสุขที่มีอยู่ทุกวินาทีกับพี่หนอยอาจจะค่อย ๆ หมดไปและหมดไป ‘พุทธองค์โปรดเมตตาพี่หนอยและดวงเนตรด้วยเถิด’ หญิงสาวคิด
ทุกคนอยู่ในชุดกันหนาวพร้อมจะแยกกันกลับ
“อ้าว ๆ ! กลับได้แล้ว ค่อย ๆ ไปนะระวังด้วยถนนมันลื่น” เสียงเจ๊ใหญ่สั่งการ
“ไปล่ะครับ แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” เสียงเหล็กกระโกนลั่น ท่ามกลางความหนาวและความเงียบ
“ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย คงต้องเสียไปเพราะปากไอ้เหล็กไม่ช้าก็เร็ว” พัดเอ่ยขึ้น ทุกคนหัวเราะก๊าก ไม่รู้ว่าสะใจหรือขำ
หนอยขับรถมาจอดเทียบหน้าหอ ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปข้างใน อากาศจะยิ่งหนาวเมื่อหิมะหยุด และค่อย ๆยุบตัวละลายกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง ถนน
ก็ลื่น พื้นที่เดินไปมาก็ลื่น ทุกคนผ่านประสบการการลื่นล้มมาแล้ว
น้าวิวพูดขึ้น “หนอยไปส่งน้องหนูที่ห้องให้เรียบร้อย พี่ ๆ เขาจะแยกไปแล้วเหนื่อยจังวันนี้”
“ครับผม”
หนอยออกอาการ งง! หมู่นี้ดูเหมือนน้าวิวจะลดเงื่อนไขการพบปะกับดวงเนตรลงไปมาก หนอยคิดว่าเธอคงเข้าใจดีว่าหนอยจะไม่ล่วงข้าม
แดนของดวงเนตรจนกว่าเราสองคนจะพร้อม และต้องถูกต้องตามธรรมเนียม ดวงเนตรเข้าไปล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อยออกมา
“อ้าว! พี่หนอยยังไม่กลับเหรอคะ”
“เนตรนึกว่า ไปแล้วเสียอีก”
“ไปได้ยังไง ยังไม่ได้จูบลาเลย”
“พี่หนอยชักจะเอาใหญ่แล้ว” ดวงเนตรกล่าวออกไปเช่นนั้นเอง แต่เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอเองก็ต้องการรอยจูบที่อบอุ่นและต้องการซุกตัวอยู่
ในวงแขนนั้นตลอดไป เพราะหากวันหนึ่งเธอต้องโอบกอดตัวเองไว้อย่างเดียวดาย เธอจะทนอยู่ได้นานสักเพียงใด
“พี่หนอยเหนื่อยไหมคะ”
“อยู่กับเนตรถึงจะเหนื่อย พอได้เห็นรอยยิ้มก็หายแล้ว”
“นอนเถอะเดี๋ยวพี่หนอยห่มผ้าให้” เธอสวมทับเสื้อคลุมแล้วเอนตัวลงนอน หนอยทอดเสื้อสูทพาดเก้าอี้ไว้ เอาหมอนบนฟูกมาดันหลังไว้ ผิง
กับหัวเตียงแล้วลงนอนใกล้ ๆ มือซ้ายโอบตัวดวงเนตรไว้ เธอซุกเข้าหาอกกว้าง มือสองข้างสอดเอวแล้วกอดไว้แน่น
“หมู่นี้ทำไมเนตรกอดพี่หนอยซะแน่น...หนาวเหรอครับ”
“เปล่าค่ะ เนตรกลัวพี่หนอยหาย” เขายิ้มเห็นฟันขาวสวย ใช่ดวงเนตรจำได้...พี่ก้อยพี่สาวพี่หนอยเป็นหมอฟัน มีอยู่หลายครั้งที่แม่โทรมาหา
หนอยแล้วขอคุยกับเนตร แม่พี่หนอยเสียงเข้ม แต่ใจดี นิสัยน่าจะคล้ายน้าวิว แม่พูดสอนเนตรหลายอย่างและให้กำลังใจเสมอ ส่วนพี่ก้อยก็ได้คุยกัน
หลายครั้ง ยกเว้น! เตี่ย แม่พี่หนอยเป็นคนพูดเองไว้เจอกันแล้วค่อยคุย เรื่องทั้งหมดแม่ตัดสินใจเองได้
“เนตรยังไม่หลับพี่หนอยรู้นะ คิดอะไรอยู่ครับ”
“เปล่าค่ะ หลับตาเฉย ๆ ”
“มองหน้าพี่หนอยซิ”
“นั่นไงตาของเนตรหลอกคนไม่เคยได้หรอก”
“สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้เนตรกลัว”
“ทำไมล่ะ”
“เนตรกลัวว่ามันจะจางหายไปเหมือนในความฝัน”
“ความฝันก็คือความฝัน อย่าเครียดสิครับเดี๋ยวหน้าจะแก่เร็วนะ” เขาใช้นิ้วไล้แผ่วเบาทั่วใบหน้าเหมือนจะเก็บทุกอย่างของดวงเนตรเข้าไว้
ในความทรงจำ เธอหลับตาซุกเข้าหาอกกว้าง กลิ่นกายกับกลิ่นโคโลญจน์...ให้ห่างไกลไปไหนก็ไม่มีวันลืม อกกว้างช่างอบอุ่นนัก
“เด็กน้อย...พี่หนอยจะไม่หายไปไหนโดยที่ยังไม่ได้กล่าวคำลา
“พี่หนอยรักดวงเนตรนะครับ”
'แม้หากต้องพลิกฟ้าพลิกดินดวงเนตรก็จะตามหาดวงใจดวงนี้กลับคืนมา' น้ำตาไหลริน พร้อมกับการเผลอหลับไปกับความคิด พี่หนอยจัดท่า
นอนให้ดีแล้วห่มผ้า จูบลงที่ดวงตาซึ่งยังเปียกชื้นอยู่
“พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพลังแห่งรัก เมื่อสองแรงรวมเป็นหนึ่งพลังย่อมมหาศาล ผมจะอยู่กับเนตรจนแก่ มองดูลูกหลานอย่างมีความสุขด้วยกัน
นอนหลับฝันดีนะครับ” พี่หนอยปิดไฟกลางห้อง เปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้แล้ว ล็อกประตู
หนอยสวมสูททับแล้วขับรถกลับไป ดวงเนตรได้ยินทุกคำที่พี่หนอยพูดเธอยังไม่ได้หลับดี พอหนอยขยับตัวดวงเนตรก็รู้สึกแล้ว แต่เธอแสร้ง
ทำเป็นหลับต่อ “ทุกคำพูดของพี่หนอย ดวงเนตรถือเอาเป็นสัญญาจากพี่หนอยนะคะ”