หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (42)...วันนี้ที่ยังมีเรา

กระทู้คำถาม
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (42)...วันนี้ที่ยังมีเรา
 
            ตกลงเย็นนั้นมีรถขับมาด้วยกันสามคัน พี่หนอยมากับน้าวิว พี่ศิริ พี่น้อย และดวงเนตร อีกคันคือสี่สหายแห่งเมืองสงขลา พี่พลไปตามเจอ
แต่สุดากับพี่น้องที่เช่าบ้านเองอีกหลังหนึ่ง ส่วนภาคภูมิกับวิศาลไปเที่ยวกับเพื่อนเลยอ.อด ทุกคนเข้าไปทักทายกันในร้าน วันนี้ดวงเนตรเอาชุดที่พี่
หนอยซื้อให้วันปีใหม่มาใส่  พี่หนอยกับพี่น้อย...อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตอนซื้อชุด...ยิ้มสดใส
            “โอ้! แม่นางจุติมาจากสวรรค์ชั้นไหนฤา”
            “ชั้นสองค่ะ”
            “แง่วว...ไม่รับมุกพี่หนอยเลยคนสวย” พี่หนอยต่อว่าเล็ก ๆ
            ทุกคนทอดเสื้อกันหนาวออก น้าวิวเข้ามากอดดวงเนตรเธอกอดตอบ พี่น้อยน้ำตาคลอเมื่อคิดถึงว่าน้าวิวผูกพันกับดวงเนตรที่เข้ามาเติมเต็ม
หัวใจเธอแทนดวงแก้ว...น้องสาวที่ล่วงลับ
            “ชุดสวยจังเลย”
            “คนสวยใส่ผ้าถุงยังสวยเลยครับ” พี่หนอยแหย่
            “บ้านแกสินี่ถ้าดวงเนตรไปอยู่บ้านแกสงสัยคงต้องบังคับให้เขาใส่ผ้าถุงแน่”  พูดแล้วก็เสียใจเอง...เพราะมันจะมีวันนั้นไหมหนอ ดวงเนตรใส่
ชุดกระโปรงผ้าเนื้อหนาแขนยาวเรียวลงมาตามรูปแขน เอวจีบและปล่อยตัวกระโปรงยาวลงมาเกือบถึงน่อง เอวเล็ก สะโพกผายพอดีตัวเหมือนสั่งตัด
ตัวชุดเป็นพื้นสีน้ำตาลแดง ลายกุหลาบดอกเล็กกระจายตัวอยู่พองาม คอกลมระบายด้วยลูกไม้ลายละเอียดนุ่มสีแดงเข้ม พี่หนอยใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้ม
คอเต่า กางเกงยีน ทับด้วยสูทแบบลำลองสีเดียวกับเสื้อ หมากพาน้องทักท้ายทุกคน พี่พลเดินนำไปที่โต๊ะจัดไว้สิบห้าที่ ดวงเนตรนั่งกลางหนอยกับพี่
พลนั่งประกบ เหล็กกะจะนั่งข้างพี่คนสวยแต่ช้าไปกว่าพี่พลหนึ่งก้าว  
            “กระจายตัวกันหน่อยให้มันสมดุลย์ จะไปแย่งของที่เขามีเจ้าของเหรอเหล็ก” เสียงน้าวิวดักคอ
            “ใครก็อยากนั่งกับคนสวย”
            “อ้อ! มีพี่เนตรสวยอยู่คนเดียวนี่นะ” พี่ศิริแกล้งทำเสียงเข้มใส่ เหล็กเลยเข้ามาไปนั่งใกล้ ๆ
            “ใครว่า...ก็สวยกันทุกคนนะครับ”
            “หัดมาตั้งแต่เกิดเลยนะไอ้เรื่องพูดหวานปานน้ำผึ้งเนี่ย” น้าวิวดักคอ  
            หมากแก้ให้ “มันพูดมากครับไม่ใช่พูดหวาน พูดจนลิงเก็บมะพร้าวในสวนของพ่อหนีไปหลายตัวเลยครับ จนพ่อต้องส่งพวกเรามาเผชิญชะตา
กรรมที่กรุงเทพเพราะมันเป็นต้นเหตุ” คำบรรยายของหมากได้ใจทุกคนจริง ๆ  เสียงหัวเราะไปตามการเล่าของหมาก แม้แต่ดวงเนตรก็อดหัวเราะไม่ได้
            อาหารเริ่มทยอยออกมา ปากก็กินไปพูดไปให้ได้ฮาเป็นระยะจากบรรดาหนุ่มปากมากสองท่าน...พี่หนอยและน้องเล็ก...เหล็กกล้า
            เหล็กแหย่พี่เนตร “สวยซะขนาดนี้ หาแฟนใหม่ให้หล่อกว่าพี่หนอยยังทันนะครับ”
            “ขอบคุณค่ะ ไม่ต้องหาเรื่องช่วยพี่หรอก หล่อขั้นเทพพี่เนตรเจอมาเยอะแล้วค่ะขี้เกียจมานั่งเฝ้าด้วย”
            “ ใช่ ๆ เอาหล่อเท่อย่างพี่หนอยก็พอแล้ว แถมดูแลเอาอกเอาใจอย่างนี้ ไม่ใช่หาเอาตามตลาดนัดได้ง่าย ๆ นะครับ” พี่หนอยต่อกรกับเหล็ก
ดวงเนตรมองสบตาคนหล่อ ทุกอย่างที่ว่ามาเป็นความจริงที่เธอเห็นด้วยทั้งหมด ดวงตาสีน้ำตาลเข้มยิ้มสวยทั้งปากและตา
            “มองกันอยู่นั้นแหละจนจะละลายหายไปทั้งสองคนอยู่แล้ว” เหล็กยังไม่เลิกตอแย เลยโดนหมากลุกขึ้นมาเขกกบาลหนึ่งที
            “เจ็บนะพี่”
            “ก็จะได้สงบปากสงบคำบ้างไง” หมากตอบน้อง ส่วนพี่พลอยู่ท่ามกลางการปะทะกันด้วยวาจาได้แต่ยิ้ม อาหารหมดโต๊ะแล้ว พัดกับหมัดดูจะถูกใจ
ที่พี่หมากเคาะหัวน้องเล็ก
           
            ครู่หนึ่งมิสเตอร์คังเจ้าของร้าน ถือเค้กมูสช็อกโกแลตขนาดสองปอนด์และชีสเค้กมา
            “โอ้! ยอดเลย” เหล็กออกอาการดีใจ
            “เขาเอามาให้พี่เนตรจ้ะ” พี่น้อยเอ่ย พอวางลงหนอยเอาเทียนหนึ่งเล่มเล็กเสียบตรงกลาง
            “เล่มเดียวเหรอครับ” เหล็กเอ่ย
            “ถ้าเอาตามอายุต้องขนกันมาหลายกล่องเลย”
            “พี่หนอยดูพูดสิ” ดวงเนตรต่อว่า
            “ใช่ ๆ พูดออกมาได้ไงน่าเกียจจัง” เหล็กช่วยยุให้เขาทะเลาะกัน
            “ใครถามเอ็งไอ้เหล็ก เสียมารยาท” เสียงพัดขัดขึ้นแบบเหลือทนกับปากน้องชาย
            “เอาล่ะกินเค้กก่อนอิ่มแล้ว ใครจะตีกับใครเชิญได้นอกร้านครับผม” พี่หนอยเบรก
            “มัวปะทะวาจากันเดียวเสียฤกษ์หมด” หนอยพูดขึ้น ดวงเนตรมองดูเค้กอย่างถูกใจ
            “ชอบใช่ไหมล่ะ พี่หนอยรู้อยู่แล้วว่าเนตรชอบบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก เจ้านี้อร่อยที่สุดในคาร์บอนเดลเลยนะ ยังมีอีกก้อนใหญ่...เค้กมูสช็อกโกแลต
เลือกกันตามใจชอบครับ” หนอยจุดเทียน แล้วทุกคนก็ร้อง Happy Birthday ลั่นร้าน  
            “อ้าว! ตักกันเองนะครับ” หนอยพูดหลังจากตัดเค้กแล้ว และเอาใส่จานสองชิ้นให้ตัวเองและดวงเนตร อีกชิ้นวางลงที่จานน้าวิว
            “ทานเยอะ ๆ นะครับน้าวิว” เขายิ้มกว้างเห็นแนวฟันขาวสวย เธอไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
            “อย่าให้เกิดอะไรเลย โอ้พระเจ้าทำไมช่างโหดร้ายนัก” เสียงเอ่ยเบา ๆ พอพี่น้อยได้ยิน 
           
            ดาวเอ๋ยอย่าเพิ่งเคลื่อน เดือนเอ๋ยอย่าเพิ่งคล้อย อย่าทำร้ายหัวใจดวงน้อยของดวงเนตรเลย...ดวงเนตรมีความรู้สึกเหมือนกันว่า
ความสุขที่มีอยู่ทุกวินาทีกับพี่หนอยอาจจะค่อย ๆ หมดไปและหมดไป ‘พุทธองค์โปรดเมตตาพี่หนอยและดวงเนตรด้วยเถิด’ หญิงสาวคิด
 
            ทุกคนอยู่ในชุดกันหนาวพร้อมจะแยกกันกลับ
            “อ้าว ๆ ! กลับได้แล้ว ค่อย ๆ ไปนะระวังด้วยถนนมันลื่น” เสียงเจ๊ใหญ่สั่งการ
            “ไปล่ะครับ แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ” เสียงเหล็กกระโกนลั่น ท่ามกลางความหนาวและความเงียบ
            “ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย คงต้องเสียไปเพราะปากไอ้เหล็กไม่ช้าก็เร็ว” พัดเอ่ยขึ้น ทุกคนหัวเราะก๊าก ไม่รู้ว่าสะใจหรือขำ
           
            หนอยขับรถมาจอดเทียบหน้าหอ ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปข้างใน อากาศจะยิ่งหนาวเมื่อหิมะหยุด และค่อย ๆยุบตัวละลายกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง ถนน
ก็ลื่น พื้นที่เดินไปมาก็ลื่น ทุกคนผ่านประสบการการลื่นล้มมาแล้ว
            น้าวิวพูดขึ้น “หนอยไปส่งน้องหนูที่ห้องให้เรียบร้อย พี่ ๆ เขาจะแยกไปแล้วเหนื่อยจังวันนี้”
            “ครับผม”  
           
            หนอยออกอาการ งง! หมู่นี้ดูเหมือนน้าวิวจะลดเงื่อนไขการพบปะกับดวงเนตรลงไปมาก หนอยคิดว่าเธอคงเข้าใจดีว่าหนอยจะไม่ล่วงข้าม
แดนของดวงเนตรจนกว่าเราสองคนจะพร้อม และต้องถูกต้องตามธรรมเนียม ดวงเนตรเข้าไปล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อยออกมา
            “อ้าว! พี่หนอยยังไม่กลับเหรอคะ”
            “เนตรนึกว่า ไปแล้วเสียอีก”
            “ไปได้ยังไง ยังไม่ได้จูบลาเลย”
            “พี่หนอยชักจะเอาใหญ่แล้ว” ดวงเนตรกล่าวออกไปเช่นนั้นเอง แต่เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอเองก็ต้องการรอยจูบที่อบอุ่นและต้องการซุกตัวอยู่
ในวงแขนนั้นตลอดไป เพราะหากวันหนึ่งเธอต้องโอบกอดตัวเองไว้อย่างเดียวดาย เธอจะทนอยู่ได้นานสักเพียงใด
            “พี่หนอยเหนื่อยไหมคะ”
            “อยู่กับเนตรถึงจะเหนื่อย พอได้เห็นรอยยิ้มก็หายแล้ว”
            “นอนเถอะเดี๋ยวพี่หนอยห่มผ้าให้” เธอสวมทับเสื้อคลุมแล้วเอนตัวลงนอน หนอยทอดเสื้อสูทพาดเก้าอี้ไว้ เอาหมอนบนฟูกมาดันหลังไว้ ผิง
กับหัวเตียงแล้วลงนอนใกล้ ๆ มือซ้ายโอบตัวดวงเนตรไว้ เธอซุกเข้าหาอกกว้าง มือสองข้างสอดเอวแล้วกอดไว้แน่น
            “หมู่นี้ทำไมเนตรกอดพี่หนอยซะแน่น...หนาวเหรอครับ”
            “เปล่าค่ะ เนตรกลัวพี่หนอยหาย” เขายิ้มเห็นฟันขาวสวย ใช่ดวงเนตรจำได้...พี่ก้อยพี่สาวพี่หนอยเป็นหมอฟัน มีอยู่หลายครั้งที่แม่โทรมาหา
หนอยแล้วขอคุยกับเนตร แม่พี่หนอยเสียงเข้ม แต่ใจดี นิสัยน่าจะคล้ายน้าวิว แม่พูดสอนเนตรหลายอย่างและให้กำลังใจเสมอ ส่วนพี่ก้อยก็ได้คุยกัน
หลายครั้ง ยกเว้น! เตี่ย แม่พี่หนอยเป็นคนพูดเองไว้เจอกันแล้วค่อยคุย เรื่องทั้งหมดแม่ตัดสินใจเองได้
            “เนตรยังไม่หลับพี่หนอยรู้นะ คิดอะไรอยู่ครับ”
            “เปล่าค่ะ หลับตาเฉย ๆ ”
            “มองหน้าพี่หนอยซิ”
            “นั่นไงตาของเนตรหลอกคนไม่เคยได้หรอก”
            “สิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นหลายครั้งทำให้เนตรกลัว”
            “ทำไมล่ะ”
            “เนตรกลัวว่ามันจะจางหายไปเหมือนในความฝัน”
            “ความฝันก็คือความฝัน อย่าเครียดสิครับเดี๋ยวหน้าจะแก่เร็วนะ” เขาใช้นิ้วไล้แผ่วเบาทั่วใบหน้าเหมือนจะเก็บทุกอย่างของดวงเนตรเข้าไว้
ในความทรงจำ เธอหลับตาซุกเข้าหาอกกว้าง กลิ่นกายกับกลิ่นโคโลญจน์...ให้ห่างไกลไปไหนก็ไม่มีวันลืม อกกว้างช่างอบอุ่นนัก
            “เด็กน้อย...พี่หนอยจะไม่หายไปไหนโดยที่ยังไม่ได้กล่าวคำลา
            “พี่หนอยรักดวงเนตรนะครับ”  
           
            'แม้หากต้องพลิกฟ้าพลิกดินดวงเนตรก็จะตามหาดวงใจดวงนี้กลับคืนมา' น้ำตาไหลริน พร้อมกับการเผลอหลับไปกับความคิด พี่หนอยจัดท่า
นอนให้ดีแล้วห่มผ้า จูบลงที่ดวงตาซึ่งยังเปียกชื้นอยู่
            “พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือพลังแห่งรัก เมื่อสองแรงรวมเป็นหนึ่งพลังย่อมมหาศาล ผมจะอยู่กับเนตรจนแก่ มองดูลูกหลานอย่างมีความสุขด้วยกัน
นอนหลับฝันดีนะครับ” พี่หนอยปิดไฟกลางห้อง เปิดไฟหัวเตียงทิ้งไว้แล้ว ล็อกประตู

            หนอยสวมสูททับแล้วขับรถกลับไป  ดวงเนตรได้ยินทุกคำที่พี่หนอยพูดเธอยังไม่ได้หลับดี พอหนอยขยับตัวดวงเนตรก็รู้สึกแล้ว แต่เธอแสร้ง
ทำเป็นหลับต่อ “ทุกคำพูดของพี่หนอย ดวงเนตรถือเอาเป็นสัญญาจากพี่หนอยนะคะ”
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่