หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (14)...ทำอย่างไรกับหัวใจที่ช้ำ
ดวงเนตรงีบหลับไปหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอตื่นขึ้นมาอีกที ก็เลยอาหารค่ำไปแล้ว ก้มมองนาฬิกาตอนนี้สองทุ่ม ตะวันเพิ่งลับเหลี่ยมเขา
เธอลุกเข้าห้องล้างหน้าล้างตา ใช้หวี...หวีตั้งแต่กกผมถึงปลายผม มองหน้าตัวเองดูเซียว ๆ คงเป็นเพราะเหนื่อย
เสียงประตูอีกฝั่งเปิดออกแอนยื่นหน้าเข้ามา
“ขอโทษด้วยเห็นห้องเงียบ ๆ นึกว่าออกไปไหน”
“ไม่เป็นไรเราเสร็จแล้ว” แอนอาบน้ำเสร็จเธอก็โผล่มาในห้องเนตร
“เข้าไปได้ไหมเนตร”
“เข้ามาสิ ตามสบาย วันนี้เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแอน”
“ก็เหนื่อยหน่อยยังไม่ชินน่ะ”
“เหมือนกันเลย “
“แอนกินอาหารเย็นหรือยัง”
“กินแล้วไปกินเบอร์เกอร์กับเพื่อนมาเลย์ฯ มา”
“แล้วเธอล่ะ”
“ยังเลยกลับมาถึงอาบน้ำเสร็จก็หลับเลยเกือบสองชั่วโมงแน่ะ”
“งั้นฉันไปก่อนนะจะไปเตรียมอ่านหนังสือ” แอนขอตัวเพื่อดวงเนตรจะได้หาอะไรใส่ท้อง
อาหารมื้อนี้เป็นแอปเปิล กับนมหนึ่งแก้ว “อิ่มจัง” ดวงเนตรเปิดทีวีดูข่าวดูละคร ทุกครั้งที่นั่งดูจะมีปากกาและกระดาษคอยจดคำใหม่ ๆ ตลอด
บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ พอรวบรวมได้จำนวนหนึ่งจึงไปถามน้าวิว ดวงเนตรปิดทีวีและเอาแก้วนมไปล้างเก็บ ได้ยินเสียงเคาะประตู คิดถึง
พี่หนอย แต่คิดว่าไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นพี่หนอยเขาจะเคาะประตูเป็นจังหวะ
ดวงเนตรเปิดประตูออกไปดู เห็นพี่วิศาลมากับภาคภูมิ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” ทั้งคู่ทักดวงเนตร พี่วิศาลถาม
“เป็นไงบ้างวันแรกสนุกไหม”
“วุ่นวายดีค่ะ เพราะมันยังไม่ค่อยลงตัว คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะปรับตัวได้” ดวงเนตรตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่เจอเนตรที่ห้องภาษาอังกฤษเลย”
“ในห้องมีคนไทยคนเดียวค่ะ”
“ของคุณน่าจะอยู่ห้องสองกระมังคะ”
“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้เรียกชื่อเล่นดีกว่านะ” ภาคภูมิพูดขึ้น
“จะให้เรียกอะไรล่ะคะ” เสียงดวงเนตรออกกวน ๆ
“เรียกน้อยก็ได้”
“อ้าว! ก็ชื่อเหมือนพี่น้อยสิ” เนตรแย้ง
“เอางี้ดีกว่าให้เนตรเรียกน้อยโย่งดีไหมเพราะตัวสูง”
“ได้ครับ” ภาคภูมิพูด ดวงเนตรก้มหน้าอมยิ้มอย่างถูกใจ
ทั้งสองคนนี้เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งยิ้มเหมือนไม่เต็มใจยิ้ม อีกคนชอบยิ้มที่มุมปาก ดวงเนตรยืนคุยอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เชื้อเชิญให้เข้าไปข้าง
ใน
‘ก็ไม่อยาก มีอะไรไหม’ เธอนึกในใจคุยกันอยู่ข้างประตูได้ครู่เดียว บุคคลที่สามก็ปรากฏตัว
“สวัสดีครับ”
“พี่หนอย”
“เรียกเสียงใสแบบนี้ คิดถึงใช่เปล่า!” สองหนุ่มมองไปที่พี่หนอยเป็นตาเดียว เขายิ้มอย่างกว้างขวางให้ทุกคน
“เข้าไปดื่มชากันก่อนสิ ดวงเนตรชงชาได้หวานชื่นใจมาก” แล้วมองมาหาเธอตาเป็นประกาย
“พี่หนอยพวกเขาจะกลับกันแล้ว” ดวงเนตรตัดบทเอาดื้อ ๆ แล้วทั้งสองก็ขอตัวกลับไป
“พี่หนอยมาทำไมคะดึกแล้ว”
“ใครว่า เพิ่งสามทุ่มเองนะจ๊ะน้องสาว”
“ทำไมเนตรไม่เรียกแขกให้เข้ามาข้างในก่อนล่ะ ยืนเกาะรั้วคุยกันอยู่ได้”
“มีแขกที่ไหนคะ มีแต่คนไทย แล้วรั้วที่จะให้เกาะอยู่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวนี่น้องหมวยของพี่หนอยช่างยอกย้อนนะจ๊ะ”
“พี่หนอย เนตรไม่ถูกชะตากับสองคนนั้นเลยนะ”
“อือ! ก็น่าหรอก พี่หนอยก็รู้สึกเหมือนกัน แต่เป็นความรู้สึกของผู้ชายกับผู้ชาย อย่าเข้าใกล้พวกเขามากก็แล้วกัน เขากะล่อนไปทั่ว”
“เหมือนพี่หนอยไหมคะ” ดวงเนตรถามเพราะอยากรู้ว่าพี่ชายคนนี้จะตอบว่าอย่างไร
“ไม่เหมือน พี่ชายคนนี้ดีกว่าเยอะและยิ่งมีน้องสาวที่คอยควบคุมอย่างดีด้วย ไม่เดินออกนอกเส้นทางแน่คร้าบผม”
“พี่หนอยเข้ามาดื่มชาสิคะ”
“แหม ๆ เรียกเสียงหวาน เมื่อกี้ทำไมไม่ชวนสองคนนั้นเข้ามานั่งด้วย”
ดวงเนตรเฉไฉ... “ก็เก้าอี้มีแค่ตัวเดียวนี่คะ”
“อ๋อ! เหรออออ...พี่หนอยเป็นห่วงเลยแวะมาดูว่าเป็นไงบ้าง ไหวไหม” น้ำเสียงล้อเล่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงห่วงใย
“พี่หนอยลงเรียนหนักไหมคะ”
“ไม่เท่าไร เหลืออีกไม่กี่ตัวก็จบแล้ว แต่ไม่อยากกลับเมืองไทย” คนพูดเสียงแผ่วลงและก้มหน้า
“พี่หนอยเข้มแข็งเอาไว้นะคะ”
“มีแต่คนบอกพี่หนอยให้เข้มแข็ง ให้อดทน ให้กตัญญู พี่หนอยเป็นคนนะไม่ใช่มนุษย์เหล็ก ที่พูด ๆ กัน พี่หนอยไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น...มีใคร
เคยถามไหมว่าพี่ต้องการอะไร ตั้งแต่การหมั้น ผู้ใหญ่ก็จัดการกันเอง พี่หนอยมารู้เอาทีหลัง มันเจ็บปวดนะดวงเนตร” เขาก้มตัวลงเอาหน้าซบอยู่บน
หัวเข่า แล้วเสียงพูดก็ขาดหายไป หัวไหล่ไหวสะเทือนน้อย ๆ ดวงเนตรนั่งลงกับพื้น ลูบไหล่พี่ชายแผ่วเบา เป็นเพราะเธอจริง ๆ ที่ทำให้พี่หนอยไม่หาย
หรือดีขึ้นเลย
น้าวิวจะมาตามเนตรไปกินข้าวด้วย มาเห็นพอดี เธอหมุนตัวกลับ ดวงตาแดงเรื่อ
“โธ่เอ๊ย! น้าวิวจะทำยังไงดีนะ”
ดวงเนตรลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนู เธอใช้สบู่ลาเวนเดอร์ กลิ่นอ่อนถูกับผ้า ขยี้แล้วบิดพอหมาด สาวน้อยเดินกลับมาแล้วคุกเข่าลง ประตูห้อง
ยังคงเปิดอยู่ น้าวิวมองผ่านช่องข้างประตูเข้ามาพร้อมกันกับพี่น้อย น้าวิวเจอพี่น้อยตอนเดินกลับไปและตาแดง ๆ แล้วทั้งคู่ก็กลับมาใหม่ ทั้งคู่จับมือกัน
ไว้และบีบเบา ๆ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าดวงเนตรพยายามอย่างมากที่จะรักหนอยได้เพียงแค่พี่ชาย และพยายามไม่เข้าไปแทรกแซงชีวิตใคร นั่นแหละ
เจ็บปวดกว่า
ดวงเนตรเชยคางพี่หนอยขึ้น
“เรียนหนักจนไม่มีเวลาโกนหนวดโกนเคราเลยเหรอคะ” เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง ขณะที่คลี่ผ้าขนหนูออกแล้วทบกัน เช็ดหน้าพี่หนอยอย่าง
อ่อนโยน หนอยจับมือที่ถือผ้าขนหนูอยู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาสวยสีน้ำตาลเข้มของดวงเนตร ถ้าหนอยไม่ได้เข้าข้างตัวเอง คนที่ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด
อยู่ในตาคู่สวยนั่นคือเธอ ดวงเนตรรีบหลับตาลง เพราะดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ หากปล่อยให้พี่หนอยเห็น เขาต้องรู้เพราะคนอย่างเขาฉลาด
นักหนา ลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะอยู่ที่ขอบตา ดวงเนตรไม่กล้าลืมตาขึ้น เพียงรู้สึกได้ถึงริมฝีปากอุ่นจูบประทับลงที่เปลือกตาเธอ
“พี่หนอยคะ ๆ ”
“ลืมตามองพี่ก่อนสิ” หนอยต่อรอง
“ปล่อยค่ะ ประตูเปิดอยู่จะทำให้เนตรเสียหายเหรอคะ” หนอยจำยอม เธอลุกขึ้นไปเอาชาร้อนมาให้ เขาจิบชาช้า ๆ มองตรงมายังดวงเนตรเหมือน
จะคาดคั้น
ใจเอ๋ยใจ ทำเฉยเมย เหมือนไม่ช้ำ
ใจดำ หรือแกล้งทำ เป็นแค่เพื่อน
จะไขว่คว้า เอาท้องฟ้า ดาวและเดือน
ส่องแสงเกลื่อน แล้วเลือนลับ หนาวจับใจ
หนอยขอน้ำชาอีกแก้ว
‘ดื่มยังกับจะให้เมาเลยนะพี่หนอย’ เสียงรำพึงในใจ เขายังจิบแก้วที่สองอย่างอ้อยอิง หายใจลึก ๆ ได้กลิ่นเย็นของการบูร
ทั้งสองสาวใหญ่ปาดน้ำตาจนแห้ง แล้วกระแอมเสียงขึ้น พี่น้อยเริ่มก่อน
“ทำอะไรกันจ๊ะ” ดวงเนตรหันไปซับน้ำตาที่ยังเปียกชื้นที่ปลายหางตา แล้วหันมาทางเสียงพี่น้อยยิ้มให้
“ทานน้ำชากับคุกกี้ไหมคะ อ้าว! น้าวิวก็มาด้วย มานั่งบนเตียงเนตรเลยค่ะ เดี๋ยวจะเสิร์ฟของว่างให้นะคะ”
“สูตรไหนอีกล่ะจ๊ะคนเก่งของน้าวิว”
“ดูจากรายการทีวีค่ะ” ความรู้สึกสงสารทำให้เธอเดินเข้าไปโอบดวงเนตรเบา ๆ หญิงสาวหันมากอดน้าวิวแน่น แล้วพูดว่าคิดถึง
“จ้า! แล้วไม่แวะไปหาล่ะ อยู่ไกลกันเนอะ” ดวงเนตรเสิร์ฟน้ำชาร้อน พร้อมกับคุกกี้ให้พี่ทั้งสองคน
“ขอบคุณค่ะ อยู่ใกล้เนตรน้ำหนักพี่น้อยขึ้นตั้งเยอะเลยนะ เดี๋ยวทำก๋วยเตี๋ยวหลอด เดี๋ยวทำขนมหวานสารพัดขนม”
“พี่น้อยอ้วน แต่ผมไม่ยักอ้วน”
“เป็นโรคอย่างเธอใครจะกินลง” น้าวิวเผลอหลุดปาก ทุกคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พูดออกไปแล้วก็สงสารทั้งหนอยและดวงเนตร น้าวิวทำหน้าเจื่อน
พอกินกันเสร็จ เธอชวนทุกคนกลับ
หนอยหันมามองหน้าสาวน้อย แต่เธอก้มหน้าต่ำ
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (14)...ทำอย่างไรกับหัวใจที่ช้ำ
ดวงเนตรงีบหลับไปหลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอตื่นขึ้นมาอีกที ก็เลยอาหารค่ำไปแล้ว ก้มมองนาฬิกาตอนนี้สองทุ่ม ตะวันเพิ่งลับเหลี่ยมเขา
เธอลุกเข้าห้องล้างหน้าล้างตา ใช้หวี...หวีตั้งแต่กกผมถึงปลายผม มองหน้าตัวเองดูเซียว ๆ คงเป็นเพราะเหนื่อย
เสียงประตูอีกฝั่งเปิดออกแอนยื่นหน้าเข้ามา
“ขอโทษด้วยเห็นห้องเงียบ ๆ นึกว่าออกไปไหน”
“ไม่เป็นไรเราเสร็จแล้ว” แอนอาบน้ำเสร็จเธอก็โผล่มาในห้องเนตร
“เข้าไปได้ไหมเนตร”
“เข้ามาสิ ตามสบาย วันนี้เป็นอย่างไรบ้างจ๊ะแอน”
“ก็เหนื่อยหน่อยยังไม่ชินน่ะ”
“เหมือนกันเลย “
“แอนกินอาหารเย็นหรือยัง”
“กินแล้วไปกินเบอร์เกอร์กับเพื่อนมาเลย์ฯ มา”
“แล้วเธอล่ะ”
“ยังเลยกลับมาถึงอาบน้ำเสร็จก็หลับเลยเกือบสองชั่วโมงแน่ะ”
“งั้นฉันไปก่อนนะจะไปเตรียมอ่านหนังสือ” แอนขอตัวเพื่อดวงเนตรจะได้หาอะไรใส่ท้อง
อาหารมื้อนี้เป็นแอปเปิล กับนมหนึ่งแก้ว “อิ่มจัง” ดวงเนตรเปิดทีวีดูข่าวดูละคร ทุกครั้งที่นั่งดูจะมีปากกาและกระดาษคอยจดคำใหม่ ๆ ตลอด
บางทีก็เข้าใจ บางทีก็ไม่เข้าใจ พอรวบรวมได้จำนวนหนึ่งจึงไปถามน้าวิว ดวงเนตรปิดทีวีและเอาแก้วนมไปล้างเก็บ ได้ยินเสียงเคาะประตู คิดถึง
พี่หนอย แต่คิดว่าไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นพี่หนอยเขาจะเคาะประตูเป็นจังหวะ
ดวงเนตรเปิดประตูออกไปดู เห็นพี่วิศาลมากับภาคภูมิ
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ” ทั้งคู่ทักดวงเนตร พี่วิศาลถาม
“เป็นไงบ้างวันแรกสนุกไหม”
“วุ่นวายดีค่ะ เพราะมันยังไม่ค่อยลงตัว คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะปรับตัวได้” ดวงเนตรตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ผมไม่เจอเนตรที่ห้องภาษาอังกฤษเลย”
“ในห้องมีคนไทยคนเดียวค่ะ”
“ของคุณน่าจะอยู่ห้องสองกระมังคะ”
“ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้เรียกชื่อเล่นดีกว่านะ” ภาคภูมิพูดขึ้น
“จะให้เรียกอะไรล่ะคะ” เสียงดวงเนตรออกกวน ๆ
“เรียกน้อยก็ได้”
“อ้าว! ก็ชื่อเหมือนพี่น้อยสิ” เนตรแย้ง
“เอางี้ดีกว่าให้เนตรเรียกน้อยโย่งดีไหมเพราะตัวสูง”
“ได้ครับ” ภาคภูมิพูด ดวงเนตรก้มหน้าอมยิ้มอย่างถูกใจ
ทั้งสองคนนี้เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งยิ้มเหมือนไม่เต็มใจยิ้ม อีกคนชอบยิ้มที่มุมปาก ดวงเนตรยืนคุยอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เชื้อเชิญให้เข้าไปข้าง
ใน ‘ก็ไม่อยาก มีอะไรไหม’ เธอนึกในใจคุยกันอยู่ข้างประตูได้ครู่เดียว บุคคลที่สามก็ปรากฏตัว
“สวัสดีครับ”
“พี่หนอย”
“เรียกเสียงใสแบบนี้ คิดถึงใช่เปล่า!” สองหนุ่มมองไปที่พี่หนอยเป็นตาเดียว เขายิ้มอย่างกว้างขวางให้ทุกคน
“เข้าไปดื่มชากันก่อนสิ ดวงเนตรชงชาได้หวานชื่นใจมาก” แล้วมองมาหาเธอตาเป็นประกาย
“พี่หนอยพวกเขาจะกลับกันแล้ว” ดวงเนตรตัดบทเอาดื้อ ๆ แล้วทั้งสองก็ขอตัวกลับไป
“พี่หนอยมาทำไมคะดึกแล้ว”
“ใครว่า เพิ่งสามทุ่มเองนะจ๊ะน้องสาว”
“ทำไมเนตรไม่เรียกแขกให้เข้ามาข้างในก่อนล่ะ ยืนเกาะรั้วคุยกันอยู่ได้”
“มีแขกที่ไหนคะ มีแต่คนไทย แล้วรั้วที่จะให้เกาะอยู่ไหนล่ะ”
“เดี๋ยวนี่น้องหมวยของพี่หนอยช่างยอกย้อนนะจ๊ะ”
“พี่หนอย เนตรไม่ถูกชะตากับสองคนนั้นเลยนะ”
“อือ! ก็น่าหรอก พี่หนอยก็รู้สึกเหมือนกัน แต่เป็นความรู้สึกของผู้ชายกับผู้ชาย อย่าเข้าใกล้พวกเขามากก็แล้วกัน เขากะล่อนไปทั่ว”
“เหมือนพี่หนอยไหมคะ” ดวงเนตรถามเพราะอยากรู้ว่าพี่ชายคนนี้จะตอบว่าอย่างไร
“ไม่เหมือน พี่ชายคนนี้ดีกว่าเยอะและยิ่งมีน้องสาวที่คอยควบคุมอย่างดีด้วย ไม่เดินออกนอกเส้นทางแน่คร้าบผม”
“พี่หนอยเข้ามาดื่มชาสิคะ”
“แหม ๆ เรียกเสียงหวาน เมื่อกี้ทำไมไม่ชวนสองคนนั้นเข้ามานั่งด้วย”
ดวงเนตรเฉไฉ... “ก็เก้าอี้มีแค่ตัวเดียวนี่คะ”
“อ๋อ! เหรออออ...พี่หนอยเป็นห่วงเลยแวะมาดูว่าเป็นไงบ้าง ไหวไหม” น้ำเสียงล้อเล่นเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงห่วงใย
“พี่หนอยลงเรียนหนักไหมคะ”
“ไม่เท่าไร เหลืออีกไม่กี่ตัวก็จบแล้ว แต่ไม่อยากกลับเมืองไทย” คนพูดเสียงแผ่วลงและก้มหน้า
“พี่หนอยเข้มแข็งเอาไว้นะคะ”
“มีแต่คนบอกพี่หนอยให้เข้มแข็ง ให้อดทน ให้กตัญญู พี่หนอยเป็นคนนะไม่ใช่มนุษย์เหล็ก ที่พูด ๆ กัน พี่หนอยไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น...มีใคร
เคยถามไหมว่าพี่ต้องการอะไร ตั้งแต่การหมั้น ผู้ใหญ่ก็จัดการกันเอง พี่หนอยมารู้เอาทีหลัง มันเจ็บปวดนะดวงเนตร” เขาก้มตัวลงเอาหน้าซบอยู่บน
หัวเข่า แล้วเสียงพูดก็ขาดหายไป หัวไหล่ไหวสะเทือนน้อย ๆ ดวงเนตรนั่งลงกับพื้น ลูบไหล่พี่ชายแผ่วเบา เป็นเพราะเธอจริง ๆ ที่ทำให้พี่หนอยไม่หาย
หรือดีขึ้นเลย
น้าวิวจะมาตามเนตรไปกินข้าวด้วย มาเห็นพอดี เธอหมุนตัวกลับ ดวงตาแดงเรื่อ
“โธ่เอ๊ย! น้าวิวจะทำยังไงดีนะ”
ดวงเนตรลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนู เธอใช้สบู่ลาเวนเดอร์ กลิ่นอ่อนถูกับผ้า ขยี้แล้วบิดพอหมาด สาวน้อยเดินกลับมาแล้วคุกเข่าลง ประตูห้อง
ยังคงเปิดอยู่ น้าวิวมองผ่านช่องข้างประตูเข้ามาพร้อมกันกับพี่น้อย น้าวิวเจอพี่น้อยตอนเดินกลับไปและตาแดง ๆ แล้วทั้งคู่ก็กลับมาใหม่ ทั้งคู่จับมือกัน
ไว้และบีบเบา ๆ ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าดวงเนตรพยายามอย่างมากที่จะรักหนอยได้เพียงแค่พี่ชาย และพยายามไม่เข้าไปแทรกแซงชีวิตใคร นั่นแหละ
เจ็บปวดกว่า
ดวงเนตรเชยคางพี่หนอยขึ้น
“เรียนหนักจนไม่มีเวลาโกนหนวดโกนเคราเลยเหรอคะ” เธอพยายามเปลี่ยนเรื่อง ขณะที่คลี่ผ้าขนหนูออกแล้วทบกัน เช็ดหน้าพี่หนอยอย่าง
อ่อนโยน หนอยจับมือที่ถือผ้าขนหนูอยู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาสวยสีน้ำตาลเข้มของดวงเนตร ถ้าหนอยไม่ได้เข้าข้างตัวเอง คนที่ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด
อยู่ในตาคู่สวยนั่นคือเธอ ดวงเนตรรีบหลับตาลง เพราะดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ หากปล่อยให้พี่หนอยเห็น เขาต้องรู้เพราะคนอย่างเขาฉลาด
นักหนา ลมหายใจอุ่น ๆ ปะทะอยู่ที่ขอบตา ดวงเนตรไม่กล้าลืมตาขึ้น เพียงรู้สึกได้ถึงริมฝีปากอุ่นจูบประทับลงที่เปลือกตาเธอ
“พี่หนอยคะ ๆ ”
“ลืมตามองพี่ก่อนสิ” หนอยต่อรอง
“ปล่อยค่ะ ประตูเปิดอยู่จะทำให้เนตรเสียหายเหรอคะ” หนอยจำยอม เธอลุกขึ้นไปเอาชาร้อนมาให้ เขาจิบชาช้า ๆ มองตรงมายังดวงเนตรเหมือน
จะคาดคั้น
ใจเอ๋ยใจ ทำเฉยเมย เหมือนไม่ช้ำ
ใจดำ หรือแกล้งทำ เป็นแค่เพื่อน
จะไขว่คว้า เอาท้องฟ้า ดาวและเดือน
ส่องแสงเกลื่อน แล้วเลือนลับ หนาวจับใจ
หนอยขอน้ำชาอีกแก้ว‘ดื่มยังกับจะให้เมาเลยนะพี่หนอย’ เสียงรำพึงในใจ เขายังจิบแก้วที่สองอย่างอ้อยอิง หายใจลึก ๆ ได้กลิ่นเย็นของการบูร
ทั้งสองสาวใหญ่ปาดน้ำตาจนแห้ง แล้วกระแอมเสียงขึ้น พี่น้อยเริ่มก่อน
“ทำอะไรกันจ๊ะ” ดวงเนตรหันไปซับน้ำตาที่ยังเปียกชื้นที่ปลายหางตา แล้วหันมาทางเสียงพี่น้อยยิ้มให้
“ทานน้ำชากับคุกกี้ไหมคะ อ้าว! น้าวิวก็มาด้วย มานั่งบนเตียงเนตรเลยค่ะ เดี๋ยวจะเสิร์ฟของว่างให้นะคะ”
“สูตรไหนอีกล่ะจ๊ะคนเก่งของน้าวิว”
“ดูจากรายการทีวีค่ะ” ความรู้สึกสงสารทำให้เธอเดินเข้าไปโอบดวงเนตรเบา ๆ หญิงสาวหันมากอดน้าวิวแน่น แล้วพูดว่าคิดถึง
“จ้า! แล้วไม่แวะไปหาล่ะ อยู่ไกลกันเนอะ” ดวงเนตรเสิร์ฟน้ำชาร้อน พร้อมกับคุกกี้ให้พี่ทั้งสองคน
“ขอบคุณค่ะ อยู่ใกล้เนตรน้ำหนักพี่น้อยขึ้นตั้งเยอะเลยนะ เดี๋ยวทำก๋วยเตี๋ยวหลอด เดี๋ยวทำขนมหวานสารพัดขนม”
“พี่น้อยอ้วน แต่ผมไม่ยักอ้วน”
“เป็นโรคอย่างเธอใครจะกินลง” น้าวิวเผลอหลุดปาก ทุกคนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พูดออกไปแล้วก็สงสารทั้งหนอยและดวงเนตร น้าวิวทำหน้าเจื่อน
พอกินกันเสร็จ เธอชวนทุกคนกลับ หนอยหันมามองหน้าสาวน้อย แต่เธอก้มหน้าต่ำ