หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (39)...เพื่อน พี่ น้อง

กระทู้คำถาม
หัวใจสลลายที่ปลายฟ้า (39)...เพื่อน พี่ น้อง
 
            ดวงเนตรชวนพี่หนอยลงมานั่งบนฟูก เขาเอาหมอนพิงสอดเข้าด้านหลังให้เธอและตัวเอง ดวงเนตรหยิบนิตยสารแต่งบ้านและสวน วาง
ข้างตัวคือวรรณกรรมสามก๊ก ส่วนหนอยอ่านกีฬา เรื่องสามก๊กหนอยได้ฟังบ่อย ๆ จากก๋งเล่า ก๋งของเขาก็เสื่อผืนหมอนใบอพยพมาสร้างตัวจนร่ำรวย
ก๋งเอาหนอยมาช่วยเลี้ยงเพราะแม่ต้องทำธุรกิจและดูแลพี่ก้อย..พี่สาวหนอย
            การเติบโตมากับก๋ง ทำให้หนอยเติบใหญ่แข็งแกร่งเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว มีความใจเย็น อดทน และฉลาด ก๋งไม่เคยให้อะไรหนอยแบบตามใจ
แม้ตัวเขาจะมีเงิน  ก๋งบอกแม่ว่า...หนอยควรโตขึ้นมาด้วยตัวเอง ก๋งเป็นแค่พี่เลี้ยง ที่จะชี้ถึงความผิดถูกชั่วดีให้หนอยได้เรียนรู้เอง แม้เตี่ยแม่จะต่างคน
ต่างทำมาหากินและมีรายได้ดี โดยเฉพาะเตี่ยมีโรงกลึงขนาดใหญ่ แต่ความเจ้าชู้ของเตี่ย หนอยเลยมีแม่เลี้ยงหลายคน แม่เป็นเมียแต่ง เป็นแม่ใหญ่
ในบ้าน แต่แม่ไม่ชอบเข้าไปวุ่นวายในเรือนใหญ่ เตี่ยสร้างบ้านให้แม่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยต่างคนต่างอยู่ และหนอยก็ไม่เคยชื่นชมรสนิยมความ
เจ้าชู้ของเตี่ยเลย
           
            หนอยมองหนังสือข้างตัวหญิงสาว และคิดไปไกลถึงก๋งกับแม่ สองคนที่มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตหนอย เรื่องนี้เขาเคยเล่าให้ดวงเนตรฟัง
เธอว่า “แม่เป็นผู้หญิงที่มีความอดทนและเก่งมาก” ดวงเนตรละสายตาจากหนังสือถามพี่หนอยว่า
            “หายไปไหนหลายวันเลยคะ ไม่สบายหรือเปล่า”
            “พี่หนอยไม่เป็นอะไรหรอก มัวแต่เช็กเครื่องยนต์ และถ่ายน้ำมันเครื่อง เติมแอนตี้ฟรีซ (Anti Freeze) ส่วนนี้ต้องผสมลงไปในน้ำกลั่น น้ำยา
เช็ดระจก น้ำมันที่ใช้เติมก็ต้องเป็นประเภทออกเทนต่ำ อุปกรณ์ฉุกเฉินต้องเตรียมไว้ ทั้งอาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาสามัญ ไฟฉาย ผ้าพลาสติกและสิ่งจำ
เป็นอื่น ๆ ใส่ไว้ไว้ท้ายรถทุกคัน กรณีเจอปัญหาอากาศ หรือพายุ” ดวงเนตรตั้งใจฟังตาแป๋ว เหมือนเด็กฟังนิทาน พี่หนอยใช้มือประคองดวงหน้า มอง
เข้าไปในตายาวรีสีน้ำตาลเข้ม  
            “ดูสิฟังแล้วทำตาแป๋วเหมือนเด็กเลย” ดวงเนตรยิ้มทำตาใส เขาหัวเราะชอบใจ มองใบหน้าสาวน้อยส่งสารผ่านสายตาแห่งความรัก
            “เย็นแล้วเราจะทำอะไรกินดีคะ”
            “ข้าวไข่เจียวไหมครับ”
            “ดีค่ะ”
            “พี่หนอยว่าเอาอย่างนี้ เนตรไปอาบน้ำเดี๋ยวพี่แสดงฝีมือเองรับรองอร่อยครับ”
            “โอเคค่ะ” ดวงเนตรออกมาจากห้องน้ำ เขาอุ่นข้าวในหม้อจนร้อน ตักใส่จานโปะด้วยไข่เจียวเหลืองน่ากิน
            “เก่งมากน่ากินด้วยค่ะ”
            “บอกแล้วว่าไม่ต้องห่วง” เอาซอสพริกราด อิ่มอร่อย
            “เอาไว้มุมนั้นแหละค่ะ เดี๋ยวเนตรเก็บล้างเอง”
            “พี่หนอยช่วยเนตรดูตารางเรียนเทอมหน้าหน่อยสิคะ”
            “เอามาสิ  อือ! ก็ลงตัวแล้วนี่ ระดับเนตรนี้ พี่หนอยไม่ค่อยห่วงแล้ว”
            “เทอมหน้าเหมือนเดิมนะเนตรอนุญาตให้พี่หนอยมาได้บ่อย ๆ ได้ ยกเว้นบางช่วงพี่หนอยต้องไปเก็บข้อมูลให้อาจารย์”
            “ค่ะ...เหมือนเดิม” ดวงเนตรยิ้ม หนอยเห็นหน้าก็ชื่นใจแล้ว...หนอยคิดพลางโอบเธอไว้
            “พี่หนอยกลับก่อนเถอะจะสองทุ่มครึ่งแล้ว พรุ่งนี้พี่หนอยมาให้เนตรตัดผมให้นะคะ”
            “มาแต่เช้าเลยนะ”
            “ได้ค่ะ”
            “ตัดให้พี่หนอยคนแรก แล้วต่อด้วยหมากกับน้อง ๆ ”
            “ดีแล้วพี่หนอยจะได้นั่งเฝ้า”
            “เหล็ก...มันยิ่งขี้อ้อนด้วยเดี๋ยวหลงคารมเด็ก”
            “พี่หนอยหล่อที่สุดแล้ว อบอุ่นด้วย เนตรคิดเพียงว่าพวกนี้เขาเป็นน้องทุกคน” หนอยยิ้มชอบใจ
            “พี่หนอยกลับก่อนนะครับ” เขามากอดดวงเนตรจูบที่ปลายคิ้วข้างที่ยังเป็นแผลเป็นเล็ก ๆ
            “หลับฝันดีนะครับ” หน่อยใช้นิ้วชี้ไล้ไปมาทั่วหน้าดวงเนตรอย่างอ่อนโยน
 
            ดวงเนตรทำแพนเค้กใส่กล้วยหอมถาดใหญ่ ใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้ พี่หนอยมาถึงเจ็ดโมงพอดี
            “หอมเหลือเกิน หิวด้วย” พี่หนอยส่งเสียงมาแต่ไกล
            “แพนเค้กกล้วยหอม ของโปรดพี่หนอยค่ะ”
            “น่ารัก รู้ใจไปหมดอย่างนี้พี่หนอยจะเหลือใจให้ใครได้อีกเนี่ย” ดวงเนตรยิ้มทั้งหูและตา
            “ยิ้มแบบนี้มีเอาไว้ให้พี่หนอยคนเดียวนะ ห้ามทำท่านี้กับชายอื่นนะครับ”
            “เจ้าค่ะ คุณผู้ชายจะรับแพนเค้กกับชาหรือกาแฟดีคะ”
            “ขอเป็นชาส่ายนมเยอะ ๆ ครับ”
            “ทะลึ่งพี่หนอยเนี่ย”  ชานมถ้วยใหญ่เสิร์ฟบนโต๊ะพร้อมแพนเค้กสองชุด เธอมองหน้าแล้วยิ้ม
            “ของเนตรก็ยังไม่ได้ทานค่ะ” แล้วสองหนุ่มสาวก็กินไปมองหน้ากันไปแพนเค้กซึ่งปกติต้องราดด้วยน้ำผึ้ง เลยไม่จำเป็นซะแล้ว แค่นี้ก็อร่อย
สุด ๆ แล้วล่ะ
            “อะแอ้ม” เสียงเหล็กกระแอม
            “จะกินแพนเค้กหรือจะกินพี่เนตรครับพี่หนอย” เหล็กแซว
            “ทะลึ่งพูดจาไม่สุภาพ” หมากเบรกน้องชาย ยื่นหน้าตามมาคือหมัด และพัด
            “เข้ามาข้างในสิคะ มาทานอาหารเช้าด้วยกันพี่ทำเผื่อไว้” สี่หนุ่มสงขลาเดินเข้ามา พี่หนอยยิ้มกว้าง ใบหน้ารับแขกเสมอสำหรับพี่หนอย
            “เข้ามาสิ จานอยู่ทางโน้น กาแฟ หรือชา เลือกเอาบริการตัวเองนะอ้ายน้อง” พี่หนอยมองทั้งสี่หนุ่มและยิ้ม
            “ขอบคุณครับ” หมากตอบแทนทุกคน
            “หมากนี้เป็นคนโตใช่ไหมคะ” ดวงเนตรถาม
            “ครับ คนที่สองหมัด พัด แล้วก็เหล็ก”  
            “หมัดนี้เป็นแบบหมัดมวยหรืออย่างอื่น...เห็บหมัด” พี่หนอยแซว
            “หมัดมวยไทยครับ ตอนแม่ท้อง...พ่อชอบดูมวยมาก เลยได้ชื่อนี้มาครับ” หมัดตอบ นาน ๆ จะได้ยินเสียงสองหนุ่มคนกลาง
            “ผมไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย ได้ยินใครเรียกที่ไรเกิดอาการคันทุกที”  
            “พี่หนอยตั้งชื่อใหม่ให้เอาไหม”
            “ชื่ออะไรครับ” หมัดถาม
            “แมททิว เป็นไงเท่ดีนะ” พี่หนอยตอบ
            “เอาชื่อเก่าล่ะครับ เดี๋ยวเปลี่ยนแล้วมีคนมาเรียกจำชื่อตัวเองไม่ได้อีกแย่เลย”
            “หมัดดูผ่อนคลายและพูดมากขึ้นเยอะเลย” ดวงเนตรเอ่ยชม  
            “พี่เขาพูดไม่ค่อยทันเหล็กหรอกครับ” พัดตอบเหมือนใจตัวเอง
            “ใช่สิก็ไอ้เหล็กพูดมากที่สุดแล้ว” พี่หมากว่าน้อง ดวงเนตรหัวเราะ หนอยมองอย่างดีใจ นับตั้งแต่เหตุร้ายดวงเนตรเพียงแต่ยิ้ม ไม่ค่อยได้ยิน
เสียงหัวเราะ...เสียงหัวเราะที่ไพเราะดั่งระฆังแก้ว
            “แล้วพัดล่ะ ต้องถามทุกคน สอบประวัติก่อนเข้ามาใช้บริการพี่เนตร”
            “ผมน่ะ...ตอนแม่จะคลอดพายุเข้าทางใต้พอดีครับ”
            “ส่วนเหล็ก น้องสุดท้องนี่ตอนแม่คลอดนี่พ่อกำลังตีเหล็ก 555” ดูพี่หมัดจะชอบใจที่ได้จังหวะใส่น้อง
            “จริงเหรอ หลอกพี่เนตรใช่ไหมคะ” ทุกคนยิ้มเพราะชื่อเหล็กดูเหมือนจะไม่มีที่มาที่ไป
            “ต้องพี่หมากสิครับ หมอตำแยให้ยายมาช่วย คลอดมาน้ำหมากยายหกใส่ 555” เหล็กเอาคืนพี่ใหญ่ หญิงสาวยิ้มถูกใจ   
            “ใครแนะนำให้มาใช้บริการดวงเนตรบาร์เบอร์ช้อปล่ะ” พี่หนอยถาม
            “คนไทยในคาร์บอนเดลรู้จักทุกคนครับว่าพี่เนตรตัดผมเก่ง”
            “เห็นวางท่าเป็นพี่ใหญ่พูดเอาใจพี่ก็เป็นนะ” ดวงเนตรเอ่ยขึ้น

            ทุกคนลงมือกับอาหารเช้าด้วยตัวเอง ระหว่างนั้นพี่หนอยเตรียมสถานที่และดวงเนตรเตรียมเครื่องมือตัดผมออกมา พี่หนอยเป็นคนแรก
ดวงเนตรยังไม่ทันถาม
            "พี่หนอยสระผมมาแล้วครับ”
            “รู้หรือคะว่าเนตรจะถาม”
            “เป็นแฟนกันไม่รู้ได้ไงล่ะ”
            “พี่หนอยขี้ตู่” เธอเอ่ย
            “ฮะ ฮะ ฮ่า พี่เนตรว่าพี่หนอยขี้ตู่” หมากเขกโป๊กลงบนหัวเหล็ก
            “เจ็บนะพี่หมาก”
            “ปากเสีย” หมากว่าให้ ดวงเนตรยิ้มหันไปสนใจตัดผมให้พี่หนอย ครู่เดียวก็ใช้แบตเตอเลี่ยนไถขึ้นเป็นรองทรง ใช้กรรไกรเก็บรายละเอียดอีก
รอบ มายืนด้านหน้าแล้วเชยคางพี่หนอย เขาจำท่านี้ได้ดีตั้งแต่ครั้งแรก ความน่ารักสดใส อ่อนโยน และสวยแบบหมวยขโมยหัวใจพี่หนอยไปตั้งแต่
วินาทีนั้นเป็นต้นมา ค่อยยังชั่ววันนี้ใส่เสื้อคอเต่าเพราะหนาว ไม่งั้นพี่หนอยต้องบังคับให้เปลี่ยนเสื้อแน่...  
            “เสร็จแล้วค่ะ อ้าว! มาหมากต่อ” เกือบเที่ยง ดวงเนตรก็ปิดร้านด้วยลูกค้าคนสุดท้ายคือเหล็ก เหล็กเข้าไปส่องด้านหน้าและด้านหลังอยู่พัก
หนึ่ง  
            “โอ้โฮ! หล่อขั้นเทพเลยเรา” ทุกคนยิ้มกับคำพูดเหล็ก
            “ใช่ไหมครับพี่ดวงเนตร”
            “ก็เกือบแต่แพ้พี่หนอยไปนิดเดียว”
            “โอ๋! เล่นพวกกันเองนี่” ดวงเนตรหัวเราะท่าของเหล็ก เขาคิด
            “พี่สาวทั้งสวย น่ารัก ใจดี น่าอิจฉาพี่หนอยนะ” เหล็กพึมพำ ตัดให้ลูกค้าคนสุดท้ายเสร็จก็เที่ยงพอดี
            หมากพูดขึ้น “วันนี้เราไปกินไก่ป๊อบอายกับข้าวเคจุนกันดีไหมครับพี่”
            “ดีค่ะแต่ต้องเป็นอเมริกันแชร์นะ” ดวงเนตรพูดขึ้น
            “ไม่ได้ครับผมตั้งสี่คนพี่น้องมารบกวนพี่เนตรกับพี่หนอย ถ้าไปร้านหนาวแน่ แต่ละคนหลายตังค์ ให้พวกเราเลี้ยงนะครับ” พัดเอ่ยเสียงสุภาพ
            ดวงเนตรมองแล้วยิ้ม “พัดเสียงหล่อนะ แต่กว่าจะเอ่ยเหมือนกลัวดอกพิกุลร่วง”
            “พัดเข้าพูดน้อยต่อยแรงครับ”
            “ผมพูดไม่ทันเขาน่ะครับ” พัดเอ่ย
            สุดท้ายมื้อกลางวัน พี่หนอยตัดสินใจให้ ”ได้เลยไอ้น้อง เอารถไปสองคันนะครับ กินเสร็จพวกเราจะแวะห้างซื้อของครับ”  
            “โอเค...พี่หนอยขับตามไปกับพี่เนตรนะครับ” สี่หนุ่มไปกันเอง
            “ไปกันเลยนะครับเหล็กเริ่มหิวแล้ว”
            “ตัวเล็กกว่าพี่น้องทำไมหิวเร็วจัง” ดวงเนตรเอ่ยขึ้น
            “แม่ว่าเลี้ยงเหล็กแล้วเปลืองงบประมาณครอบครัวเพราะกินเท่าไร ไม่เห็นมันสูงขึ้นเลย” หมัดพูดบ้าง เหล็กไม่สนใจ เอามือเสยผมเล่นทำท่า
น่าโดนตึบ
 
        
            เมื่อมาถึงที่ร้าน หมากสั่งไก่ถาดใหญ่สองถาด กับข้าวเคจุนคนละกล่อง  
            “อุ๊ย! อร่อยมากเลย แหมถ้าได้พริกขี้หนูราดบนข้าวด้วยสุดยอดเลย” พูดไปมือก็เทพริกจาลาปิโน (พริกป่นแม็กซิกัน) ที่มีในขวดจนหมด
            “เหล็กกินอย่างนี้ไม่ลำบากเหรอเวลาเช้า ๆ เข้าห้องน้ำน่ะ” พี่หนอยถามอย่างสงสัย ทุกคนปล่อยก๊าก หัวเราะจนตัวงอเพียงแค่นึกสภาพเหล็ก
ตอนเช้า หนุ่มน้อยทำเป็นไม่สนใจเพราะ
            “ไอ้พริกบ้านี้ก็เผ็ดได้ใจเหมือนกัน” เหล็กเปลี่ยนเรื่อง แป๊บเดียวไก่หมดถาด ข้าวหมดกล่อง ตบท้ายมื้อกลางวันด้วยโค้ก หมากเดินไปจ่าย
เงินที่เคาน์เตอร์ เหล็กยังคงเก๊กหล่อแถวกระจกด้านหน้าร้าน
            “สุดยอดเลยได้อิ่ม ได้หล่อ วันนี้คุ้ม” หมัดเอ่ยพลางลูบท้อง เหล็กก็คือเหล็ก อารมณ์ดี ชีวิตมีความสุขได้ทุกวัน แล้วทุกคนก็ยกมือไหว้ขอบ
คุณพี่ทั้งสอง
            “ไม่เป็นไรครับ ถ้าคราวหน้าติดใจก็มาใช้บริการได้ครับ” พี่หนอยโฆษกประจำร้านบอก...ดวงเนตรยิ้ม หนอยสวมทับด้วยสูทหนายาวถึงน่อง
สีน้ำเงินเข้ม ดวงเนตรสวมทับด้วยสูทตัวหนายาวสีน้ำเงินอมม่วง  หนอยคว้ามือเธอมาคล้องไว้ที่แขน เธอมองเห็นเขาสวมถุงมือถักที่ทำให้เข้า
กับชุดเลย ดวงเนตรมีใบหน้ายิ้มอย่างภูมิใจ
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่