หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (26)...งานต่อไป
ที่ร้านอาหาร...น้าวิวเป็นตัวแทนพูดสรุปเรื่องราวของงาน
“นักศึกษาที่ไม่ได้ว่างเข้าชมมวยไทย ได้อ่านพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย เห็นหน้าไม่ชัดเพราะคนถ่ายโฟกัสท่าจระเข้ฟาดหางที่สวยงาม ขณะนั้นผู้แสดงก็เอียงตัวและปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ จึงไม่เห็นว่าเป็นใครแน่ เรื่องนี้น้าวิวขอสงวนสิทธิตามความต้องการของผู้แสดงนะคะ...
ลองไปสืบดูเอาเอง” น้าวิวหัวเราะ
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงหนอยตะโกนดังมา
“น้าวิวขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุกคนที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ และขอกราบขอบพระคุณพี่วรรณและมิสเตอร์จอร์จ ซึ่งมาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้
เพราะติดธุระ งานวันนี้ฉลองความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่คว้ามาถึงสองรางวัลเป็นปีแรก“ เสียงปรบมือเป่าปากดังมาอีกรอบหนึ่ง
“ขอบคุณพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ที่มากันในวันนี้ เชิญทุกคนตามสบายค่ะ” น้าวิวพูดจบลง อาหารเริ่มออก เสียงพี่ไทยคุยกันสนุกสนาน แน่นอนรางวัลสำหรับผู้ชนะนำมาซึ่งความสุขของทุกคนเสมอ
มีเสียงคุยกันถึงบุคคลนิรนามในวงสนทนาอยู่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นานทุกคนก็จะลืมมันเอง ดวงเนตรนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มน้าวิว มีพี่หนอยอยู่
ข้าง ๆ หลังจากที่เขาแวะคุยกับคนนั่นคนนี้ตามนิสัย ดูเขาเป็นคนง่าย ๆ และสนุกกับการคุยหรือแหย่ทุกคน
“พี่น้อยคะ คนไทยหน้าตาดีก็เยอะนะคะ ทำไมพี่หนอยเขาไม่สนใจบ้างเหรอคะ” ดวงเนตรถามตามภาษาผู้หญิงว่าคนที่จะมาเป็นแฟนเธอนั้น
ในอดีตเป็นเช่นไร พี่น้อยยิ้มแบบรู้ใจ
“หนอยเขาเป็นคนคุยสนุก แรก ๆ เห็นมีแต่ควงคนต่างชาติ แต่คนไทยดูเขาค่อนข้างระวังตัวมาก จะมีก็แต่ผู้หญิงเราวิ่งมาหาซะเอง เขาค่อน
ข้างเลือกนะ พี่น้อยก็เคยถามนะแต่หนอยบอกว่ากำลังมองหาเพชรอยู่ ไม่ได้หาพลอยดูสำนวนเขาสิ” พี่น้อยพูดเองและหัวเราะชอบใจ
ทุกคนกินอาหารอย่างอร่อยปาก แต่ปากที่แตกอย่างพี่หนอยกินได้แค่ข้าวต้มทรงเครื่องชามใหญ่ เขาช่วยตักโน้นนี่บริการพี่ ๆ เป็นอย่างดีรวมถึง
ดวงเนตรด้วย
“ถ้ามีพี่น้อยก็อยากได้อย่างหนอยนี่แหละเอาใจเก่งนัก”
“กวนประสาทเก่ง ๆ อย่างนี้ไม่เอาด้วยหรอก” น้าวิวพูดต่อ ดวงเนตรยิ้มดูท่าทั้งสองคนคงจะเป็นคู่ฟัดที่ให้ความมัน และฝีปากสูสีกันทีเดียว
หนอยมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ แล้วถอนหายใจหลังจากที่ทำให้เขาเลือดตกยางออกแล้วเธอก็โทษแต่ตัวเองว่าไม่ระมัดระวังและ
รู้สึกผิดมาตลอด จนเขาต้องจับดวงเนตรมานั่งฟังคำอธิบายว่าเจตนากับไม่เจตนามันไม่เหมือนกัน และพยายามให้เธอเข้าใจว่า กีฬาและการแข่งขัน
ผลออกมาอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน โดยเฉพาะหนอยซึ่งเจอมาตลอดช่วงที่เล่นยูโด คำอธิบายช่วยให้ดวงเนตรรู้สึกดีขึ้น มีรอยยิ้มและหาย
กังวล ความสดใสของดาวดวงนี้จึงกลับมาเจิดจรัสดังเดิม
น้าวิวหันมาถามเนตรว่าตามจดงานในห้องเรียนทันไหม และอื่น ๆ เกี่ยวกับวิชาที่ลงเทอมนี้ แล้วหันมาทางหนอย
“ตั้งแต่นี้ไป แกต้องมาติวให้น้องเขาทุกวันเข้าไจ๊!”
“ครับเจ๊”
“ถ้าไม่ได้ Aหมดเป็นโดน เพราะเก่งขนาดแกและคณะที่แกเรียนกับเนตรก็คล้ายกัน”
“ไม่ต้องห่วงครับ แล้วจะจ่ายค่าจ้างผมยังไงล่ะ”
“ค่าจ้างแก...น้าอนุญาตให้เข้าออกห้องเนตรได้ แต่ประตูต้องเปิดตลอดเวลา แล้วแถมข้าวเย็นดวงเนตรทำให้กินหนึ่งมื้อ”
“เฮ้อ! ก็ยังดี นึกว่าจะจิกหัวเราใช้เปล่า ๆ ” หนอยแกล้งบ่นจึงโดนค้อนให้วงใหญ่
“นี่ดีนะว่ายังเจ็บอยู่...” น้าวิวพูดค้างไว้อย่างนั้น
อาหารที่เสิร์ฟออกมาเริ่มหมด หนอยค่อย ๆ กินข้าวต้มจนหมดเหมือนกัน พอเงยหน้าขึ้นสบตาดวงเนตรพอดี เธอกำลังมองพี่หนอยด้วยสายตา
อ่อนโยน ทั้งคู่จ้องตากันเพลิน ทุกครั้งหนอยจะมองลึกเข้าไปในตาสวย ดวงเนตรเป็นคนเปิดเผยและจริงใจ การมองของหนอยด้วยความสนใจใคร่
รู้ว่ายังมีอะไรอีกในหัวใจดวงน้อยนี้
“อ้าว! มัวแต่มองกันอยู่นั่นแหละ ไม่สงสารคนโสดกันบ้างหรือไง” พี่ศิริเริ่มโวย ดวงเนตรหลบสายตาทุกคู่ ก้มหน้าลงอยู่กับอาหารในจาน
“หรือจะให้หนอยเหมา พี่ ๆ ทั้งโหลก็ได้” หนอยแหย่พี่ศิริ
“ไอ้ตี๋นี่ลามปาม” น้าวิวยกมือขึ้นจะฟาด พี่น้อยจับไว้ซะก่อน
“โธ่! อย่าเลยค่ะ ทำคนบาดเจ็บอยู่ ไม่ดีนะคะ”
“เฮ้อ!” เสียงเจ๊ใหญ่ถอนใจเพราะโดนเบรก
ทุกคนอิ่มและแยกย้ายกันกลับรวงรัง ใครใคร่เดิน ๆ ใครใคร่ขอติดรถใครไปก็เชิญ บ๊ายบาย...
อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกที พอเข้าเดือนธันวาคมก็จะมีหิมะตกแล้ว อากาศเย็นเป็นไปตามจังหวะเวลาของฤดูกาล ใบไม้ทั่วมหาวิทยาลัยทิ้ง
ตัวร่วงลงสู่พื้นดินจนหมด เหลือไว้แต่พวก Ever Green (ต้นสนพันธุ์ต่างๆ) อากาศครึ้มไม่มีแดด บางวันที่มีแดดเพียงเวลาสั้น ๆ ในยามเช้า บรรยากาศ
โดยรอบกับต้นไม้ที่เหลือไว้แต่กิ่งก้านชวนให้เหงานัก ในความเหงาคือความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง นักศึกษาเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง ไปมาอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย
ดวงเนตรกำลังเรียนหนักทั้งหกวิชา แจคกี้...เพื่อนหนุ่มชาวสิงคโปร์เป็นเพื่อนดวงเนตรที่เรียนเหมือนกันสองวิชา และหลายครั้งที่เธอ
ต้องยืมสมุดจดงานของเขามา แจคกี้ได้เปรียบเพราะสิงคโปร์ใช่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ การฟังการพูดของดวงเนตรดีขึ้น จากการดูข่าวทางทีวี
กับแวะหาลุงพอลและป้า ๆ ผู้สูงวัยทั้งกลุ่มคอยแก้คำให้เวลานิคกี้พูดผิด
ทุกเย็นพี่หนอยจะหอบตำรามานั่งอ่านคู่กันในห้องดวงเนตร เขาพาดวงเนตรไปหาซื้อเก้าอี้เพิ่มตามยาร์ดเซลได้มาหนึ่งตัว ราคาสองเหรียญ
ตัวที่ได้จากพี่ศิรินั่งไม่สบายจึงถูกเลื่อนไปไว้ข้างตู้เย็นเล็ก ทั้งคู่จะนั่งอ่านที่โต๊ะข้างหน้าต่าง บ่อย ๆ ที่ดวงเนตรทำอาหารเย็นเผื่อพวกพี่ จนโดนน้าวิวดุ
“ให้ตั้งใจเรียน นี่ก็มัวแต่ทำกับข้าว”
“ได้พักสมองบ้างค่ะน้าวิว”
“เออๆ! ตามใจแต่ต้องอย่าให้เสียงานนะ”
“ไอ้ตี๋มาทุกวันหรือเปล่า”
“มาค่ะ” ช่วงนี้ดูทุกคนหัวหกก้นขวิดเพราะใกล้สอบกลางเทอมแล้ว
แจคกี้แวะเอาเลคเชอะมาให้ที่ห้องและเจอหนอยสองครั้ง เขาเป็นคนรูปร่างสันทัด ใบหน้าเหลี่ยม หน้าเหมือนคนจีนทั่วไป ไม่มีอะไรสะดุดตานัก
แต่ที่สะดุดตาหนอยคือสายตาหลุกหลิกซึ่งผู้ชายจะรู้กันดี ทั้งสองหนุ่มทักทายกันธรรมดาไม่มากไม่น้อย แล้วเขาก็ลากลับ
“ไอ้นี่มันชอบดวงเนตรนะ พี่หนอยมองก็รู้”
“แต่เนตรไม่มีอะไรกับเขา เราเป็นเพื่อนกันนะคะ”
“พี่หนอยว่ามันไม่น่าคบเลย พยายามอยู่ห่างได้เป็นดีดูมันหลุกหลิก แล้วหนำซ้ำมันดูจะร้ายกว่าพี่วิศาลรวมกับภาคภูมิอีก” แต่สิ่งเดียวที่เขาเก็บ
ไว้ในใจคือลางสังหรณ์ที่น่าเป็นห่วง หลังจากที่พี่หนอยพูดเธอก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่สามัญสำนึกเตือนให้ระวัง พี่หนอยเองตั้งแต่นั้นมาจึงคอยเอา
รถมารับทุกเย็นหลังเลิกเรียน จนเรื่องไปถึงหูน้าวิว เธอมาแวะขณะทั้งสองกำลังติวสอบกลางเทอม
“เดี๋ยวนี้ต้องไปรับเนตรทุกวันเหรอ”
“ครับ” แล้วพี่หนอยก็เล่าเรื่องแจคกี้ให้ฟัง ดวงเนตรเสริมว่า
”ทีแรกเนตรไม่ได้สังเกตอะไร แต่พอพี่หนอยพูดเนตรก็เห็นท่าทางแปลก ๆ ของเขาค่ะ”
“เออ! ดีแล้ว ช่วงนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วมันมืดไวด้วย”
น้าวิวเดินกลับห้องพลางคิดถึงคำเตี่ยของดวงเนตรที่ฝากให้ช่วยดูแลด้วย เตี่ยคุยกับน้าวิวบ่อยด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้ดวงเนตรเป็นคนฉลาด
แต่ก็แพ้ทางตัวเองเพราะเป็นคนขี้สงสารใจอ่อน น้าวิวบอกเรื่องการสนทนากับเตี่ยให้หนอยรู้
“น้าวิวไม่ต้องห่วงหรอกผมรักดวงเนตรมากแค่ไหนก็รู้ ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” มันเป็นสัญญาลูกผู้ชาย ที่ก๋งเคยสอน ถ้าไม่แน่ใจจะไม่สัญญา
กับใคร แต่เมื่อสัญญาแล้วนั่นแหละสัญญาลูกผู้ชายที่ต้องรักษาเท่าชีวิต
การสอบกลางเทอมผ่านไปด้วยดี ทุกวิชาดวงเนตรผ่านฉลุย อย่างน้อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งเพราะเทอมสุดท้าย ต้องเอาคะแนนมารวมกัน หลังสอบ
ในวันอาทิตย์ ทั้งกลุ่ม ซึ่งรวมพี่ศิริ และสุดาก็มารวมกันที่ห้องน้าวิว ดวงเนตรทำปอเปี๊ยะถาดใหญ่มาด้วย มีข้าวผัด และต้มยำกุ้งของพี่ ๆ แค่นี้ก็ถือว่า
เยี่ยมแล้ว
“โอ้โฮ! น่ากินจัง”
“เอ! ฉันเชิญแกด้วยเหรอ” น้าวิวแหย่หนอย
“ครับ เชิญเนตรก็เหมือนเชิญผมด้วยล่ะครับ”
“เหรอ...ขี้ตู่เก่งนะเรา” มันเป็นการรวมตัวกันเล็ก ๆ เพื่อพักหายใจแล้วก้าวต่อไป สำหรับความสำเร็จที่ได้มาอย่างยากเย็น
พี่พลนัดนักศึกษาไทยประชุมด่วนในเย็นวันศุกร์ มีคนไทยมาไม่ถึงครึ่งเข้าใจว่าหลายคนคงไม่รู้ ขนาดพี่พลเองก็เพิ่งได้จดหมายจากทาง
เซนต์หลุยส์ เมื่อวานพอได้เวลานัดหมาย พี่พลก็เริ่มการประชุม
“พี่ต้องขอโทษพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ด้วยที่นัดประชุมด่วนแบบนี้”
“พี่ก็เพิ่งได้จดหมายเมื่อวาน ทางเซนต์หลุยส์เขาขอความร่วมมือเหมือนเช่นทุกปีในการเข้าร่วมงานเทศกาลลอยกระทง ปกติจะต้องจัดวัน
ขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน แต่เวลาใกล้กับที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องเตรียมตัวสอบเทอมปลาย งานจึงถูกเลื่อนมาเป็นพรุ่งนี้ คือ
วันที่ 10 พฤศจิกายนแทน “
“ปกติเราจะส่งตัวแทนกลุ่มไปนะครับ แต่ถ้ามีใครจะเสนอเป็นอย่างอื่นก็ได้ครับ” สรุปแล้วส่วนใหญ่ต้องการส่งเป็นตัวแทนกลุ่มไป โดยใช้วิธี
อาสาสมัคร
“ตกลงตามนี้นะครับใครจะไปให้ไปลงชื่อกับน้าวิวเลยนะครับ ถ้าไม่มีคำถามอะไร พี่ก็ขอรบกวนเวลาแค่นี้นะครับกลับกันได้เลย”
มีกลุ่มน้องใหม่สี่คนที่เพิ่งมาเทอมนี้ ทั้งหมดเป็นนักศึกษาชาวสงขลา หน้าคมตาโตผิวเข้ม พวกเขามาประชุมด้วย มาทุกครั้งที่มีการประชุมและให้
ความร่วมมือดีมาก คนที่ท่าทางเป็นพี่ใหญ่เดินไปลงชื่อกับน้าวิว เธอถามว่า
“แล้วจะไปกันยังไงน้าวิวจะได้หารถให้”
“ไม่เป็นไรครับพวกเราจะขับรถตามกันไป” สรุปคือทั้งคณะตัวแทนใช้รถสามคัน ๆ แรกน้องเขาจะไปกับกลุ่มเขาเองโดยขับตามกันไป คันที่สอง
พี่พลขับมีสุดากับภาคภูมิไปด้วย คันที่สามพี่หนอยขับมีน้าวิว พี่ศิริ พี่น้อย และดวงเนตรเป็นผู้โดยสาร พี่พลแจกแผนที่ให้ เผื่อเกิดผลัดหลงกัน
หมายกำหนดการพรุ่งนี้ห้าโมงเย็นเจอกันที่หอโดมิโน
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (26)...งานต่อไป
ที่ร้านอาหาร...น้าวิวเป็นตัวแทนพูดสรุปเรื่องราวของงาน
“นักศึกษาที่ไม่ได้ว่างเข้าชมมวยไทย ได้อ่านพาดหัวข่าวในหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัย เห็นหน้าไม่ชัดเพราะคนถ่ายโฟกัสท่าจระเข้ฟาดหางที่สวยงาม ขณะนั้นผู้แสดงก็เอียงตัวและปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ จึงไม่เห็นว่าเป็นใครแน่ เรื่องนี้น้าวิวขอสงวนสิทธิตามความต้องการของผู้แสดงนะคะ...
ลองไปสืบดูเอาเอง” น้าวิวหัวเราะ
“ไม่เป็นไรครับ” เสียงหนอยตะโกนดังมา
“น้าวิวขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุกคนที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ และขอกราบขอบพระคุณพี่วรรณและมิสเตอร์จอร์จ ซึ่งมาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้
เพราะติดธุระ งานวันนี้ฉลองความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่คว้ามาถึงสองรางวัลเป็นปีแรก“ เสียงปรบมือเป่าปากดังมาอีกรอบหนึ่ง
“ขอบคุณพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ที่มากันในวันนี้ เชิญทุกคนตามสบายค่ะ” น้าวิวพูดจบลง อาหารเริ่มออก เสียงพี่ไทยคุยกันสนุกสนาน แน่นอนรางวัลสำหรับผู้ชนะนำมาซึ่งความสุขของทุกคนเสมอ
มีเสียงคุยกันถึงบุคคลนิรนามในวงสนทนาอยู่บ้างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่นานทุกคนก็จะลืมมันเอง ดวงเนตรนั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มน้าวิว มีพี่หนอยอยู่
ข้าง ๆ หลังจากที่เขาแวะคุยกับคนนั่นคนนี้ตามนิสัย ดูเขาเป็นคนง่าย ๆ และสนุกกับการคุยหรือแหย่ทุกคน
“พี่น้อยคะ คนไทยหน้าตาดีก็เยอะนะคะ ทำไมพี่หนอยเขาไม่สนใจบ้างเหรอคะ” ดวงเนตรถามตามภาษาผู้หญิงว่าคนที่จะมาเป็นแฟนเธอนั้น
ในอดีตเป็นเช่นไร พี่น้อยยิ้มแบบรู้ใจ
“หนอยเขาเป็นคนคุยสนุก แรก ๆ เห็นมีแต่ควงคนต่างชาติ แต่คนไทยดูเขาค่อนข้างระวังตัวมาก จะมีก็แต่ผู้หญิงเราวิ่งมาหาซะเอง เขาค่อน
ข้างเลือกนะ พี่น้อยก็เคยถามนะแต่หนอยบอกว่ากำลังมองหาเพชรอยู่ ไม่ได้หาพลอยดูสำนวนเขาสิ” พี่น้อยพูดเองและหัวเราะชอบใจ
ทุกคนกินอาหารอย่างอร่อยปาก แต่ปากที่แตกอย่างพี่หนอยกินได้แค่ข้าวต้มทรงเครื่องชามใหญ่ เขาช่วยตักโน้นนี่บริการพี่ ๆ เป็นอย่างดีรวมถึง
ดวงเนตรด้วย
“ถ้ามีพี่น้อยก็อยากได้อย่างหนอยนี่แหละเอาใจเก่งนัก”
“กวนประสาทเก่ง ๆ อย่างนี้ไม่เอาด้วยหรอก” น้าวิวพูดต่อ ดวงเนตรยิ้มดูท่าทั้งสองคนคงจะเป็นคู่ฟัดที่ให้ความมัน และฝีปากสูสีกันทีเดียว
หนอยมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ แล้วถอนหายใจหลังจากที่ทำให้เขาเลือดตกยางออกแล้วเธอก็โทษแต่ตัวเองว่าไม่ระมัดระวังและ
รู้สึกผิดมาตลอด จนเขาต้องจับดวงเนตรมานั่งฟังคำอธิบายว่าเจตนากับไม่เจตนามันไม่เหมือนกัน และพยายามให้เธอเข้าใจว่า กีฬาและการแข่งขัน
ผลออกมาอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคน โดยเฉพาะหนอยซึ่งเจอมาตลอดช่วงที่เล่นยูโด คำอธิบายช่วยให้ดวงเนตรรู้สึกดีขึ้น มีรอยยิ้มและหาย
กังวล ความสดใสของดาวดวงนี้จึงกลับมาเจิดจรัสดังเดิม
น้าวิวหันมาถามเนตรว่าตามจดงานในห้องเรียนทันไหม และอื่น ๆ เกี่ยวกับวิชาที่ลงเทอมนี้ แล้วหันมาทางหนอย
“ตั้งแต่นี้ไป แกต้องมาติวให้น้องเขาทุกวันเข้าไจ๊!”
“ครับเจ๊”
“ถ้าไม่ได้ Aหมดเป็นโดน เพราะเก่งขนาดแกและคณะที่แกเรียนกับเนตรก็คล้ายกัน”
“ไม่ต้องห่วงครับ แล้วจะจ่ายค่าจ้างผมยังไงล่ะ”
“ค่าจ้างแก...น้าอนุญาตให้เข้าออกห้องเนตรได้ แต่ประตูต้องเปิดตลอดเวลา แล้วแถมข้าวเย็นดวงเนตรทำให้กินหนึ่งมื้อ”
“เฮ้อ! ก็ยังดี นึกว่าจะจิกหัวเราใช้เปล่า ๆ ” หนอยแกล้งบ่นจึงโดนค้อนให้วงใหญ่
“นี่ดีนะว่ายังเจ็บอยู่...” น้าวิวพูดค้างไว้อย่างนั้น
อาหารที่เสิร์ฟออกมาเริ่มหมด หนอยค่อย ๆ กินข้าวต้มจนหมดเหมือนกัน พอเงยหน้าขึ้นสบตาดวงเนตรพอดี เธอกำลังมองพี่หนอยด้วยสายตา
อ่อนโยน ทั้งคู่จ้องตากันเพลิน ทุกครั้งหนอยจะมองลึกเข้าไปในตาสวย ดวงเนตรเป็นคนเปิดเผยและจริงใจ การมองของหนอยด้วยความสนใจใคร่
รู้ว่ายังมีอะไรอีกในหัวใจดวงน้อยนี้
“อ้าว! มัวแต่มองกันอยู่นั่นแหละ ไม่สงสารคนโสดกันบ้างหรือไง” พี่ศิริเริ่มโวย ดวงเนตรหลบสายตาทุกคู่ ก้มหน้าลงอยู่กับอาหารในจาน
“หรือจะให้หนอยเหมา พี่ ๆ ทั้งโหลก็ได้” หนอยแหย่พี่ศิริ
“ไอ้ตี๋นี่ลามปาม” น้าวิวยกมือขึ้นจะฟาด พี่น้อยจับไว้ซะก่อน
“โธ่! อย่าเลยค่ะ ทำคนบาดเจ็บอยู่ ไม่ดีนะคะ”
“เฮ้อ!” เสียงเจ๊ใหญ่ถอนใจเพราะโดนเบรก
ทุกคนอิ่มและแยกย้ายกันกลับรวงรัง ใครใคร่เดิน ๆ ใครใคร่ขอติดรถใครไปก็เชิญ บ๊ายบาย...
อากาศเริ่มเย็นมากขึ้นทุกที พอเข้าเดือนธันวาคมก็จะมีหิมะตกแล้ว อากาศเย็นเป็นไปตามจังหวะเวลาของฤดูกาล ใบไม้ทั่วมหาวิทยาลัยทิ้ง
ตัวร่วงลงสู่พื้นดินจนหมด เหลือไว้แต่พวก Ever Green (ต้นสนพันธุ์ต่างๆ) อากาศครึ้มไม่มีแดด บางวันที่มีแดดเพียงเวลาสั้น ๆ ในยามเช้า บรรยากาศ
โดยรอบกับต้นไม้ที่เหลือไว้แต่กิ่งก้านชวนให้เหงานัก ในความเหงาคือความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง นักศึกษาเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง ไปมาอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย
ดวงเนตรกำลังเรียนหนักทั้งหกวิชา แจคกี้...เพื่อนหนุ่มชาวสิงคโปร์เป็นเพื่อนดวงเนตรที่เรียนเหมือนกันสองวิชา และหลายครั้งที่เธอ
ต้องยืมสมุดจดงานของเขามา แจคกี้ได้เปรียบเพราะสิงคโปร์ใช่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ การฟังการพูดของดวงเนตรดีขึ้น จากการดูข่าวทางทีวี
กับแวะหาลุงพอลและป้า ๆ ผู้สูงวัยทั้งกลุ่มคอยแก้คำให้เวลานิคกี้พูดผิด
ทุกเย็นพี่หนอยจะหอบตำรามานั่งอ่านคู่กันในห้องดวงเนตร เขาพาดวงเนตรไปหาซื้อเก้าอี้เพิ่มตามยาร์ดเซลได้มาหนึ่งตัว ราคาสองเหรียญ
ตัวที่ได้จากพี่ศิรินั่งไม่สบายจึงถูกเลื่อนไปไว้ข้างตู้เย็นเล็ก ทั้งคู่จะนั่งอ่านที่โต๊ะข้างหน้าต่าง บ่อย ๆ ที่ดวงเนตรทำอาหารเย็นเผื่อพวกพี่ จนโดนน้าวิวดุ
“ให้ตั้งใจเรียน นี่ก็มัวแต่ทำกับข้าว”
“ได้พักสมองบ้างค่ะน้าวิว”
“เออๆ! ตามใจแต่ต้องอย่าให้เสียงานนะ”
“ไอ้ตี๋มาทุกวันหรือเปล่า”
“มาค่ะ” ช่วงนี้ดูทุกคนหัวหกก้นขวิดเพราะใกล้สอบกลางเทอมแล้ว
แจคกี้แวะเอาเลคเชอะมาให้ที่ห้องและเจอหนอยสองครั้ง เขาเป็นคนรูปร่างสันทัด ใบหน้าเหลี่ยม หน้าเหมือนคนจีนทั่วไป ไม่มีอะไรสะดุดตานัก
แต่ที่สะดุดตาหนอยคือสายตาหลุกหลิกซึ่งผู้ชายจะรู้กันดี ทั้งสองหนุ่มทักทายกันธรรมดาไม่มากไม่น้อย แล้วเขาก็ลากลับ
“ไอ้นี่มันชอบดวงเนตรนะ พี่หนอยมองก็รู้”
“แต่เนตรไม่มีอะไรกับเขา เราเป็นเพื่อนกันนะคะ”
“พี่หนอยว่ามันไม่น่าคบเลย พยายามอยู่ห่างได้เป็นดีดูมันหลุกหลิก แล้วหนำซ้ำมันดูจะร้ายกว่าพี่วิศาลรวมกับภาคภูมิอีก” แต่สิ่งเดียวที่เขาเก็บ
ไว้ในใจคือลางสังหรณ์ที่น่าเป็นห่วง หลังจากที่พี่หนอยพูดเธอก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่สามัญสำนึกเตือนให้ระวัง พี่หนอยเองตั้งแต่นั้นมาจึงคอยเอา
รถมารับทุกเย็นหลังเลิกเรียน จนเรื่องไปถึงหูน้าวิว เธอมาแวะขณะทั้งสองกำลังติวสอบกลางเทอม
“เดี๋ยวนี้ต้องไปรับเนตรทุกวันเหรอ”
“ครับ” แล้วพี่หนอยก็เล่าเรื่องแจคกี้ให้ฟัง ดวงเนตรเสริมว่า
”ทีแรกเนตรไม่ได้สังเกตอะไร แต่พอพี่หนอยพูดเนตรก็เห็นท่าทางแปลก ๆ ของเขาค่ะ”
“เออ! ดีแล้ว ช่วงนี้จะเข้าฤดูหนาวแล้วมันมืดไวด้วย”
น้าวิวเดินกลับห้องพลางคิดถึงคำเตี่ยของดวงเนตรที่ฝากให้ช่วยดูแลด้วย เตี่ยคุยกับน้าวิวบ่อยด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้ดวงเนตรเป็นคนฉลาด
แต่ก็แพ้ทางตัวเองเพราะเป็นคนขี้สงสารใจอ่อน น้าวิวบอกเรื่องการสนทนากับเตี่ยให้หนอยรู้
“น้าวิวไม่ต้องห่วงหรอกผมรักดวงเนตรมากแค่ไหนก็รู้ ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” มันเป็นสัญญาลูกผู้ชาย ที่ก๋งเคยสอน ถ้าไม่แน่ใจจะไม่สัญญา
กับใคร แต่เมื่อสัญญาแล้วนั่นแหละสัญญาลูกผู้ชายที่ต้องรักษาเท่าชีวิต
การสอบกลางเทอมผ่านไปด้วยดี ทุกวิชาดวงเนตรผ่านฉลุย อย่างน้อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งเพราะเทอมสุดท้าย ต้องเอาคะแนนมารวมกัน หลังสอบ
ในวันอาทิตย์ ทั้งกลุ่ม ซึ่งรวมพี่ศิริ และสุดาก็มารวมกันที่ห้องน้าวิว ดวงเนตรทำปอเปี๊ยะถาดใหญ่มาด้วย มีข้าวผัด และต้มยำกุ้งของพี่ ๆ แค่นี้ก็ถือว่า
เยี่ยมแล้ว
“โอ้โฮ! น่ากินจัง”
“เอ! ฉันเชิญแกด้วยเหรอ” น้าวิวแหย่หนอย
“ครับ เชิญเนตรก็เหมือนเชิญผมด้วยล่ะครับ”
“เหรอ...ขี้ตู่เก่งนะเรา” มันเป็นการรวมตัวกันเล็ก ๆ เพื่อพักหายใจแล้วก้าวต่อไป สำหรับความสำเร็จที่ได้มาอย่างยากเย็น
พี่พลนัดนักศึกษาไทยประชุมด่วนในเย็นวันศุกร์ มีคนไทยมาไม่ถึงครึ่งเข้าใจว่าหลายคนคงไม่รู้ ขนาดพี่พลเองก็เพิ่งได้จดหมายจากทาง
เซนต์หลุยส์ เมื่อวานพอได้เวลานัดหมาย พี่พลก็เริ่มการประชุม
“พี่ต้องขอโทษพี่ ๆ และเพื่อน ๆ ด้วยที่นัดประชุมด่วนแบบนี้”
“พี่ก็เพิ่งได้จดหมายเมื่อวาน ทางเซนต์หลุยส์เขาขอความร่วมมือเหมือนเช่นทุกปีในการเข้าร่วมงานเทศกาลลอยกระทง ปกติจะต้องจัดวัน
ขึ้น 15 ค่ำ ซึ่งประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน แต่เวลาใกล้กับที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องเตรียมตัวสอบเทอมปลาย งานจึงถูกเลื่อนมาเป็นพรุ่งนี้ คือ
วันที่ 10 พฤศจิกายนแทน “
“ปกติเราจะส่งตัวแทนกลุ่มไปนะครับ แต่ถ้ามีใครจะเสนอเป็นอย่างอื่นก็ได้ครับ” สรุปแล้วส่วนใหญ่ต้องการส่งเป็นตัวแทนกลุ่มไป โดยใช้วิธี
อาสาสมัคร
“ตกลงตามนี้นะครับใครจะไปให้ไปลงชื่อกับน้าวิวเลยนะครับ ถ้าไม่มีคำถามอะไร พี่ก็ขอรบกวนเวลาแค่นี้นะครับกลับกันได้เลย”
มีกลุ่มน้องใหม่สี่คนที่เพิ่งมาเทอมนี้ ทั้งหมดเป็นนักศึกษาชาวสงขลา หน้าคมตาโตผิวเข้ม พวกเขามาประชุมด้วย มาทุกครั้งที่มีการประชุมและให้
ความร่วมมือดีมาก คนที่ท่าทางเป็นพี่ใหญ่เดินไปลงชื่อกับน้าวิว เธอถามว่า
“แล้วจะไปกันยังไงน้าวิวจะได้หารถให้”
“ไม่เป็นไรครับพวกเราจะขับรถตามกันไป” สรุปคือทั้งคณะตัวแทนใช้รถสามคัน ๆ แรกน้องเขาจะไปกับกลุ่มเขาเองโดยขับตามกันไป คันที่สอง
พี่พลขับมีสุดากับภาคภูมิไปด้วย คันที่สามพี่หนอยขับมีน้าวิว พี่ศิริ พี่น้อย และดวงเนตรเป็นผู้โดยสาร พี่พลแจกแผนที่ให้ เผื่อเกิดผลัดหลงกัน หมายกำหนดการพรุ่งนี้ห้าโมงเย็นเจอกันที่หอโดมิโน