หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (48)...เคียงข้าง
รถสองคันขับตามกันมา พี่ภัทรเพิ่งตื่นเตรียมไปเข้ากะทำงาน “มาถึงก็ซื้อรถเลยนะแม่หนูขับเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งขับในชิคาโกเดี๋ยวก็โดน
รถใหญ่อัดก๊อปปี้” น้าวิวสะบัดหน้าใส่แล้วลากดวงเนตรเดินออกมา
“ปากเสีย”
พี่ ๆ น้อง ๆ ออกไปอีกรอบ แต่ดวงเนตรขอตัวอยู่กับหมากเพราะต้องการให้หมากช่วยสอนการใช้สว่าน เขาใจเย็นค่อย ๆ อธิบายว่าหัวเจาะ
แต่ละขนาดใช้กับงานประเภทไหน แล้วทั้งสองก็พากันมาที่รถ “ความรู้พื้นฐานพี่เนตรมีแล้ว และพวกแอนตี้ฟรีซที่ใช้ในฤดูหนาว น้ำมันออกเทนต่ำ
พวกนี้พี่หนอยเคยอธิบายให้ฟังแล้วด้วยใช่ไหมครับ”
“จ้ะ” เสียงตอบแผ่วลง หมากเองก็รู้และพยายามที่สุดที่จะไม่พูดถึงพี่หนอย
“ทีนี้พี่เนตรขับไปกับหมากนะครับ จุดสำคัญคือเราขับคนละด้านกันกับบ้านเรา ถ้าเป็นที่เมืองไทยเราต้องใช้ตาซ้ายมองในวงกว้าง ส่วนที่นี่ขับ
รถกันคนละฝั่งกับเรา เราจึงต้องใช้ตาขวามองกวาดในวงกว้าง”
“พี่หนอยเคยพาพี่ไปขับบ่อยค่ะ”
“เราไปลองขับดูดีกว่านะครับ ขับได้บ้างแต่เอาคันนี้ไปหัดให้คุ้นมือ” พี่ภัทรมองมาเห็นหมากดูสุภาพและตั้งใจอธิบาย นั่น โน่น นี่ให้
“เธอโชคดีนะมีคนช่วยมาตลอด ไม่รู้ว่ามีนะหน้าอะไรถึงมีเสน่ห์นัก”
หมากและดวงเนตรขึ้นนั่งที่คนขับรัดเข็มขัด แล้วขับออกไปช้า ๆ แล้วเร่งเครื่องหายไป
‘คงกลับมาครบส่วนนะแม่คุณ’ พี่ภัทรนึกในทางที่ดี
หมากออกแปลกใจเพราะดูเหมือนดวงเนตรไม่มีท่าทีกลัว แถมยังขับได้อย่างคล่องแคล่ว จนรถมาจอดเทียบหน้าบ้าน
พี่ภัทรเดินลงมา “พี่ภัทรจะไปทำงานเหรอครับ” เขาพยักหน้า ดวงเนตรไม่ได้พูดอะไรด้วย เธอไม่เคยให้คุณค่ากับคนแบบนี้
“เก่งนี่ นึกว่าจะต้องไปเก็บทีละชิ้นซะแล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” ดวงเนตรตอบแบบเย็นชา พวกไปซื้อของยาร์ดเซลอีกรอบกลับมาพอดี
“เห็นออกรถไปสองคนก็เป็นห่วง กลัวว่าต้องไปเก็บกลับที่ละส่วนล่ะยุ่งเลย แต่เก่งนี่เราน่ะ” พี่ภัทรพูดลอย ๆ ซ้ำ และผละไปขึ้นรถหรูขับ
ออกไป
“ปากเสีย ต้องพาไปหาหมองัดเอาหมาออกมาซะบ้าง” น้าวิวพูดแบบโมโหสุด ๆ
“ใจเย็นค่ะน้าวิว พี่น้อยว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยไง ๆ น้องเนตรก็ต้องอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ” พี่น้อยพูดเพราะเป็นห่วงน้องและน้าวิว
“พี่น้อยไม่ต้องห่วงเนตรหรอกค่ะ คนพวกนี้น่าสงสารมากกว่า” จบประเด็นคนปากเสีย
“พรุ่งนี้เราไปช่วยเนตรจัดการเรื่องบัญชีธนาคาร เอกสารลงทะเบียน และเรื่องประกันรถให้เรียบร้อย พอบ่ายเราก็เข้าเมืองไปช็อปปิงอีกที
ให้กระเป๋ากระจุยเลยดีไหมเหล็ก”
“น้าวิวว่าอะไรนะครับ”
“อะไรเป็นเด็กเป็นเล็กหัดใจลอย”
“กลับมาแล้วครับ กำลังจะหาวิธีเจาะยางรถคนเล่น”
“ไม่เอาน่า” พี่พลรีบยั้งทัพ
“พี่เขาเกิดมาแล้วอยู่คนเดียวตลอดเขาเลยเป็นแบบนี้”
“เอาเถอะ มานี่กันทุกคนเลย น้ากับพี่ศิริได้ไอ้นี่มามันหนักมาก ช่วยกันหน่อย” ดวงเนตรคิดไอ้นี่ ไอ้นั่นของน้าวิวคืออะไร จนไปถึงรถตู้พี่พล
พับเบาะหลังลงหมด ถึงบรรทุกกันมาได้ มันเป็นโต๊ะไม้ขนาด เมตรครึ่งคูณสามเมตร พวกเราค่อย ๆ เอาลง เพราะกลัวรถเป็นรอย มีพี่น้อยที่ตัวเล็กสุด
คอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ
“วางตรงไหนครับหนัก” เสียงเหล็กโวย น้าวิวซิ่งออกมาแล้ว
“ถือไว้สักพักดีไหม” ทุกคนหัวเราะส่วนดวงเนตรอมยิ้มขำท่าทางเหล็ก โต๊ะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีขาไขว่กันเป็นรูปตัว X ที่นั่งขนานกับความยาว
ของโต๊ะ ขาที่มีลักษณะไขว้กัน ถูกยึดอย่างแข็งแรงด้วยไม้ยาวอีกทีทำขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และให้คนนั่งได้พักเท้า
“สุดยอดเลยค่ะ ไอเดียน้าวิวนี่เจ๋งมากค่ะ” พี่น้อยช่วยเชียร์
“ถ้าเนตรเบื่อจะได้มานั่งเรียนเขียนอ่านข้างนอกหลังบ้านมีต้นไม่ร่มเงาน่านั่งนี้ไง” น้านิดพูดต่อจากพี่น้อย ดวงตาของเนตรที่สบตากับทุกคน
อย่างซาบซึ้งในน้ำใจมากมายที่ได้รับเสมอมา
น้าวิวเดินมาจับมือดวงเนตร “ไป ๆ เข้าไปข้างในกินพิซซ่ากันดีกว่า”
หลังอาหารกลางวันพี่และน้องไม่มีการแยกเพศ และไม่มีการแบ่งพื้นที่ นอนกันคนละมุม พัด หมัด เหล็ก นอนเกยกันเป็นก้อน มีหมากนอน
ขนาบอยู่ใกล้ ๆ ถ้าตื่นคงต้องใช้ชะแลงงัดออกมาทีละคน พี่ ๆ นอนติดกันตามความสูง มีพี่พลนอนหัวแถวท้ายสุดคงหนีไม่พ้นพี่น้อยที่นอนเกือบถึง
ประตู ดวงเนตรใช้กล้องพี่หนอยถ่ายภาพพวกนี้ไว้ จะได้เก็บไว้ดูครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อบอกตัวเองว่าที่รอดมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะครอบครัวที่อบอุ่นนี้นี่
เอง
เธอนั่งกางแผนที่ ความรู้หลายอย่างที่ถูกนำมาใช้ในชิคาโก ได้มาจากพี่หนอยทั้งนั้น
“เนตรครับมานั่งดูวิชาแผนที่ศาสตร์กัน” “แหมตั้งชื่อซะน่าเรียนเลยนะคะ” “มามะมามะ...ไว ๆ พี่จะปล้ำ พี่จะปล้ำให้หนำใจ” “พี่หนอยบ้าพูด
ไปเรื่อยเลย”ดวงเนตรทำหน้างอ แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ เขาขยับเก้าอี้มาจนชิดแล้วใช้มือซ้ายโอบไว้ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน พี่หนอยค่อย ๆ อธิบาย
และสอนการเขียนแผนที่ เช่นโทรนัดเพื่อน มากกว่าครึ่งของผู้หญิงจะเขียนเป็นเหมือนกลอนแปด พี่หน่อยหัดให้ใช้วิธีเขียนเป็นแผนที่มีทิศเหนือ
ใต้ระบุจุดสังเกต...ความคิดคนึงหามิจางหาย...
หญิงสาวขับรถออกมาดูจากที่หมายไม่ไกลนัก...เจอซุปเปอร์มาร์เก็ต รถสปอร์ตสีขาวของดวงเนตรวิ่งออกไป ไม่นานก็ขับกลับเข้ามาจอด
แล้วขนของที่ใช้ลงมาที่หลังบ้าน จัดการเตรียมอาหารเย็นจนเสร็จ
ดวงเนตรชงชานมมาดื่มระหว่างรอพี่ ๆ เธอคิดถึงคนที่เคยนั่งจิบชาด้วยกัน ดวงเนตรถอนใจ หยิบกองหนังสือพิมพ์ที่ได้จากบ้านครอบครัว
แจ็กสัน ที่ดวงเนตรขอซื้อจากมาเรีย เธอกางอ่านแต่ละคอลัมส์แล้วตัดวางไว้ มีคอลัมส์หนึ่งเขียนเป็นลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ ซึ่งจากจำนวนผู้รอด
ชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหาย มีความเป็นไปได้ที่อาจมีอีกจำนวนหนึ่งอาจยังมีชีวิตรอด เพราะพื้นที่ที่ติดกับแนวเขาและความโกลาหลที่เกิด อาจทำ
ให้การนับจำนวนผู้ป่วยที่กระจายไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่ครบและตรงกับจำนวนจริง ดวงเนตรตัดเก็บแล้วรวมใส่ไว้ในแฟ้ม
“ทำอะไรจ๊ะ ของเยอะแยะเลย”
“เนตรจะทำบาร์บีคิว ให้พวกเราฉลองโต๊ะใหม่ค่ะ”
“โอ้! ดีจังเลยค่ะน้องเนตร ได้บรรยากาศมากเลย ย่างบาร์บีคิวใต้ต้นเมเปิล อากาศก็ดีจะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว มีไวน์ด้วย แหม! น่ารักรู้ใจพี่ ๆ
ไปหมด”
“มีอะไรให้พี่พลช่วยไหมครับ”
“พี่พลช่วยไปขอยืมเตาย่างของพี่ภัทรให้หน่อยนะคะ”
“ได้ครับ”
ทุกคนช่วยกันทำ โดยสาว ๆ ยกหน้าที่การย่างให้หมากเป็นกุ๊กใหญ่คุ้มน้อง ๆ พี่ศิริเริ่มรินไวน์แจก มีทั้งไวน์แดง และโรเซ่... ไวท์ผู้หญิง
ชอบนัก หวานอมเปรี้ยวหอมละมุนเป็นสีส้มอ่อน
พี่พลเดินกลับมาอีกรอบหิ้วกีต้าร์มาด้วย พี่พลตั้งสาย ทอดสายตามองมาที่ดวงเนตรเหมือนขอโทษ หากทำให้ต้องคิดถึงหนอยอีก ดวงเนตร
ยิ้มให้ พี่พลเริ่มด้วย
“My old guitar give me the love song taught me how to love how to sing”… เพลงจบลงแบบได้ใจสาว ๆ พี่น้อย
ขอเพลง “จงรัก” สาวเคลิ้มไปตาม ๆ กัน เหล็กขอแจมด้วยเสียงก้องไพเราะ
“ฟ้าหัวเราะเยอะข้าชะตาหรือ ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้า...เสียงเป่า
ปากจากพี่ ๆ เป็นแรงใจ
“พ่อชอบเพลงนี้และร้องกล่อมพวกเราทุกคืน” ทุกคนหัวเราะชอบใจ ดวงเนตรอมยิ้มในความรักผูกพันของพ่อลูก แต่ที่ทุกคนอมยิ้มไม่หยุด
เพราะคุณพ่อเลือกเพลงสะท้านโลกันต์มากล่อมลูก ๆ แปลกจัง
พี่ ๆ และดวงเนตรทำเรื่องเปิดบัญชีธนาคาร ประกันสุขภาพ...ซึ่งเป็นข้อบังคับของนักศึกษาต่างชาติจำเป็นต้องซื้อทุกปีการศึกษา และประกัน
รถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งหมดก็ขับรถตู้ไปที่มหาวิทยาลัย
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (48)...เคียงข้าง
รถสองคันขับตามกันมา พี่ภัทรเพิ่งตื่นเตรียมไปเข้ากะทำงาน “มาถึงก็ซื้อรถเลยนะแม่หนูขับเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยิ่งขับในชิคาโกเดี๋ยวก็โดน
รถใหญ่อัดก๊อปปี้” น้าวิวสะบัดหน้าใส่แล้วลากดวงเนตรเดินออกมา
“ปากเสีย”
พี่ ๆ น้อง ๆ ออกไปอีกรอบ แต่ดวงเนตรขอตัวอยู่กับหมากเพราะต้องการให้หมากช่วยสอนการใช้สว่าน เขาใจเย็นค่อย ๆ อธิบายว่าหัวเจาะ
แต่ละขนาดใช้กับงานประเภทไหน แล้วทั้งสองก็พากันมาที่รถ “ความรู้พื้นฐานพี่เนตรมีแล้ว และพวกแอนตี้ฟรีซที่ใช้ในฤดูหนาว น้ำมันออกเทนต่ำ
พวกนี้พี่หนอยเคยอธิบายให้ฟังแล้วด้วยใช่ไหมครับ”
“จ้ะ” เสียงตอบแผ่วลง หมากเองก็รู้และพยายามที่สุดที่จะไม่พูดถึงพี่หนอย
“ทีนี้พี่เนตรขับไปกับหมากนะครับ จุดสำคัญคือเราขับคนละด้านกันกับบ้านเรา ถ้าเป็นที่เมืองไทยเราต้องใช้ตาซ้ายมองในวงกว้าง ส่วนที่นี่ขับ
รถกันคนละฝั่งกับเรา เราจึงต้องใช้ตาขวามองกวาดในวงกว้าง”
“พี่หนอยเคยพาพี่ไปขับบ่อยค่ะ”
“เราไปลองขับดูดีกว่านะครับ ขับได้บ้างแต่เอาคันนี้ไปหัดให้คุ้นมือ” พี่ภัทรมองมาเห็นหมากดูสุภาพและตั้งใจอธิบาย นั่น โน่น นี่ให้
“เธอโชคดีนะมีคนช่วยมาตลอด ไม่รู้ว่ามีนะหน้าอะไรถึงมีเสน่ห์นัก”
หมากและดวงเนตรขึ้นนั่งที่คนขับรัดเข็มขัด แล้วขับออกไปช้า ๆ แล้วเร่งเครื่องหายไป ‘คงกลับมาครบส่วนนะแม่คุณ’ พี่ภัทรนึกในทางที่ดี
หมากออกแปลกใจเพราะดูเหมือนดวงเนตรไม่มีท่าทีกลัว แถมยังขับได้อย่างคล่องแคล่ว จนรถมาจอดเทียบหน้าบ้าน
พี่ภัทรเดินลงมา “พี่ภัทรจะไปทำงานเหรอครับ” เขาพยักหน้า ดวงเนตรไม่ได้พูดอะไรด้วย เธอไม่เคยให้คุณค่ากับคนแบบนี้
“เก่งนี่ นึกว่าจะต้องไปเก็บทีละชิ้นซะแล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง” ดวงเนตรตอบแบบเย็นชา พวกไปซื้อของยาร์ดเซลอีกรอบกลับมาพอดี
“เห็นออกรถไปสองคนก็เป็นห่วง กลัวว่าต้องไปเก็บกลับที่ละส่วนล่ะยุ่งเลย แต่เก่งนี่เราน่ะ” พี่ภัทรพูดลอย ๆ ซ้ำ และผละไปขึ้นรถหรูขับ
ออกไป
“ปากเสีย ต้องพาไปหาหมองัดเอาหมาออกมาซะบ้าง” น้าวิวพูดแบบโมโหสุด ๆ
“ใจเย็นค่ะน้าวิว พี่น้อยว่าอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลยไง ๆ น้องเนตรก็ต้องอยู่ที่นี่ก่อนนะคะ” พี่น้อยพูดเพราะเป็นห่วงน้องและน้าวิว
“พี่น้อยไม่ต้องห่วงเนตรหรอกค่ะ คนพวกนี้น่าสงสารมากกว่า” จบประเด็นคนปากเสีย
“พรุ่งนี้เราไปช่วยเนตรจัดการเรื่องบัญชีธนาคาร เอกสารลงทะเบียน และเรื่องประกันรถให้เรียบร้อย พอบ่ายเราก็เข้าเมืองไปช็อปปิงอีกที
ให้กระเป๋ากระจุยเลยดีไหมเหล็ก”
“น้าวิวว่าอะไรนะครับ”
“อะไรเป็นเด็กเป็นเล็กหัดใจลอย”
“กลับมาแล้วครับ กำลังจะหาวิธีเจาะยางรถคนเล่น”
“ไม่เอาน่า” พี่พลรีบยั้งทัพ
“พี่เขาเกิดมาแล้วอยู่คนเดียวตลอดเขาเลยเป็นแบบนี้”
“เอาเถอะ มานี่กันทุกคนเลย น้ากับพี่ศิริได้ไอ้นี่มามันหนักมาก ช่วยกันหน่อย” ดวงเนตรคิดไอ้นี่ ไอ้นั่นของน้าวิวคืออะไร จนไปถึงรถตู้พี่พล
พับเบาะหลังลงหมด ถึงบรรทุกกันมาได้ มันเป็นโต๊ะไม้ขนาด เมตรครึ่งคูณสามเมตร พวกเราค่อย ๆ เอาลง เพราะกลัวรถเป็นรอย มีพี่น้อยที่ตัวเล็กสุด
คอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ
“วางตรงไหนครับหนัก” เสียงเหล็กโวย น้าวิวซิ่งออกมาแล้ว
“ถือไว้สักพักดีไหม” ทุกคนหัวเราะส่วนดวงเนตรอมยิ้มขำท่าทางเหล็ก โต๊ะทำด้วยไม้เนื้อแข็ง มีขาไขว่กันเป็นรูปตัว X ที่นั่งขนานกับความยาว
ของโต๊ะ ขาที่มีลักษณะไขว้กัน ถูกยึดอย่างแข็งแรงด้วยไม้ยาวอีกทีทำขึ้นเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และให้คนนั่งได้พักเท้า
“สุดยอดเลยค่ะ ไอเดียน้าวิวนี่เจ๋งมากค่ะ” พี่น้อยช่วยเชียร์
“ถ้าเนตรเบื่อจะได้มานั่งเรียนเขียนอ่านข้างนอกหลังบ้านมีต้นไม่ร่มเงาน่านั่งนี้ไง” น้านิดพูดต่อจากพี่น้อย ดวงตาของเนตรที่สบตากับทุกคน
อย่างซาบซึ้งในน้ำใจมากมายที่ได้รับเสมอมา
น้าวิวเดินมาจับมือดวงเนตร “ไป ๆ เข้าไปข้างในกินพิซซ่ากันดีกว่า”
หลังอาหารกลางวันพี่และน้องไม่มีการแยกเพศ และไม่มีการแบ่งพื้นที่ นอนกันคนละมุม พัด หมัด เหล็ก นอนเกยกันเป็นก้อน มีหมากนอน
ขนาบอยู่ใกล้ ๆ ถ้าตื่นคงต้องใช้ชะแลงงัดออกมาทีละคน พี่ ๆ นอนติดกันตามความสูง มีพี่พลนอนหัวแถวท้ายสุดคงหนีไม่พ้นพี่น้อยที่นอนเกือบถึง
ประตู ดวงเนตรใช้กล้องพี่หนอยถ่ายภาพพวกนี้ไว้ จะได้เก็บไว้ดูครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อบอกตัวเองว่าที่รอดมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะครอบครัวที่อบอุ่นนี้นี่
เอง
เธอนั่งกางแผนที่ ความรู้หลายอย่างที่ถูกนำมาใช้ในชิคาโก ได้มาจากพี่หนอยทั้งนั้น
“เนตรครับมานั่งดูวิชาแผนที่ศาสตร์กัน” “แหมตั้งชื่อซะน่าเรียนเลยนะคะ” “มามะมามะ...ไว ๆ พี่จะปล้ำ พี่จะปล้ำให้หนำใจ” “พี่หนอยบ้าพูด
ไปเรื่อยเลย”ดวงเนตรทำหน้างอ แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ เขาขยับเก้าอี้มาจนชิดแล้วใช้มือซ้ายโอบไว้ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน พี่หนอยค่อย ๆ อธิบาย
และสอนการเขียนแผนที่ เช่นโทรนัดเพื่อน มากกว่าครึ่งของผู้หญิงจะเขียนเป็นเหมือนกลอนแปด พี่หน่อยหัดให้ใช้วิธีเขียนเป็นแผนที่มีทิศเหนือ
ใต้ระบุจุดสังเกต...ความคิดคนึงหามิจางหาย...
หญิงสาวขับรถออกมาดูจากที่หมายไม่ไกลนัก...เจอซุปเปอร์มาร์เก็ต รถสปอร์ตสีขาวของดวงเนตรวิ่งออกไป ไม่นานก็ขับกลับเข้ามาจอด
แล้วขนของที่ใช้ลงมาที่หลังบ้าน จัดการเตรียมอาหารเย็นจนเสร็จ
ดวงเนตรชงชานมมาดื่มระหว่างรอพี่ ๆ เธอคิดถึงคนที่เคยนั่งจิบชาด้วยกัน ดวงเนตรถอนใจ หยิบกองหนังสือพิมพ์ที่ได้จากบ้านครอบครัว
แจ็กสัน ที่ดวงเนตรขอซื้อจากมาเรีย เธอกางอ่านแต่ละคอลัมส์แล้วตัดวางไว้ มีคอลัมส์หนึ่งเขียนเป็นลักษณะวิเคราะห์เหตุการณ์ ซึ่งจากจำนวนผู้รอด
ชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหาย มีความเป็นไปได้ที่อาจมีอีกจำนวนหนึ่งอาจยังมีชีวิตรอด เพราะพื้นที่ที่ติดกับแนวเขาและความโกลาหลที่เกิด อาจทำ
ให้การนับจำนวนผู้ป่วยที่กระจายไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ ไม่ครบและตรงกับจำนวนจริง ดวงเนตรตัดเก็บแล้วรวมใส่ไว้ในแฟ้ม
“ทำอะไรจ๊ะ ของเยอะแยะเลย”
“เนตรจะทำบาร์บีคิว ให้พวกเราฉลองโต๊ะใหม่ค่ะ”
“โอ้! ดีจังเลยค่ะน้องเนตร ได้บรรยากาศมากเลย ย่างบาร์บีคิวใต้ต้นเมเปิล อากาศก็ดีจะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว มีไวน์ด้วย แหม! น่ารักรู้ใจพี่ ๆ
ไปหมด”
“มีอะไรให้พี่พลช่วยไหมครับ”
“พี่พลช่วยไปขอยืมเตาย่างของพี่ภัทรให้หน่อยนะคะ”
“ได้ครับ”
ทุกคนช่วยกันทำ โดยสาว ๆ ยกหน้าที่การย่างให้หมากเป็นกุ๊กใหญ่คุ้มน้อง ๆ พี่ศิริเริ่มรินไวน์แจก มีทั้งไวน์แดง และโรเซ่... ไวท์ผู้หญิง
ชอบนัก หวานอมเปรี้ยวหอมละมุนเป็นสีส้มอ่อน
พี่พลเดินกลับมาอีกรอบหิ้วกีต้าร์มาด้วย พี่พลตั้งสาย ทอดสายตามองมาที่ดวงเนตรเหมือนขอโทษ หากทำให้ต้องคิดถึงหนอยอีก ดวงเนตร
ยิ้มให้ พี่พลเริ่มด้วย “My old guitar give me the love song taught me how to love how to sing”… เพลงจบลงแบบได้ใจสาว ๆ พี่น้อย
ขอเพลง “จงรัก” สาวเคลิ้มไปตาม ๆ กัน เหล็กขอแจมด้วยเสียงก้องไพเราะ “ฟ้าหัวเราะเยอะข้าชะตาหรือ ดินนั้นถืออภิสิทธิ์ชีวิตข้า...เสียงเป่า
ปากจากพี่ ๆ เป็นแรงใจ
“พ่อชอบเพลงนี้และร้องกล่อมพวกเราทุกคืน” ทุกคนหัวเราะชอบใจ ดวงเนตรอมยิ้มในความรักผูกพันของพ่อลูก แต่ที่ทุกคนอมยิ้มไม่หยุด
เพราะคุณพ่อเลือกเพลงสะท้านโลกันต์มากล่อมลูก ๆ แปลกจัง
พี่ ๆ และดวงเนตรทำเรื่องเปิดบัญชีธนาคาร ประกันสุขภาพ...ซึ่งเป็นข้อบังคับของนักศึกษาต่างชาติจำเป็นต้องซื้อทุกปีการศึกษา และประกัน
รถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ขับรถตู้ไปที่มหาวิทยาลัย