โดยไม่ต้องอดอาหารและกินอิ่มทุกมื้อ ขอย้ำ
เพราะเราเห็นแก่กิน
ใส่เสื้อตัวเดิมเพื่อให้เห็นได้ชัดว่า เสื้อหลวมไปเลย
Before and after
จำได้มั้ยว่าครั้งสุดท้ายที่มีเอว 24 นิ้วคือเมื่อไหร่
เราประมาณมัธยม เต็มที่เลยก็ตอน 18
หลังจากนั้นเอวก็ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งท้ายที่สุดอยู่ที่ 28-29 เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ซึ่งจริงๆตอนนั้นก็ไม่ได้กังวลใจอะไรเท่าไหร่นะ
ไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไรในชีวิต เพราะสะโพกใหญ่ 555
แล้วมันออกด้านหน้า ไม่ได้ออกข้าง เลยทำให้ยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งอยู่บ้าง
โดยรวมแล้วก็ยังดูเป็นคนผอมอยู่ ใส่เสื้อผ้าไซส์ M ยังไหวสบายๆ
จริงๆก็มีพุง แต่พุงก็มีมาตั้งนานแล้วนี่นา ใครๆก็มีพุงกันทั้งนั้น (เข้าข้างตัวเอง)
จขกท.เริ่มต้นออกกำลังกายอาทิตย์ละ 1 ครั้งแบบขำๆ
ให้ได้ชื่อว่าออกกำลังกาย เมื่อปี 2007 ขำๆจริงๆ คือไม่ได้อะไรเลย
รูปร่างสมัยนั้นพอมาเทียบกับตอนนี้แล้วแบบ โอ้ คิดได้ยังไงว่าตัวเองหุ่นดี
แต่ด้วยค่านิยมสาวๆเมืองไทย ผอมไว้ก่อนเป็นดี มีพุงก็พลางๆไป
น้ำหนักก็ไม่เยอะ แต่รูปร่างไม่สมส่วนเท่าไหร่ ดูไม่แข็งแรง
สังเกตให้ดีจะเห็นพุงยื่นๆ สะโพกเผละๆ แม้จะไม่อ้วนก็ตาม
แล้วก็มาเพิ่มเป็นออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งอยู่แล้ว แต่เน้นเล่นโยคะอย่างเดียว
ไม่ได้เน้นลดหุ่นหรืออะไรเลย เพราะไม่คิดว่าตัวเองอ้วน
แค่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2011 ช่วงนั้นน้ำหนักขึ้น 2 กิโล
เพราะอะไรไม่รู้ จนบัดนี้ก็คิดไม่ออกกว่าทำไม
เลยลองวิ่งดู ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย ไม่ชอบด้วย เพราะเหนื่อย...
อ๊ะๆ ตรงใจล่ะสิ ที่สาวๆหลายคนไม่อยากออกกำลังกายเพราะมันเหนื่อยใช่มั้ยล่ะ
เราก็กลัวเหนื่อย กว่าจะตั้งต้นวิ่งได้ก็หลายปี
แต่หลังจากเหนื่อยแล้วมันมีอะไรดีๆตามมาเยอะเลยนะ
ซึ่งเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายมากขึ้นเป็น 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์
มีการเบิร์น โยคะ ผสมๆกันไป
แต่เวลาผ่านไปน้ำหนักก็ไม่ลงนะ มีขึ้นๆลงๆแกว่งๆอยู่ที่ 48-49 ไม่ไปไหน
ก็เลย เฮ้อ ช่างมันเถอะนะ อย่าไปซีเรียสเลย ได้แค่นี้แหละ
แต่ก็ติดการออกกำลังกายแล้ว เลยทำแบบนั้นเป็นกิจวัตรจนผ่านไป 1 ปี
น้ำหนักก็ยังไม่ลงนะ แต่ก็ถ่ายรูปตัวเองมาเทียบกับภาพเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
พอลองเล่นๆเอามาเทียบกันดู...
กรกฏา 2012 ก็ตกใจว่า เฮ้ย เมื่อก่อนเราอ้วนขนาดนี้เลยเหรอ
(ไม่ได้รู้ตัวเองเลย)
แล้วน้ำหนักที่ไม่ลงก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ผอมลงนะ
จริงๆช่วงนั้นเจอใครก็มีแต่คนทักว่า ดูเฟิร์มขึ้นนะ ผอมลงนะ
เราก็บอก โอ๊ย ไม่ผอมเลย น้ำหนักไม่ลงเลย จะทำสถิติสูงสุดในชีวิตอยู่แล้ว
คือ เราเริ่มออกกำลังกายที่น้ำหนัก 47 ออกไปออกมามันขึ้นไป 49
ออกแล้วออกเล่ามันก็ไม่ยอมลง จะเฉียด 50 อยู่รอมร่อ
แต่พอเอารูปมาเทียบกันดูก็พบว่า ถึงมันจะ 49 แต่ก็ดูดีกว่า 47 นะ
โปรแกรมที่ออกกำลังกายตอนนั้นคือ
ออกกำลังกายวันจันทร์ - พฤหัส
วิ่งวันละ 3 กิโล แล้วก็พัฒนามาเป็น 5 กิโล 1 วัน
โยคะ 1 ชั่วโมง + วิ่ง 10 นาที 2 วัน
RPM 1 ชั่วโมง 1 วัน
ถ้าอาทิตย์ไหนมีออกกำลังกายเพิ่มก็จะเป็น วิ่ง 3-5 กิโล
เล่น weight training ไปตามยถากรรม นิดๆหน่อยๆ ไม่ต้องนับหรอก
ส่วนอาหาร ไม่ได้งด ไม่ได้คุมเลย กินตามใจปากมากๆ
คือ เป็นคนที่มีปณิธานมุ่งมั่นมาก ว่าเราออกกำลังกายแล้ว
เพราะงั้นเราต้องกินในสิ่งที่เราอยากกินให้ได้ จะไม่งดอาหาร
และการงดอาหารก็ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องนะ
คุณอาจจะเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อาหารที่กินได้
แตไม่ควรงดอาหารอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่สามารถงดได้ตลอดชีวิต
เพราะว่าร่างกายจะรับรู้เลยว่า มื้อนั้นเราไม่มีอาหารเข้าไป
ร่างกายจะไม่เผาผลาญในมื้อนั้น พอเราเริ่มกิน ก็จะกลายเป็นส่วนเกินทันที
ทีนี้พอผ่านมา 1 ปีก็ยังคงออกกำลังกายแบบนี้แหละ ไม่เปลี่ยนอะไร
แต่ต่อให้ยังไง เอวก็ได้ที่ 26-27 อยู่ดี ยังมีพุง
ปลายปี 2012 คุณแฟนก็ขอแต่งงาน อะคึ หลงกลเราแล้วล่ะเซ่
แต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องลดหุ่นหรืออะไรเพื่องานแต่งงานหรอกนะ
ก็ออกกำลังกายตามปกติ คิดเอาเองว่า ทำแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็ผอมเองนะ
จะเห็นว่าผอมลงหมดทุกส่วน จนคนอื่นทักว่าจะผอมเกินไปแล้วหรือเปล่า
แต่พุงก็ยังยืนยันจะเท่าเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ลงมาก็นิดเดียว
ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นส่วนที่ลดยากมากนะ สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะเราด้วย
ที่กรรมพันธุ์เป็นคนพุงใหญ่ทั้งบ้าน
เทรนเนอร์ก็แนะนำว่า ทำท่าแพลงค์สิ เล่น weight training สิ
ช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนท้องแข็งแรงขึ้น จะได้ช่วยดึงพุงไปข้างหลัง
เพราะว่าเราเบิร์นอยู่แล้วทุกวันแล้วมันเบิร์นพุงน้อยมากถ้าเทียบกับส่วนอื่น
ส่วนอื่นจะผอมเกินไปอยู่แล้ว
ก็เลยเริ่มเล่ม Core flow เล่น Body pump เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
แต่ตอนนั้นยังไม่มีความมุ่งมั่นเรื่องเอว 24 นะ
แค่คิดว่าทำยังไงให้ไม่มีพุงดี พุงก็ลดลงนิดหน่อย ไม่มากอย่างที่คิด
สามสี่เดือนก่อนแต่งงานก็แบบว่า เฮ้ย แต่งตอนนี้เลยได้มะ
รู้สึกว่าหุ่นดีที่สุดในชีวิตแล้ว คงทำมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เดี๋ยวอ้วนขึ้นมาอีกทำไง
หันไปถามคุณแฟน
"ตัวเองว่าเค้าจะหุ่นดีกว่านี้ได้อีกมั้ย เค้ารู้สึกว่ามันสุดแล้วอะ"
แต่คุณแฟนบอกว่า เราจะหุ่นดีกว่านี้ได้อีกแน่นอน
ก็เชื่อเค้านะ ทั้งๆที่คิดไม่ออกเลยว่าจะหุ่นดีกว่านี้อีกได้ไง
สุดท้ายมาอ่านกระทู้ในพันทิปนี่แหละ จำไม่ได้แล้วว่าคุณอะไร
เค้าบอกเคล็ดลับเอว 24 ของเค้าด้วยเครื่องนี้
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจนะ ว่าเราต้องออกกำลังกายแบบลดเฉพาะส่วนแล้ว
ไม่ใช่ออกกำลังกายแบบลดทั้งตัวเหมือนเมื่อก่อน
เราก็ทำตามเลย เป็นการเพิ่มจากการออกกำลังกายธรรมดา
และก็เลยรู้สึกตัวว่าควรจะเล่นเครื่องหน้าท้องเพิ่มไปเลย
ตอนนี้โปรแกรมออกกำลังกายก็เลยเปลี่ยนไป
เราเพิ่มการออกกำลังกายเป็น 6-7 วันต่อสัปดาห์
คือ สนุกด้วยล่ะ ไม่คิดว่าเป็นภาระในการออกกำลังกาย
ซึ่งแปลว่าบอกคนอื่นได้เลยว่า ออกกำลังกายทุกวัน
วิ่ง 5 กิโล เป็นพื้นฐานเกือบทุกวัน
แล้วก็เล่น weight training ต่อ เน้นเฉพาะเครื่องหน้าท้องดังนี้
บางวันถ้าเบื่อวิ่งก็จะไปปั่น RPM หรือเล่นโยคะ
แต่เนื่องจากชีวิตช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งมากๆ
ก็เลยไม่มีเวลาเล่นคลาสตามเวลา ส่วนใหญ่เลยจบที่วิ่ง
เพราะว่าว่างตอนไหนก็ไปฟินเนสตอนนั้น แล้วก็วิ่งเลย สะดวกดี
โปรแกรมออกกำลังกายก็คือ
วิ่ง 5 กิโล + weight training 30 นาที
(จริงๆหลังๆที่วิ่ง 5 กิโลก็ไม่ค่อยเหนื่อยแล้วนะ มีแถมๆไปเรื่อย -_-')
ส่วนเวทก็เล่นตามนี้
เริ่มต้นด้วยเซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
ปัจจุบันเพิ่มเวทอีก 2 กิโล เซตละ 20 จำนวน 3 เซตต่อวัน
แต่สำหรับเราเล่นแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเอวลด
มาลดที่ตัวนี้ แนะนำเลย
เซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
แล้วก็เล่นตัวนี้ด้วย มาตรฐาน
เซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
ส่วนโปรแกรมการกินนั้นไม่งดเหมือนเดิม ตามคอนเซปท์
แต่ทว่า เปลี่ยนเวลาการกิน
คนออกกำลังกายจะรู้เลยว่า การได้กินหลังออกกำลังกายมันฟินมาก
แล้วเราก็ชอบมาก เลิฟสุดๆกับการได้กินหลังออกกำลังกาย
แต่ถ้าเล่นแล้วมากินตอนสามทุ่มทุกวันมันจะใช่ม้ายยยยย
สี่ห้าทุ่มก็นอนแล้วง่า ตรงนี้ก็เป็นจุดที่คิดว่าต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย
เนื่องจากตอนนั้นใกล้จะแต่งงานแล้วด้วยเลยยอมตัดใจว่า
เออ กินก่อนแล้วค่อยไปออกก็ได้ (แอบเสียใจอยู่หลายวัน)
เดี๋ยวแต่งงานเสร็จจะขอกลับมากินหลังออกกำลังกายเหมือนเดิมละกัน
ก็เลยกินข้าวตอนหลังเลิกงาน ประมาณ 6 โมงเย็น
รอเวลาอาหารย่อยสักเล็กน้อยแล้วค่อยไปออกกำลังกาย
ใหม่ๆนี่แทบวิ่งไม่ออก เพราะว่าเราชินกับการวิ่งตัวเบาๆ
แต่พอสักพักก็เริ่มชิน แล้วข้อดีที่ตามมาคือ
เราไม่ต้องกังวลว่า เดี๋ยวจะกินข้าวดึกเกินไป
เลยสามารถเล่นไปได้เรื่อยๆตามแต่ใจอยากจะเล่น
เสร็จแล้วก็อาบน้ำกลับบ้าน นอน ไม่กินอะไรอีกแล้ว
ทรมานอยู่สองสามวันเพราะมันชินที่จะต้องได้กินหลังออกกำลังกาย
แต่ว่าสักพักก็เริ่มชิน และรู้สึกว่าพุงเริ่มหายไปจริงๆด้วย
พอวันไปฟิตติ้งชุดแต่งงาน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ตอนที่เค้าวัดเอวแล้วบอกให้ช่างจดว่า 24.5
อารมณ์แบบอยากกรี๊ดตรงนั้นเลย
ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเท่านั้นเอง ที่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และลดเฉพาะพุงอย่างเดียว เนื่องจากหลายคนทักว่า
ถ้าผอมไปกว่านี้จะไม่สวยแล้ว แต่เราอยากให้แค่พุงลงนี่นา
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จุดประสงค์การออกกำลังกายของเรา
และหาวิธีในการออกกำลังกายที่เหมาะสม
(เอาเวลา 2 ปีชั้นคืนมานะ)
เมื่อป้าวัย 35 อยากมีเอว 24... อย่างไร??
เพราะเราเห็นแก่กิน
ใส่เสื้อตัวเดิมเพื่อให้เห็นได้ชัดว่า เสื้อหลวมไปเลย
Before and after
จำได้มั้ยว่าครั้งสุดท้ายที่มีเอว 24 นิ้วคือเมื่อไหร่
เราประมาณมัธยม เต็มที่เลยก็ตอน 18
หลังจากนั้นเอวก็ขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งท้ายที่สุดอยู่ที่ 28-29 เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ซึ่งจริงๆตอนนั้นก็ไม่ได้กังวลใจอะไรเท่าไหร่นะ
ไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอะไรในชีวิต เพราะสะโพกใหญ่ 555
แล้วมันออกด้านหน้า ไม่ได้ออกข้าง เลยทำให้ยังมีส่วนเว้าส่วนโค้งอยู่บ้าง
โดยรวมแล้วก็ยังดูเป็นคนผอมอยู่ ใส่เสื้อผ้าไซส์ M ยังไหวสบายๆ
จริงๆก็มีพุง แต่พุงก็มีมาตั้งนานแล้วนี่นา ใครๆก็มีพุงกันทั้งนั้น (เข้าข้างตัวเอง)
จขกท.เริ่มต้นออกกำลังกายอาทิตย์ละ 1 ครั้งแบบขำๆ
ให้ได้ชื่อว่าออกกำลังกาย เมื่อปี 2007 ขำๆจริงๆ คือไม่ได้อะไรเลย
รูปร่างสมัยนั้นพอมาเทียบกับตอนนี้แล้วแบบ โอ้ คิดได้ยังไงว่าตัวเองหุ่นดี
แต่ด้วยค่านิยมสาวๆเมืองไทย ผอมไว้ก่อนเป็นดี มีพุงก็พลางๆไป
น้ำหนักก็ไม่เยอะ แต่รูปร่างไม่สมส่วนเท่าไหร่ ดูไม่แข็งแรง
สังเกตให้ดีจะเห็นพุงยื่นๆ สะโพกเผละๆ แม้จะไม่อ้วนก็ตาม
แล้วก็มาเพิ่มเป็นออกกำลังกายอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งอยู่แล้ว แต่เน้นเล่นโยคะอย่างเดียว
ไม่ได้เน้นลดหุ่นหรืออะไรเลย เพราะไม่คิดว่าตัวเองอ้วน
แค่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อเดือนกรกฎาคม 2011 ช่วงนั้นน้ำหนักขึ้น 2 กิโล
เพราะอะไรไม่รู้ จนบัดนี้ก็คิดไม่ออกกว่าทำไม
เลยลองวิ่งดู ไม่เคยวิ่งมาก่อนเลย ไม่ชอบด้วย เพราะเหนื่อย...
อ๊ะๆ ตรงใจล่ะสิ ที่สาวๆหลายคนไม่อยากออกกำลังกายเพราะมันเหนื่อยใช่มั้ยล่ะ
เราก็กลัวเหนื่อย กว่าจะตั้งต้นวิ่งได้ก็หลายปี
แต่หลังจากเหนื่อยแล้วมันมีอะไรดีๆตามมาเยอะเลยนะ
ซึ่งเป็นการเริ่มต้นออกกำลังกายมากขึ้นเป็น 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์
มีการเบิร์น โยคะ ผสมๆกันไป
แต่เวลาผ่านไปน้ำหนักก็ไม่ลงนะ มีขึ้นๆลงๆแกว่งๆอยู่ที่ 48-49 ไม่ไปไหน
ก็เลย เฮ้อ ช่างมันเถอะนะ อย่าไปซีเรียสเลย ได้แค่นี้แหละ
แต่ก็ติดการออกกำลังกายแล้ว เลยทำแบบนั้นเป็นกิจวัตรจนผ่านไป 1 ปี
น้ำหนักก็ยังไม่ลงนะ แต่ก็ถ่ายรูปตัวเองมาเทียบกับภาพเมื่อ 1 ปีที่แล้ว
พอลองเล่นๆเอามาเทียบกันดู...
กรกฏา 2012 ก็ตกใจว่า เฮ้ย เมื่อก่อนเราอ้วนขนาดนี้เลยเหรอ
(ไม่ได้รู้ตัวเองเลย)
แล้วน้ำหนักที่ไม่ลงก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ผอมลงนะ
จริงๆช่วงนั้นเจอใครก็มีแต่คนทักว่า ดูเฟิร์มขึ้นนะ ผอมลงนะ
เราก็บอก โอ๊ย ไม่ผอมเลย น้ำหนักไม่ลงเลย จะทำสถิติสูงสุดในชีวิตอยู่แล้ว
คือ เราเริ่มออกกำลังกายที่น้ำหนัก 47 ออกไปออกมามันขึ้นไป 49
ออกแล้วออกเล่ามันก็ไม่ยอมลง จะเฉียด 50 อยู่รอมร่อ
แต่พอเอารูปมาเทียบกันดูก็พบว่า ถึงมันจะ 49 แต่ก็ดูดีกว่า 47 นะ
โปรแกรมที่ออกกำลังกายตอนนั้นคือ
ออกกำลังกายวันจันทร์ - พฤหัส
วิ่งวันละ 3 กิโล แล้วก็พัฒนามาเป็น 5 กิโล 1 วัน
โยคะ 1 ชั่วโมง + วิ่ง 10 นาที 2 วัน
RPM 1 ชั่วโมง 1 วัน
ถ้าอาทิตย์ไหนมีออกกำลังกายเพิ่มก็จะเป็น วิ่ง 3-5 กิโล
เล่น weight training ไปตามยถากรรม นิดๆหน่อยๆ ไม่ต้องนับหรอก
ส่วนอาหาร ไม่ได้งด ไม่ได้คุมเลย กินตามใจปากมากๆ
คือ เป็นคนที่มีปณิธานมุ่งมั่นมาก ว่าเราออกกำลังกายแล้ว
เพราะงั้นเราต้องกินในสิ่งที่เราอยากกินให้ได้ จะไม่งดอาหาร
และการงดอาหารก็ไม่ใช่วิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้องนะ
คุณอาจจะเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อาหารที่กินได้
แตไม่ควรงดอาหารอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่สามารถงดได้ตลอดชีวิต
เพราะว่าร่างกายจะรับรู้เลยว่า มื้อนั้นเราไม่มีอาหารเข้าไป
ร่างกายจะไม่เผาผลาญในมื้อนั้น พอเราเริ่มกิน ก็จะกลายเป็นส่วนเกินทันที
ทีนี้พอผ่านมา 1 ปีก็ยังคงออกกำลังกายแบบนี้แหละ ไม่เปลี่ยนอะไร
แต่ต่อให้ยังไง เอวก็ได้ที่ 26-27 อยู่ดี ยังมีพุง
ปลายปี 2012 คุณแฟนก็ขอแต่งงาน อะคึ หลงกลเราแล้วล่ะเซ่
แต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องลดหุ่นหรืออะไรเพื่องานแต่งงานหรอกนะ
ก็ออกกำลังกายตามปกติ คิดเอาเองว่า ทำแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็ผอมเองนะ
จะเห็นว่าผอมลงหมดทุกส่วน จนคนอื่นทักว่าจะผอมเกินไปแล้วหรือเปล่า
แต่พุงก็ยังยืนยันจะเท่าเดิมไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ลงมาก็นิดเดียว
ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นส่วนที่ลดยากมากนะ สำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะเราด้วย
ที่กรรมพันธุ์เป็นคนพุงใหญ่ทั้งบ้าน
เทรนเนอร์ก็แนะนำว่า ทำท่าแพลงค์สิ เล่น weight training สิ
ช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนท้องแข็งแรงขึ้น จะได้ช่วยดึงพุงไปข้างหลัง
เพราะว่าเราเบิร์นอยู่แล้วทุกวันแล้วมันเบิร์นพุงน้อยมากถ้าเทียบกับส่วนอื่น
ส่วนอื่นจะผอมเกินไปอยู่แล้ว
ก็เลยเริ่มเล่ม Core flow เล่น Body pump เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
แต่ตอนนั้นยังไม่มีความมุ่งมั่นเรื่องเอว 24 นะ
แค่คิดว่าทำยังไงให้ไม่มีพุงดี พุงก็ลดลงนิดหน่อย ไม่มากอย่างที่คิด
สามสี่เดือนก่อนแต่งงานก็แบบว่า เฮ้ย แต่งตอนนี้เลยได้มะ
รู้สึกว่าหุ่นดีที่สุดในชีวิตแล้ว คงทำมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เดี๋ยวอ้วนขึ้นมาอีกทำไง
หันไปถามคุณแฟน
"ตัวเองว่าเค้าจะหุ่นดีกว่านี้ได้อีกมั้ย เค้ารู้สึกว่ามันสุดแล้วอะ"
แต่คุณแฟนบอกว่า เราจะหุ่นดีกว่านี้ได้อีกแน่นอน
ก็เชื่อเค้านะ ทั้งๆที่คิดไม่ออกเลยว่าจะหุ่นดีกว่านี้อีกได้ไง
สุดท้ายมาอ่านกระทู้ในพันทิปนี่แหละ จำไม่ได้แล้วว่าคุณอะไร
เค้าบอกเคล็ดลับเอว 24 ของเค้าด้วยเครื่องนี้
ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจนะ ว่าเราต้องออกกำลังกายแบบลดเฉพาะส่วนแล้ว
ไม่ใช่ออกกำลังกายแบบลดทั้งตัวเหมือนเมื่อก่อน
เราก็ทำตามเลย เป็นการเพิ่มจากการออกกำลังกายธรรมดา
และก็เลยรู้สึกตัวว่าควรจะเล่นเครื่องหน้าท้องเพิ่มไปเลย
ตอนนี้โปรแกรมออกกำลังกายก็เลยเปลี่ยนไป
เราเพิ่มการออกกำลังกายเป็น 6-7 วันต่อสัปดาห์
คือ สนุกด้วยล่ะ ไม่คิดว่าเป็นภาระในการออกกำลังกาย
ซึ่งแปลว่าบอกคนอื่นได้เลยว่า ออกกำลังกายทุกวัน
วิ่ง 5 กิโล เป็นพื้นฐานเกือบทุกวัน
แล้วก็เล่น weight training ต่อ เน้นเฉพาะเครื่องหน้าท้องดังนี้
บางวันถ้าเบื่อวิ่งก็จะไปปั่น RPM หรือเล่นโยคะ
แต่เนื่องจากชีวิตช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างยุ่งมากๆ
ก็เลยไม่มีเวลาเล่นคลาสตามเวลา ส่วนใหญ่เลยจบที่วิ่ง
เพราะว่าว่างตอนไหนก็ไปฟินเนสตอนนั้น แล้วก็วิ่งเลย สะดวกดี
โปรแกรมออกกำลังกายก็คือ
วิ่ง 5 กิโล + weight training 30 นาที
(จริงๆหลังๆที่วิ่ง 5 กิโลก็ไม่ค่อยเหนื่อยแล้วนะ มีแถมๆไปเรื่อย -_-')
ส่วนเวทก็เล่นตามนี้
เริ่มต้นด้วยเซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
ปัจจุบันเพิ่มเวทอีก 2 กิโล เซตละ 20 จำนวน 3 เซตต่อวัน
แต่สำหรับเราเล่นแล้วก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเอวลด
มาลดที่ตัวนี้ แนะนำเลย
เซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
แล้วก็เล่นตัวนี้ด้วย มาตรฐาน
เซตละ 15 จำนวน 3 เซต ต่อวัน
ส่วนโปรแกรมการกินนั้นไม่งดเหมือนเดิม ตามคอนเซปท์
แต่ทว่า เปลี่ยนเวลาการกิน
คนออกกำลังกายจะรู้เลยว่า การได้กินหลังออกกำลังกายมันฟินมาก
แล้วเราก็ชอบมาก เลิฟสุดๆกับการได้กินหลังออกกำลังกาย
แต่ถ้าเล่นแล้วมากินตอนสามทุ่มทุกวันมันจะใช่ม้ายยยยย
สี่ห้าทุ่มก็นอนแล้วง่า ตรงนี้ก็เป็นจุดที่คิดว่าต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย
เนื่องจากตอนนั้นใกล้จะแต่งงานแล้วด้วยเลยยอมตัดใจว่า
เออ กินก่อนแล้วค่อยไปออกก็ได้ (แอบเสียใจอยู่หลายวัน)
เดี๋ยวแต่งงานเสร็จจะขอกลับมากินหลังออกกำลังกายเหมือนเดิมละกัน
ก็เลยกินข้าวตอนหลังเลิกงาน ประมาณ 6 โมงเย็น
รอเวลาอาหารย่อยสักเล็กน้อยแล้วค่อยไปออกกำลังกาย
ใหม่ๆนี่แทบวิ่งไม่ออก เพราะว่าเราชินกับการวิ่งตัวเบาๆ
แต่พอสักพักก็เริ่มชิน แล้วข้อดีที่ตามมาคือ
เราไม่ต้องกังวลว่า เดี๋ยวจะกินข้าวดึกเกินไป
เลยสามารถเล่นไปได้เรื่อยๆตามแต่ใจอยากจะเล่น
เสร็จแล้วก็อาบน้ำกลับบ้าน นอน ไม่กินอะไรอีกแล้ว
ทรมานอยู่สองสามวันเพราะมันชินที่จะต้องได้กินหลังออกกำลังกาย
แต่ว่าสักพักก็เริ่มชิน และรู้สึกว่าพุงเริ่มหายไปจริงๆด้วย
พอวันไปฟิตติ้งชุดแต่งงาน ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
แต่ตอนที่เค้าวัดเอวแล้วบอกให้ช่างจดว่า 24.5
อารมณ์แบบอยากกรี๊ดตรงนั้นเลย
ใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเท่านั้นเอง ที่เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
และลดเฉพาะพุงอย่างเดียว เนื่องจากหลายคนทักว่า
ถ้าผอมไปกว่านี้จะไม่สวยแล้ว แต่เราอยากให้แค่พุงลงนี่นา
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จุดประสงค์การออกกำลังกายของเรา
และหาวิธีในการออกกำลังกายที่เหมาะสม
(เอาเวลา 2 ปีชั้นคืนมานะ)