หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (19)...ชิดใกล้
ดวงเนตรแวะไปรายงานตัวกับน้าวิวในช่วงค่ำของอีกวัน “เป็นอย่างไรบ้าง ที่เมื่อวานไปสวยไหม”
“สวยมากเลยค่ะ น้าวิวเคยขึ้นไปบ้างหรือเปล่าคะ”
“เคยจ้ะ...ประมาณ สอง สามครั้ง มันจะสวยมากช่วงก่อนฤดูใบไม้ร่วงนั้นแหละ พออากาศเริ่มหนาว ใบไม้ก็เริ่มทิ้งใบ ต่อจากนี้จะเริ่มเย็นขึ้นจน
เข้าฤดูหนาว พอหิมะเริ่มโปรยปราย เวลานั้นจะสวยมากเลยล่ะ”
“วันนี้ไปนอนก่อนไป๊! แล้วค่อยคุยกันพรุ่งนี้...นี่เป็นยาชุดสุดท้าย เดียวอาบน้ำเสร็จแล้วกินก่อนนอนนะ” แม่ทูนหัวกำกับพร้อมส่งแก้วใส่ยาใบ
เล็กให้ ดวงเนตรยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ
“หายไวไวนะ มานี่มาให้น้ากอดหน่อย” ดวงเนตรเข้ามาใกล้น้าวิวโอบเธอพลางคิดถึงน้องสาววัยเดียวกัน
“ไปอาบน้ำและกินยาซะ แล้วเข้านอนไวหน่อย”
“เออ! ลืมบอกว่าพรุ่งนี้สิบโมงเช้า จะแบ่งงานที่ต้องเตรียมสำหรับเทศกาลนานาชาติ (International Festival) เราจะแบ่งว่าใครทำอะไรบ้าง
แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ” เธอขยายความในเรื่องพรุ่งนี้
“แจ้งให้คนอื่นทราบกันแล้วเหรอคะ”
“พี่พลจัดการแล้ว แต่ให้มารวมกันที่นี่ ทีแรกน้าจะใช้ห้องตัวเอง แต่ดูแล้วอาจต้องไปขอห้องโถงของหอพัก พี่น้อยแจ้งผู้จัดการแล้ว”
ดวงเนตรลากลับห้อง อาบน้ำอุ่น เสร็จแล้วไหว้พระ ล้มตัวลงนอน หลับตาลงแต่ใจคิดถึงเตี่ยแม่ และน้อง ๆ กับกลุ่มเพื่อน จดหมายที่เขียนถึงกัน
ถูกเก็บอย่างเรียบร้อยในกล่องสวยที่พี่หนอยซื้อให้ แล้วใบหน้าหล่อของพี่หนอยก็ปรากฏในห้วงแห่งความคิด ครั้งแรกที่พบกันกับพี่หนอย...ดวงเนตร
แค่มองผ่าน ๆ เพราะน้าวิวแนะนำนักศึกษาไทยหลายคนมาก
ช่วงที่เข้ามาอยู่หอโดมิโน ค่อนข้างสับสนไปหมด สุดท้ายก็อยู่รอดมาด้วยดี แถมรังใหม่ของนกน้อยตัวนี้เต็มไปด้วยความรักอันอบอุ่น
ได้ยินจากน้าวิวว่าช่วงที่ดวงเนตรและหนอยพยายามแยกห่างจากกันนั้น พี่หนอยเข้าโรงยิมไปเพาะกายเกือบทุกวัน ถึงว่าตอนที่พี่หนอยกอดดวงเนตร
ไว้เมื่อเย็นนี้ จึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ดวงตาที่หลับพริ้มอยู่กระพริบเบา ๆ รู้สึกเสียววูบที่ใบหู ความคิดค่อยจางหายไปในกลุ่มเมฆหมอกจน
เช้าตรู่ของวันใหม่
ดวงเนตรตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เธอเลือกชุดที่จะใส่ หลังอาบน้ำเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วแกะผ้าโพกผมออก หวีแล้วปล่อยให้มันสยายออก
ก้มตัวเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน ดวงเนตรปิ้งขนมปังไว้สี่แผ่น เตรียมแยมส้มไว้ ถ้วยกาแฟสองใบของใครนะ แล้วเจ้าของถ้วยกาแฟก็เคาะประตู...เป็นจังหวะ
ที่คุ้นหู
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง เมื่อคืนนอนหลับฝันถึงผมบ้างรึเปล่า”
“พี่หนอยมาแหย่เนตรแต่เช้าเลยนะคะ”
“นี่สาวน้อยเมื่อวานยังเป็นไข้อยู่เลย วันนี้ลุกขึ้นมาสระผมแต่เช้าเลยนะ”
“ทำประจำทุกวันเลยชินน่ะค่ะ พี่หนอยเข้ามาสิคะ” ดวงเนตรอมยิ้ม ไม่ว่าเขาจะเซอ ๆ มา ด้วยเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ หรือหล่อ
เนี้ยบแบบวันนี้ด้วยเสื้อยืดโปโลราคาแพงกับกางเกงยีนขายาว เข็มขัดสีน้ำตาลเข้มสวย ก็ดูดีได้ทุกวันนะพี่หนอย
“เนตรรู้ไหม วันนี้แปลก ๆ มองพี่แบบเครื่องสแกนตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย” พี่หนอยออกอาการบ่น
“เปล่าค่ะ มองดูว่าถ้าว่างจะได้ซอยผมให้พี่หนอยน่ะค่ะ”
“มองแบบนี้ผมรู้นะว่าคิดอะไรอยู่”
“บ้า” ดวงเนตรเอ่ย แล้วหันหลังกลับกำลังจะเดินเข้าห้อง หนอยเดินตามมาประชิดด้านหลังแล้วกอดไว้ ดวงเนตรย่อตัวลง วงแขนคลายตัวออก
หมุนกลับ พร้อมกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าหนอย ความจริงเพียงแค่จะเพลาแรงเอาระยะใกล้ ๆ แต่โอ้พระเจ้า! มันเลยไปกระแทกเขาค่อนข้างแรงตรงริมฝี
ปากบนและปลายจมูก
“พี่หนอย” ดวงเนตรเรียกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนี้ แล้วรีบเข้าไปประคองพี่หนอยให้นอนลงบนเตียง เปิดตู้เย็นหยิบถุงเจล
เย็นประคบให้ที่บริเวณแผล
พี่น้อยกับน้าวิวเดินเข้ามา
“เฮ้ย! ไอ้หนอยเป็นลมเหรอเนตร” น้าวิวถามขึ้น แต่พอเข้าใกล้เห็นผ้าเช็ดหน้าที่ดวงเนตรใช้เช็ดมีคราบเลือดเปรอะอยู่
“เนตรเกิดอะไรเนี่ย”
“คนใจร้ายทำร้ายร่างกายผมครับ” หนอยฟ้อง พี่น้อยตกใจ
“ตายแล้ว”
“พี่น้อยผมยังไม่ตายครับ”
“แล้วเป็นอะไรมานอนแผ่หลาบนนี้ล่ะคะ” พี่น้อยถามต่อ ดวงเนตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบด้วยเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้
“เนตรอย่าร้องไห้นะครับพี่ไม่เจ็บแล้ว”
“อุ๊ย! อะไรจะหายเร็วขนาดนั้น” พี่น้อยเอ่ยแล้วยิ้มตาหยี
“สมน้ำหน้า มันต้องโดนหนักกว่านี้ อย่านี้ต้องเจอข้อหาลวนลาม”
“น้าวิวคะ” เสียงอ้อนของดวงเนตรใช้ได้ผลเสมอ
“จ้า! ขอน้าดูแผลหน่อย” เธอแกล้งจิ้มนิ้วลงไปที่แผล
“โอ๊ย! เจ็บครับ...น้าวิวแกล้งผม เนตรช่วยผมด้วยสิครับ” พี่หนอยขยับหนีนิ้วน้าวิว เอาหัวขึ้นมาหนุนตักดวงเนตร
“มารยานักนะเราน่ะ”
“เอาละ พอแล้วเลิกสำออยได้แล้ว มันแค่เขียว ไม่บวมหรอก...ลุกขึ้นมากินกาแฟกับขนมปังกันดีกว่า” หนอยลุกขึ้นมานั่งห้อยเท้า
“ลงมาเลยไอ้ตี๋ มา ๆ รีบ ๆ กิน แล้วจะได้ไปเตรียมงาน” ทุกคนนั่งล้อมวงกันจิบกาแฟอย่างอร่อย ยกเว้น!หนอยที่บ่นเจ็บปาก ดวงเนตรทาแยม
ลงบนขนมปังแล้วหันเป็นชิ้นพอคำให้หนอย
“ขอบคุณครับ” หนอยมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“ตาคือหน้าต่างเหมือนดั่งดวงใจ เธอรู้สึกเช่นไร บอกได้จากดวงตาเธอ” เสียงหนอยคล้ายคำกลอนเอ่ยขึ้น
“อ้วก” น้าวิวใช้เสียงแหย่หนอย คนถูกแหย่หัวเราะ
“พี่น้อยรู้แล้วน้องเนตรจะเอาคืนจากที่พี่หนอยที่แกล้งเธอเมื่อคืน แต่มันแรงไปหน่อยเนอะ” หนอยยังรู้สึกระบมที่แผล แต่แค่นี้ ”จิ๊บ ๆ ”
เพราะตอนฝึกยูโดบ่อยครั้งที่เจ็บมากกว่านี้ หนอยเพียงสงสัยว่า สาวน้อยไปได้วิชามาจากไหน และเป็นมากน้อยเพียงใด เขาถามดวงเนตรตรง ๆ
"เนตรฝึกมาหรือครับเล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ” เขาเข้าใจรวมเอาคำว่าเรามาเป็นตัวบังคับเล็ก ๆ ให้ดวงเนตรไขความกระจ่าง แล้วเนตรก็เล่าให้ฟังตั้งแต่เตี่ยส่งให้ไปฝึกกับลุงประภพอย่างละเอียด แต่ละคนออกอาการต่างกัน หนอยอยากรู้ว่าดวงเนตรฝึกถึงขั้นดูแลตัวเองได้มากน้อยเพียงไร จะได้
ไม่ต้องห่วงมาก
น้าวิวถามเพิ่มในรายละเอียด “เตี่ยต้องเป็นห่วง และหวงมากเลยนะนี่”
“ไอ้ตี๋จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะ”
“เปลี่ยนยังไงครับ” หนอยแกล้งพาซื่อ
“แกแน่ใจนะว่าจะรับมือดวงเนตรกับรับบาทาลุงเขาไหว” น้าวิวขู่
“น้าวิวละก็”
“อ้าว! ขอโทษลืมไปว่าอยู่ในห้องเรียนคุณครูน้อย” แล้วทุกคนก็ขำมุกเล็ก ๆ ของน้านิด
“ดวงเนตรมีอะไรน่าสนใจมากเลยนะคะ อย่างฝึกมวยอย่างนี้ ถ้าหนูฝึกรำไทย พี่น้อยจะไม่งง! เลย ถึงตอนนี้ก็ยังงง! อยู่เลย โอ๊ย! ปวดหัวค่ะ”
“น้าว่าผู้หญิงที่ต้องดูแลตัวเอง การฝึกศิลปะป้องกันตัวไว้ดีที่สุด”
“แต่ทำไมต้องเป็นมวยล่ะคะ” พี่น้อยถามแบบยังไม่หายมึน ...มึนดีจัง
“เพราะเตี่ยบอกว่าตัวเนตรสูง กระดูกใหญ่ โครงสร้างให้ แล้วที่เรียนไม่ได้ไปต่อยตีกับใคร ส่วนวิชาป้องกันตัวที่ใช้อาวุธถึงเวลาจวนตัวก็ไม่รู้จะ
หาที่ไหนค่ะ” ดวงเนตรตอบ
“เออ! จริงค่ะ ถ้าพกเป็นอาวุธก็ไม่สะดวก” พี่น้อยเห็นด้วย
“ร่างกายเราเป็นอาวุธที่ไม่ต้องมีใบพกพา และมีประโยชน์เอามาใช้เมื่อไรก็ได้” หนอยตอบ
“ตั้งแต่รู้จักไอ้ตี๋มานี้ เพิ่งเห็นฉลาดวันนี้นี่เอง” น้าวิวชม
“ถ้าผมโง่ดวงเนตรเขาไม่รักผมหรอกครับ”
“อ้าว! เนตรบอกรักพี่หนอยตั้งแต่เมื่อไรคะ” เธอเอ่ยขึ้นน้าวิวได้ทีรีบเสริม
“แกมันขี้ตู่นี่นา” หนอยหันมามองตรงเข้าใปในดวงตาสวย ดวงเนตรหลบตาวูบ
“ไม่ต้องหลบตาเลยมองดี ๆ ครับ...ผมอยู่นี่” หนอยเชิดปลายคางดวงเนตรขึ้น
“น้าวิวคะ”
“ไม่ต้องเลยถ้าไม่มอง...ผมจูบอวดพี่ ๆ เขาเดี๋ยวนี้แหละ” คำขู่ได้ผลดวงเนตรจำต้องจ้องดวงตาเจ้าเล่ห์ของหนอย หน้าเธอแดงออกชมพูเพราะ
ความอาย ตาสองคู่จ้องกันอยู่นาน เขามองลึกเข้าไปเห็นทั้งดวงตาสวยและดวงใจที่บอกว่ารักหนอยอย่างเปี่ยมล้น
“เอาหล่ะฉันรู้แล้ว ไม่ต้องมานั่งมองตาหวานใส่กันกลางวง น้าวิวเคยไปแอบดูแกที่หน้าบ้านบ่อย ๆ แกเลื่อนม้าโยกมาจนชิดฝั่งซ้ายสุด นั่งมองหน้าต่างดวงเนตรทุกคืน เพียงแค่เห็นหน้าต่างก็ยังดี อย่างนี้น้าก็ยอมแพ้แล้ว” เสียงลดต่ำลงเพราะความรู้สึกสงสารทั้งคู่ยังมีอยู่
หน้าหนอยออกอาการเขิน เมื่อถูกเปิดเผยความจริง “ตายละหนอยอายเป็นเหรอคะ” พี่น้อยแหย่
“พอดีกว่า เดี๋ยวเรามีประชุมที่ห้องโถงข้างล่างนะ” เจ๊ใหญ่ติดเบรก
“อ้าว! แยกย้ายไปเตรียมตัวกันแล้วลงไปเจอกันข้างล่าง”
“หนอยไปห้องน้า ไปทายาและกินยาแก้ปวดกันไว้สักเม็ด” ดวงเนตรยิ้มให้ทุกคน และยังคิดว่า...น้าวิวถึงจะดูไม่ใยดีกับหนอย แต่ความจริงก็
ห่วงเราสองคนมาก เธอนึกถึงน้าวิวด้วยความรักใคร่
นักศึกษาไทยเริ่มทยอยกันมา และทักทายกันตามภาษาคนไทย นี่แหละเอกลักษณ์ของเรา เจอกันก็ทักทายถามไถ่เป็นธรรมดา
เสียงพี่ศิริดังขึ้น “ชา กาแฟ ขนมปังอยู่ทางนี้นะคะ เชิญทุกคนตามสบาย เรายังต้องรออีกครู่กว่าจะถึงเวลานัด ใครใคร่ทานก็ทาน ใครใคร่คุย ๆ
แต่เบาหน่อยนะคะเกรงใจนักศึกษาชาติอื่นเขาบ้าง” เมื่อได้ฤกษ์ตามเวลาแล้ว น้าวิวก็เริ่มพูดถึงงานเทศกาลนักศึกษานานาชาติ ...International
Festival งานจัดบูธแสดงความเป็นอัตลักษณ์ของชาติใครชาติมัน ดวงเนตรมองไปด้านหน้าเวที มีของที่พวกเราเอาติดตัวมาจากเมืองไทยกองใหญ่
เทปใสติดป้ายชื่อไว้ เมื่อมีของครบแล้วทางพี่ศิริจะลงรายการไว้ ของจากพี่ ๆ และเพื่อนจะนำเอามาตกแต่งบูธ เมื่อเสร็จงานก็คืนเจ้าของไปตามสมุด
บันทึกอย่างถูกต้อง
“เราต้องการอาสาสมัครจัดบูธสักห้าคนนะคะ ขอพวกที่มีฝีมือได้ยิ่งดี” น้าวิวเน้น เธอพูดในห้องดวงเนตรว่าแต่งบูธ...มากคนมากความ
ออกมาเละอีกต่างหาก
“ใครอาสาเชิญลงชื่อที่พี่ศิริได้เลย” งานจัดขึ้นสัปดาห์ที่สองของภาคเรียน เป็นงานที่เราต้องการความร่วมมือ เพื่อแสดงให้พวกเขาได้เห็นความงดงามของเครื่องใช้ การแต่งกาย และประเพณีต่างของชาติไทย เอาให้ออกมาสวยสุด ๆ เลยนะคะ”
“ขออาสาสมัครมาทำหน้าที่เฝ้าบูธ และตอบคำถามของคนมาเยี่ยมชม งานจัดขึ้นสี่วัน ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น วันหนึ่งต้องการคนสอง
ชุด ชุดแรกดูแลตั้งแต่แปดโมงถึงบ่าย ชุดสองเริ่มตั้งแต่เที่ยงถึงห้าโมงเย็น สวมใส่ชุดไทยนะคะ ผู้ชายห้ามนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวมา” ทุกคนได้เฮ...เพราะ
มันเคยเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วที่นักศึกษาไทยท่านนั้นใส่แต่ผ้าขาวม้ามากับเสื้อยืดคอห่าน
“งานนี้จะเปิดให้ทั้งนักศึกษาและประชาชนชาวคาร์บอนเดลได้เข้าชม เพราะฉะนั้นบูธของไทยต้องอลังการ เล็ก ๆ น้านิดไม่ทำ จะทำต้องทำ
ให้ใหญ่เลย” แล้วเสียงตอบรับคำขอจากน้านิดก็ดังลั่นห้องโถง น้าวิวเสียงดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์
‘เสียงดังฟังชัด อย่างนี้ต้องเอาไปปราศรัยปลุกระดม’
หนอยคิด เขาเดินมาหาดวงเนตร แตะไหล่เบาๆ
“ไปลงชื่อเฝ้าบูธกัน” พี่หนอยชวน พี่น้อยใช้ศอกเบา ๆ ที่เอวดวงเนตร
“ไปกับหนอยเลยเฝ้าบูธสนุกนะจ๊ะ”
ดวงเนตรลุกตามพี่หนอยไป
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (19) ใกล้ชิด
ดวงเนตรแวะไปรายงานตัวกับน้าวิวในช่วงค่ำของอีกวัน “เป็นอย่างไรบ้าง ที่เมื่อวานไปสวยไหม”
“สวยมากเลยค่ะ น้าวิวเคยขึ้นไปบ้างหรือเปล่าคะ”
“เคยจ้ะ...ประมาณ สอง สามครั้ง มันจะสวยมากช่วงก่อนฤดูใบไม้ร่วงนั้นแหละ พออากาศเริ่มหนาว ใบไม้ก็เริ่มทิ้งใบ ต่อจากนี้จะเริ่มเย็นขึ้นจน
เข้าฤดูหนาว พอหิมะเริ่มโปรยปราย เวลานั้นจะสวยมากเลยล่ะ”
“วันนี้ไปนอนก่อนไป๊! แล้วค่อยคุยกันพรุ่งนี้...นี่เป็นยาชุดสุดท้าย เดียวอาบน้ำเสร็จแล้วกินก่อนนอนนะ” แม่ทูนหัวกำกับพร้อมส่งแก้วใส่ยาใบ
เล็กให้ ดวงเนตรยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณ
“หายไวไวนะ มานี่มาให้น้ากอดหน่อย” ดวงเนตรเข้ามาใกล้น้าวิวโอบเธอพลางคิดถึงน้องสาววัยเดียวกัน
“ไปอาบน้ำและกินยาซะ แล้วเข้านอนไวหน่อย”
“เออ! ลืมบอกว่าพรุ่งนี้สิบโมงเช้า จะแบ่งงานที่ต้องเตรียมสำหรับเทศกาลนานาชาติ (International Festival) เราจะแบ่งว่าใครทำอะไรบ้าง
แบ่งเป็นกลุ่ม ๆ ” เธอขยายความในเรื่องพรุ่งนี้
“แจ้งให้คนอื่นทราบกันแล้วเหรอคะ”
“พี่พลจัดการแล้ว แต่ให้มารวมกันที่นี่ ทีแรกน้าจะใช้ห้องตัวเอง แต่ดูแล้วอาจต้องไปขอห้องโถงของหอพัก พี่น้อยแจ้งผู้จัดการแล้ว”
ดวงเนตรลากลับห้อง อาบน้ำอุ่น เสร็จแล้วไหว้พระ ล้มตัวลงนอน หลับตาลงแต่ใจคิดถึงเตี่ยแม่ และน้อง ๆ กับกลุ่มเพื่อน จดหมายที่เขียนถึงกัน
ถูกเก็บอย่างเรียบร้อยในกล่องสวยที่พี่หนอยซื้อให้ แล้วใบหน้าหล่อของพี่หนอยก็ปรากฏในห้วงแห่งความคิด ครั้งแรกที่พบกันกับพี่หนอย...ดวงเนตร
แค่มองผ่าน ๆ เพราะน้าวิวแนะนำนักศึกษาไทยหลายคนมาก
ช่วงที่เข้ามาอยู่หอโดมิโน ค่อนข้างสับสนไปหมด สุดท้ายก็อยู่รอดมาด้วยดี แถมรังใหม่ของนกน้อยตัวนี้เต็มไปด้วยความรักอันอบอุ่น
ได้ยินจากน้าวิวว่าช่วงที่ดวงเนตรและหนอยพยายามแยกห่างจากกันนั้น พี่หนอยเข้าโรงยิมไปเพาะกายเกือบทุกวัน ถึงว่าตอนที่พี่หนอยกอดดวงเนตร
ไว้เมื่อเย็นนี้ จึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรง ดวงตาที่หลับพริ้มอยู่กระพริบเบา ๆ รู้สึกเสียววูบที่ใบหู ความคิดค่อยจางหายไปในกลุ่มเมฆหมอกจน
เช้าตรู่ของวันใหม่
ดวงเนตรตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เธอเลือกชุดที่จะใส่ หลังอาบน้ำเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยแล้วแกะผ้าโพกผมออก หวีแล้วปล่อยให้มันสยายออก
ก้มตัวเสียบปลั๊กกาน้ำร้อน ดวงเนตรปิ้งขนมปังไว้สี่แผ่น เตรียมแยมส้มไว้ ถ้วยกาแฟสองใบของใครนะ แล้วเจ้าของถ้วยกาแฟก็เคาะประตู...เป็นจังหวะ
ที่คุ้นหู
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณผู้หญิง เมื่อคืนนอนหลับฝันถึงผมบ้างรึเปล่า”
“พี่หนอยมาแหย่เนตรแต่เช้าเลยนะคะ”
“นี่สาวน้อยเมื่อวานยังเป็นไข้อยู่เลย วันนี้ลุกขึ้นมาสระผมแต่เช้าเลยนะ”
“ทำประจำทุกวันเลยชินน่ะค่ะ พี่หนอยเข้ามาสิคะ” ดวงเนตรอมยิ้ม ไม่ว่าเขาจะเซอ ๆ มา ด้วยเสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบ หรือหล่อ
เนี้ยบแบบวันนี้ด้วยเสื้อยืดโปโลราคาแพงกับกางเกงยีนขายาว เข็มขัดสีน้ำตาลเข้มสวย ก็ดูดีได้ทุกวันนะพี่หนอย
“เนตรรู้ไหม วันนี้แปลก ๆ มองพี่แบบเครื่องสแกนตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย” พี่หนอยออกอาการบ่น
“เปล่าค่ะ มองดูว่าถ้าว่างจะได้ซอยผมให้พี่หนอยน่ะค่ะ”
“มองแบบนี้ผมรู้นะว่าคิดอะไรอยู่”
“บ้า” ดวงเนตรเอ่ย แล้วหันหลังกลับกำลังจะเดินเข้าห้อง หนอยเดินตามมาประชิดด้านหลังแล้วกอดไว้ ดวงเนตรย่อตัวลง วงแขนคลายตัวออก
หมุนกลับ พร้อมกระทุ้งศอกเข้าที่หน้าหนอย ความจริงเพียงแค่จะเพลาแรงเอาระยะใกล้ ๆ แต่โอ้พระเจ้า! มันเลยไปกระแทกเขาค่อนข้างแรงตรงริมฝี
ปากบนและปลายจมูก
“พี่หนอย” ดวงเนตรเรียกด้วยความตกใจ ไม่คิดว่ามันจะแรงขนาดนี้ แล้วรีบเข้าไปประคองพี่หนอยให้นอนลงบนเตียง เปิดตู้เย็นหยิบถุงเจล
เย็นประคบให้ที่บริเวณแผล
พี่น้อยกับน้าวิวเดินเข้ามา
“เฮ้ย! ไอ้หนอยเป็นลมเหรอเนตร” น้าวิวถามขึ้น แต่พอเข้าใกล้เห็นผ้าเช็ดหน้าที่ดวงเนตรใช้เช็ดมีคราบเลือดเปรอะอยู่
“เนตรเกิดอะไรเนี่ย”
“คนใจร้ายทำร้ายร่างกายผมครับ” หนอยฟ้อง พี่น้อยตกใจ
“ตายแล้ว”
“พี่น้อยผมยังไม่ตายครับ”
“แล้วเป็นอะไรมานอนแผ่หลาบนนี้ล่ะคะ” พี่น้อยถามต่อ ดวงเนตรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบด้วยเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้
“เนตรอย่าร้องไห้นะครับพี่ไม่เจ็บแล้ว”
“อุ๊ย! อะไรจะหายเร็วขนาดนั้น” พี่น้อยเอ่ยแล้วยิ้มตาหยี
“สมน้ำหน้า มันต้องโดนหนักกว่านี้ อย่านี้ต้องเจอข้อหาลวนลาม”
“น้าวิวคะ” เสียงอ้อนของดวงเนตรใช้ได้ผลเสมอ
“จ้า! ขอน้าดูแผลหน่อย” เธอแกล้งจิ้มนิ้วลงไปที่แผล
“โอ๊ย! เจ็บครับ...น้าวิวแกล้งผม เนตรช่วยผมด้วยสิครับ” พี่หนอยขยับหนีนิ้วน้าวิว เอาหัวขึ้นมาหนุนตักดวงเนตร
“มารยานักนะเราน่ะ”
“เอาละ พอแล้วเลิกสำออยได้แล้ว มันแค่เขียว ไม่บวมหรอก...ลุกขึ้นมากินกาแฟกับขนมปังกันดีกว่า” หนอยลุกขึ้นมานั่งห้อยเท้า
“ลงมาเลยไอ้ตี๋ มา ๆ รีบ ๆ กิน แล้วจะได้ไปเตรียมงาน” ทุกคนนั่งล้อมวงกันจิบกาแฟอย่างอร่อย ยกเว้น!หนอยที่บ่นเจ็บปาก ดวงเนตรทาแยม
ลงบนขนมปังแล้วหันเป็นชิ้นพอคำให้หนอย
“ขอบคุณครับ” หนอยมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“ตาคือหน้าต่างเหมือนดั่งดวงใจ เธอรู้สึกเช่นไร บอกได้จากดวงตาเธอ” เสียงหนอยคล้ายคำกลอนเอ่ยขึ้น
“อ้วก” น้าวิวใช้เสียงแหย่หนอย คนถูกแหย่หัวเราะ
“พี่น้อยรู้แล้วน้องเนตรจะเอาคืนจากที่พี่หนอยที่แกล้งเธอเมื่อคืน แต่มันแรงไปหน่อยเนอะ” หนอยยังรู้สึกระบมที่แผล แต่แค่นี้ ”จิ๊บ ๆ ”
เพราะตอนฝึกยูโดบ่อยครั้งที่เจ็บมากกว่านี้ หนอยเพียงสงสัยว่า สาวน้อยไปได้วิชามาจากไหน และเป็นมากน้อยเพียงใด เขาถามดวงเนตรตรง ๆ
"เนตรฝึกมาหรือครับเล่าให้พวกเราฟังบ้างสิ” เขาเข้าใจรวมเอาคำว่าเรามาเป็นตัวบังคับเล็ก ๆ ให้ดวงเนตรไขความกระจ่าง แล้วเนตรก็เล่าให้ฟังตั้งแต่เตี่ยส่งให้ไปฝึกกับลุงประภพอย่างละเอียด แต่ละคนออกอาการต่างกัน หนอยอยากรู้ว่าดวงเนตรฝึกถึงขั้นดูแลตัวเองได้มากน้อยเพียงไร จะได้
ไม่ต้องห่วงมาก
น้าวิวถามเพิ่มในรายละเอียด “เตี่ยต้องเป็นห่วง และหวงมากเลยนะนี่”
“ไอ้ตี๋จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะ”
“เปลี่ยนยังไงครับ” หนอยแกล้งพาซื่อ
“แกแน่ใจนะว่าจะรับมือดวงเนตรกับรับบาทาลุงเขาไหว” น้าวิวขู่
“น้าวิวละก็”
“อ้าว! ขอโทษลืมไปว่าอยู่ในห้องเรียนคุณครูน้อย” แล้วทุกคนก็ขำมุกเล็ก ๆ ของน้านิด
“ดวงเนตรมีอะไรน่าสนใจมากเลยนะคะ อย่างฝึกมวยอย่างนี้ ถ้าหนูฝึกรำไทย พี่น้อยจะไม่งง! เลย ถึงตอนนี้ก็ยังงง! อยู่เลย โอ๊ย! ปวดหัวค่ะ”
“น้าว่าผู้หญิงที่ต้องดูแลตัวเอง การฝึกศิลปะป้องกันตัวไว้ดีที่สุด”
“แต่ทำไมต้องเป็นมวยล่ะคะ” พี่น้อยถามแบบยังไม่หายมึน ...มึนดีจัง
“เพราะเตี่ยบอกว่าตัวเนตรสูง กระดูกใหญ่ โครงสร้างให้ แล้วที่เรียนไม่ได้ไปต่อยตีกับใคร ส่วนวิชาป้องกันตัวที่ใช้อาวุธถึงเวลาจวนตัวก็ไม่รู้จะ
หาที่ไหนค่ะ” ดวงเนตรตอบ
“เออ! จริงค่ะ ถ้าพกเป็นอาวุธก็ไม่สะดวก” พี่น้อยเห็นด้วย
“ร่างกายเราเป็นอาวุธที่ไม่ต้องมีใบพกพา และมีประโยชน์เอามาใช้เมื่อไรก็ได้” หนอยตอบ
“ตั้งแต่รู้จักไอ้ตี๋มานี้ เพิ่งเห็นฉลาดวันนี้นี่เอง” น้าวิวชม
“ถ้าผมโง่ดวงเนตรเขาไม่รักผมหรอกครับ”
“อ้าว! เนตรบอกรักพี่หนอยตั้งแต่เมื่อไรคะ” เธอเอ่ยขึ้นน้าวิวได้ทีรีบเสริม
“แกมันขี้ตู่นี่นา” หนอยหันมามองตรงเข้าใปในดวงตาสวย ดวงเนตรหลบตาวูบ
“ไม่ต้องหลบตาเลยมองดี ๆ ครับ...ผมอยู่นี่” หนอยเชิดปลายคางดวงเนตรขึ้น
“น้าวิวคะ”
“ไม่ต้องเลยถ้าไม่มอง...ผมจูบอวดพี่ ๆ เขาเดี๋ยวนี้แหละ” คำขู่ได้ผลดวงเนตรจำต้องจ้องดวงตาเจ้าเล่ห์ของหนอย หน้าเธอแดงออกชมพูเพราะ
ความอาย ตาสองคู่จ้องกันอยู่นาน เขามองลึกเข้าไปเห็นทั้งดวงตาสวยและดวงใจที่บอกว่ารักหนอยอย่างเปี่ยมล้น
“เอาหล่ะฉันรู้แล้ว ไม่ต้องมานั่งมองตาหวานใส่กันกลางวง น้าวิวเคยไปแอบดูแกที่หน้าบ้านบ่อย ๆ แกเลื่อนม้าโยกมาจนชิดฝั่งซ้ายสุด นั่งมองหน้าต่างดวงเนตรทุกคืน เพียงแค่เห็นหน้าต่างก็ยังดี อย่างนี้น้าก็ยอมแพ้แล้ว” เสียงลดต่ำลงเพราะความรู้สึกสงสารทั้งคู่ยังมีอยู่
หน้าหนอยออกอาการเขิน เมื่อถูกเปิดเผยความจริง “ตายละหนอยอายเป็นเหรอคะ” พี่น้อยแหย่
“พอดีกว่า เดี๋ยวเรามีประชุมที่ห้องโถงข้างล่างนะ” เจ๊ใหญ่ติดเบรก
“อ้าว! แยกย้ายไปเตรียมตัวกันแล้วลงไปเจอกันข้างล่าง”
“หนอยไปห้องน้า ไปทายาและกินยาแก้ปวดกันไว้สักเม็ด” ดวงเนตรยิ้มให้ทุกคน และยังคิดว่า...น้าวิวถึงจะดูไม่ใยดีกับหนอย แต่ความจริงก็
ห่วงเราสองคนมาก เธอนึกถึงน้าวิวด้วยความรักใคร่
นักศึกษาไทยเริ่มทยอยกันมา และทักทายกันตามภาษาคนไทย นี่แหละเอกลักษณ์ของเรา เจอกันก็ทักทายถามไถ่เป็นธรรมดา
เสียงพี่ศิริดังขึ้น “ชา กาแฟ ขนมปังอยู่ทางนี้นะคะ เชิญทุกคนตามสบาย เรายังต้องรออีกครู่กว่าจะถึงเวลานัด ใครใคร่ทานก็ทาน ใครใคร่คุย ๆ
แต่เบาหน่อยนะคะเกรงใจนักศึกษาชาติอื่นเขาบ้าง” เมื่อได้ฤกษ์ตามเวลาแล้ว น้าวิวก็เริ่มพูดถึงงานเทศกาลนักศึกษานานาชาติ ...International
Festival งานจัดบูธแสดงความเป็นอัตลักษณ์ของชาติใครชาติมัน ดวงเนตรมองไปด้านหน้าเวที มีของที่พวกเราเอาติดตัวมาจากเมืองไทยกองใหญ่
เทปใสติดป้ายชื่อไว้ เมื่อมีของครบแล้วทางพี่ศิริจะลงรายการไว้ ของจากพี่ ๆ และเพื่อนจะนำเอามาตกแต่งบูธ เมื่อเสร็จงานก็คืนเจ้าของไปตามสมุด
บันทึกอย่างถูกต้อง
“เราต้องการอาสาสมัครจัดบูธสักห้าคนนะคะ ขอพวกที่มีฝีมือได้ยิ่งดี” น้าวิวเน้น เธอพูดในห้องดวงเนตรว่าแต่งบูธ...มากคนมากความ
ออกมาเละอีกต่างหาก
“ใครอาสาเชิญลงชื่อที่พี่ศิริได้เลย” งานจัดขึ้นสัปดาห์ที่สองของภาคเรียน เป็นงานที่เราต้องการความร่วมมือ เพื่อแสดงให้พวกเขาได้เห็นความงดงามของเครื่องใช้ การแต่งกาย และประเพณีต่างของชาติไทย เอาให้ออกมาสวยสุด ๆ เลยนะคะ”
“ขออาสาสมัครมาทำหน้าที่เฝ้าบูธ และตอบคำถามของคนมาเยี่ยมชม งานจัดขึ้นสี่วัน ตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น วันหนึ่งต้องการคนสอง
ชุด ชุดแรกดูแลตั้งแต่แปดโมงถึงบ่าย ชุดสองเริ่มตั้งแต่เที่ยงถึงห้าโมงเย็น สวมใส่ชุดไทยนะคะ ผู้ชายห้ามนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวมา” ทุกคนได้เฮ...เพราะ
มันเคยเกิดขึ้นมาหลายปีแล้วที่นักศึกษาไทยท่านนั้นใส่แต่ผ้าขาวม้ามากับเสื้อยืดคอห่าน
“งานนี้จะเปิดให้ทั้งนักศึกษาและประชาชนชาวคาร์บอนเดลได้เข้าชม เพราะฉะนั้นบูธของไทยต้องอลังการ เล็ก ๆ น้านิดไม่ทำ จะทำต้องทำ
ให้ใหญ่เลย” แล้วเสียงตอบรับคำขอจากน้านิดก็ดังลั่นห้องโถง น้าวิวเสียงดังโดยไม่ต้องใช้ไมค์ ‘เสียงดังฟังชัด อย่างนี้ต้องเอาไปปราศรัยปลุกระดม’
หนอยคิด เขาเดินมาหาดวงเนตร แตะไหล่เบาๆ
“ไปลงชื่อเฝ้าบูธกัน” พี่หนอยชวน พี่น้อยใช้ศอกเบา ๆ ที่เอวดวงเนตร
“ไปกับหนอยเลยเฝ้าบูธสนุกนะจ๊ะ” ดวงเนตรลุกตามพี่หนอยไป