ประสบการณ์ ลดน้ำหนัก 60 กิโลฯ ตั้งแต่ม.ต้น-จบจากมหาวิทยาลัย (ฉบับ รวม)


***เรียนผู้อ่านทุกท่าน

เนื่องจากเราก็เป็นปตุชนคนธรรมดาหากมีการใช้คำที่วกไปวนมาหรือพิมพ์ผิดไป ขอให้ติเตียนกันอย่างสุภาพ หรือมีภาพที่ไม่ชัดเจนหรือเห็นผลตามที่ได้กล่าวไป กราบขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับเพราะว่าชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าจะมาเล่าประสบการณ์ลดน้ำหนักให้ใครๆได้อ่าน***

*****เรื่องทั้งหมดที่เล่าถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์น่าจะมีอะไรที่ไม่ดีไม่ถูกไม่ควรเยอะอย่าเอาไปเป็นเยี่ยงเป็นอย่างนะ*****

หมายเหตุ  -ที่กล่าวไปว่าลดน้ำหนักได้60กิโลนั้นไม่ได้ลดลงมาที่เดียว60กิโลกรัมแต่เป็น น้ำหนักที่มันลดๆขึ้นๆขึ้นๆและก็ลดอีกสิริรวมแล้วประมาณ60กิโลกรัม+- ขอให้เข้าใจตรงกันน้าเค้าอยากพาดหัวให้กระทู้น่าสนใจอ่ะ

ช่วง ม.3-ม.6
------------เริ่ม----------
ม.3(น้ำหนัก98กิโลกรัม) ต้องบอกก่อนเลยว่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกขาก็เบียดกันจนดำเป็นชาโค ไม่เคยสัมผัสกับคำว่าผอมเลย ช่วง ม.3-ม.4 เป็นช่วงที่เริ่มรู้สึกว่าอยากลดน้ำหนักอย่างจริงจังด้วยแรงกระตุ้นจากสิ่งรอบข้างหลายอย่าง เช่น การเห็นไอดอลศิลปินหลายๆคนสวยหล่อกันทั้งนั้น การเดินขึ้นบ้านตัวเองสามชั้นแต่ต้องหยุดพักครึ่งระหว่างทางเพราะเหนื่อยจะตาย และแรงขับที่สำคัญที่สุดเลยคือคำพูดของคนรอบข้างที่บางทีเขาอาจพูดไปโดยไม่คิดอะไรซึ่งมันทำให้เราเสียใจ และใช้สิ่งนี้เป็นแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุดสำหรับเรา




Where is my คอ ยังไงว่าตอนนั้นหายใจอย่างไร(รูปตอน ป.6ขำขำเนอะ)


***แทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย****แม่จะเป็นกังวลมากกว่าจะทำยังไงให้คอหายดำ ทั้งใช้สารส้ม บวบขัดคนแดงก็ไม่หายดำ ใส่ทองเทิงอะไรตามความเชื่อก็ไม่หายดำ น้ำหนักลดเดี๋ยวมันก็หายเองเนอะ***** มาต่อกัน



ช่วง ม.3คิดมาตลอดว่าอุ้ย นน.98 เดี๋ยว100 ค่อยลดเลขสวยๆ แต่มีญาติผู้ใหญ่ท่านนึงเคยกล่าวขณะที่เราลงจากรถว่า อุ้ย!!!พาหมีควายมาด้วยหรอ (มันทำให้สายเลือกของพลังนักรบแห่งจันทราตื่นขึ้น) ยอมรับว่าหัวร้อนมาก แต่พอตั้งสติได้ก็ใช้คำพูดนั้นมาเป็นแรงผลักดัน

*** วิธีลดน้ำหนัก
ด้วยความที่ไม่มีความรู้อะไรมาก และมีความเชื่อว่ายิ่งกินน้อยยิ่งผอม เลยใช้วิธีการ อดอาหารและออกกำลังกาย จำได้ว่าวันนึงกินข้าวไม่ถึงสองทัพพีถ้าตีเป็นแคลอรี่ก็ไม่ถึง 400 แล้วกินน้ำ ตามเยอะ ตกเย็นก็ วิ่งวันละ30นาทีและออกกำลังส่วนอื่นอีก30นาที (ตอนนั้นมีความเชื่อที่ตลกมากคือ ต้องปิดห้องให้หมดอากาศห้ามถ่ายเทมากเพราะห้องจะได้ อบอบ ร้อนๆ จะได้ผอมเร็วๆ ....ดีนะไม่ตายก่อน)

****ระยะเวลาที่ใช้จำไม่ค่อยได้ว่ากี่วันแต่ประมาณเดือนนึงนะ******(ขอโทษด้วยน้าาอาจคลาดเคลื่อนมันนานมากเล้ว)

ผลก็ออกมาเป็นตามภาพ




ช่วงนั้นลดน้ำหนักทุกวัน ชั่งมันทุกวัน จำได้ว่าลดได้วันละ1โลนิดๆทุกวันเนื่องด้วยเป็นคนอ้วนบวกกับการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีมากๆ ทำให้น้ำหนักจาก 98 ลดลงมาอยู่ที่ 86-88

แต่มันก็อยู่กับเราได้ไม่นาน น้ำหนักก็กลับมาเท่าเดิมในช่วง ม.5




น้ำหนักกลับมา96-98 เท่าๆเดิมเพราะเริ่มให้รางวัลตัวเองมื้อนึงด้วยHot potบุฟเฟ่ แล้วก็ลากยาวมาเลยด้วยความคิดว่า(กินอีกวันเดียวไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวลดเอาใหม่)

***วิธีลดน้ำหนัก
-กินข้าววันละ2มื้อ เช้า-กลางวัน ของมันของหวานของทอดงด ถ้าจำไม่ผิดวันนึงไม่เกิน 600 แคลอรี่ เริ่มมีการค้นหาวิธีการออกกำลังกายส่วนต่างๆโดยเฉพาะ ขา เพราะแม่ให้มาเยอะ รากฐานจึงมั่นคงเป็นพิเศษ
-พร้อมออกกำลังกายเดินเร็วบนลู่วิ่ง25 นาที และออกกำลังกายเฉพาะส่วนอีก 25 นาที ทำทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

                                           ******************จนเวลาผ่านพ้นไป4-5เดือน สภาพก็เป็นอย่างที่เห็น******************




ถ่ายรูปกับแม่บ้าง



น้ำหนักสิริรวมที่ลดได้เลยคือ จาก 96-98 เหลือ 69-71 ถ้วน มีการให้รางวัลตัวเองอาทิตย์ละครั้งโดยวันที่เราปล่อยFree กินวันละไม่เกิน 2500 แคลอรี่ (ช่วงนี้เริ่มมีการศึกษาเรื่องจำนวนแคลอรี่มากขึ้น กินอะไรก็เปิดตารางแคลอรี่ดูหมด จนทำให้ติดมาเป็นนิสัยถึงทุกวันนี้ว่า หยิบอะไรเข้าปากก็คิดเป็นตัวเลขคร่าวๆหมด)

****ช่วง ม.6 นี้คิดว่าในที่สุด การที่เดินขาเบียดมาตั้งแต่เด็ก มันก็ได้จบลงซักที ต่อไปนี้ก็ต้องใช้ชีวิตแบบมีสติ ก็บอกกันตัวเองอย่างนั้น แตว่ามันก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด*******

-สรุปข้อดีข้อเสีย-ภาค1
ข้อดี -ผอมลง
-การออกกำลังกายทำให้ผิวหนังไม่ย้วยมากทุกส่วนกระชับ
-มีคนชมว่าเหมือนติดยา อันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ
ข้อเสีย – รู้สึกผิวตลอดเวลา
-นอนยาก นอนไม่หลับ เพราะหิว
-ตื่นมาไม่สดชื่น เพราะหิว
-ใช้ชีวิตประจำวันไม่มีความสุข เพราะหิว 




****แหละนี่คือประสบการณ์ช่วง ม.3-ม.6 มีอัพเกรดร่างเล็กน้อยคือดัดฟัน****


ช่วงมหาวิทยาลัย ปี1-ปี4
------------เริ่ม----------
ต่อจาก ช่วง ม.3-ม.4  เป็นการลดน้ำหนักในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย ที่ลดน้ำหนักอย่างผิดวิธีซึ่งถามว่ามันเห็นผลหรือเปล่ามันเห็นผลชัดมากแต่สิ่งที่ได้มาแลกกับน้ำหนักที่ลดได้ตามใจสั่ง มันไม่คุ้มกันเลย
งั้นขอเริ่มมอยการลดน้ำหนักในช่วงต่อไปกัน (เฟรชชี่ ปี1)…เริ่ม
หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัยก็ลดน้ำหนักมาอย่างต่อเนื่องแต่
วิธีเปลี่ยนไปคือ ใช้วิธีนับแคลอรี่เอาวันนึงจะคุมไม่ให้เกิน1000แคลอรี่ส่วนการออกกำลังกายหรอลืมมมมมมมมมมมมม...ไปได้เลยเนื่องจากงานเริ่มมาปริมาณงาน(คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์)ถามว่ามากไหมก็ไม่แต่ถ้าเทียบกับช่วงมัธยมก็ต้องใช้เวลาปรับตัวทำให้ไม่มีเวลาออกกำลังกาย และมีการให้รางวัลตัวเองสัปดาห์ละ1ครั้งบุฟเฟ่อะไรว่าไปกินแหละ


ผลคือ –เริ่มมีคนทักว่าเหี่ยว
-พลังในการทำงานใช้ชีวิตน้อยลง
-เวลาเป็นสิวรู้สึกว่าหายยากทั้งสิวทั้งรอยดำ
-เสียเงินซื้อเสื้อผ้าเยอะเพราะไม่เคยผอมเลยเห่อ(ไม่เกี่ยวเนอะ)



ทำให้น้ำหนักลงมาแตะต่ำสุดอยู่ที่ 68

ตอนนั้นมีความคิดว่า จะลดไปเรื่อยๆจน เหลือสัก65 แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เราประครองน้ำหนักตัว 68-70 ขึ้นๆลงๆมาได้เกือบปี แต่ด้วยพฏติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปทั้งการทำงานดึก การเดินทางไปเรียน ทำให้ พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน น้ำหนักก็ขึ้นมาอยู่ที่70-71

ปี2 ใสใส ช่วงนี้เรียกได้ว่าผีเข้าผีออก อยากอด ก็อด อยากกิน ก็กิน เพราะต้องใช้พลังอย่างมากในการเรียนทำให้น้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่72-74




พอมองกลับมาตอนนั้นก็ดีนะ ดีทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต



เริ่มใส่กางเกงได้พอดีกำลังสวยงาม

72-74 Kg.

******แต่ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเราได้นาน ส่วนที่ทำให้เปลี่ยนไปเลยคือ การให้รางวัลตัวเอง แล้วเลยเถิด เริ่มกินเกินปริมาณแคลอรี่ที่ควรจะได้รับทุกวัน หลายๆวันติดกันเข้า ก่อนจบปี2 น้ำหนักก็มาแตะที่78 เบาๆ*********



ไหว้หละช่วยหยุดแค่นี้ทีพี่จ๊า

สรุปข้อดี/ข้อเสีย
ข้อดี -เริ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิต มีพลังในการปั่นงานช่วงดึก กินไปด้วยทำงานไปด้วย
-ความเหี่ยวจากช่วงแรกเริ่มหายไปความตึงเริ่มเข้ามาแทนที่
ข้อเสีย-ทำงานดึกก็ต้องกินน้ำหนักขึ้นตามระเบียบ
-เสื้อผ้าที่ซื้อไว้มากมายตอนปี1 เริ่มใส่ไม่ได้กว่าครึ่ง
-เนื่องจากมีการกินที่ระห่ำมากบวกกับวันไหนอยากอด ก็อด ทำให้อารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

ปี3 ..........พีค..........
เคยอ่านข่าววัวหายทั้งคอกมั้ย อย่าไปกล่าวหากระสือ กระหัง เขาเลย ใช่ชั้นกินมันเอง555555 ปีนี้ถือว่าเป็นช่วงที่หนักที่สุดในชีวิตมหาวิทยาลัย ทั้งการเรียนทั้งงาน ใกล้จะจบแล้วอีกปีทุกอย่างถาโถมเข้ามามากเวอร์ ทำให้ใช้ชีวิตเกือบตลอด24 ชม. เกือบทุกวันก็ว่าได้ พอเราต้องใช้สมอง ความสร้างสรรค์ในการทำงาน จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากการกินที่ช่วยทำให้สมองยังคงตื่นตายังคงลืม และมือยังคงลงมือทำงานต่อไป ........ไม่พูดมากให้ภาพมันเล่าเรื่อง-------------------------------ไป-------------------------------




78-79



82-83


85-86

***ถามว่าตอนนั้นมีอินเนอร์ยังไงตอบได้เลยว่ารู้สึกว่าตัวเองหุ่นก็ยังโอเคอยู่เดี๋ยวค่อยลดเอาใช้เวลาแป๊ปเดียวแหละมั้งขึ้นได้ก็ต้องลงได้สิ(ขณะที่คิดก็ยังคงกินมาม่าตอนตี3 ต่อด้วยขนมปังอีกสองก้อนตอนตี4.....นอน 7โมงตื่นเตรียมไปเรียน) เราใช้ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ปลายๆปี2 และตลอดช่วงของปีสาม****
-----คิดมาตลอดว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะเราไม่ได้ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีมาตั้งแต่แรก ทำให้เมื่อมันรั่วแล้วมันเลยปะยาก---
 


-ต่อ-ด้านล่างนะจ๊ะ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่