ผมเขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่ออยากแชร์ประสบการณ์ให้กับคนที่กำลังมีปัญหาสุขภาพจากความอ้วน คนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง คนที่ยอมแพ้ หรือแม้แต่ คนที่กำลังหลอกตัวเองว่า “อ้วนก็ไม่เป็นอะไรหรอก” “ฉันอ้วนก็ไม่ได้หนักหัวใคร” แต่จริงๆแล้ว มันมีโรคภัยที่จะมาพร้อมกับความอ้วนเสมอ แล้วตัวคุณเองนั่นล่ะครับที่จะมีปัญหากับมัน
แล้วไม่ว่าใครจะเป็นยังไงมา ผมอยากบอกว่า ผมเองก็เป็นคนที่อยู่กับความอ้วนมา 36 ปี ถ้าอย่างผมยังลดน้ำหนักลงมาได้ใน 3-6 เดือนแล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะ
ผมเป็นคนที่เรียกได้ว่า "อ้วนตั้งแต่เกิด" คือตอนคลอดออกมา ผมก็หนัก 4.2 กิโลแล้ว จากที่แม่เล่าให้ฟัง ผมเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากกกกกก
พอร้องปุ๊ป! เอาขวดนมยัดปากโป๊ะ!! เงียบปั๊ป!!! แล้วเดี๋ยวก็หลับไปเอง ....
พอร้องอีกก็เปลี่ยนขวด ทำแบบเดิม เดี๋ยวก็เงียบ ...
ด้วยความที่เป็นอาตี๋น้อยลูกคนจีน ที่บ้านสมัยก่อนค่อนข้างมีกินแบบเหลือๆ ก็เลยเป็นเด็กที่กินเก่งมาแต่ไหนแต่ไร แล้วตัวก็อ้วนเอาๆ จนวันนึง แม่กับพี่ๆ มองว่าปล่อยไปมากกว่านี้ไม่ได้ ก็เริ่มจำกัดการกินของผม โดยการห้ามกินข้าวเกิดมื้อละ 1 จาน (ถือเป็นประสบการณ์ไดเอ็ทครั้งแรกตั้งแต่ยังอยู่ประถม555)
ด้วยเพราะยังเด็กถึงโดนจำกัดอาหารแต่อาม่าก็ยังสปอยด์ให้กินนู่นกินนี่ เวลาเจอญาติๆ ก็ยังได้กินแบบจัดเต็ม น้ำหนักก็เลยไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จากสมุดพกตอนม.ต้น แค่ม.1 ผมก็หนัก 72 กิโลแล้ว จากนั้นน้ำหนักก็พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ม.2 ขึ้นเลข 8 และม.3 ขึ้นเลข 9
ตอนนั้นหาเริ่มหาเสื้อผ้าใส่ลำบากละ กางเกงนักเรียนไม่มีไซส์ ต้องสั่งตัดทั้งกางเกงทั้งรองเท้า (โรงเรียนผมใช้รองเท้าหนัง แล้วด้วยความที่เท้าอ้วน ไซส์ 45 ก็คับ) ยังดีหน่อยที่ยุคนั้นแฟชั่นวัยรุ่นมักจะใส่หลวมๆ ทำให้มีชุดลำลองใส่ไม่ยากนัก บางชุดก็ใส่ของผู้ใหญ่ไปเลย ตอนจบม.3 น้ำหนักผมอยู่ที่ประมาณ 95 กิโล
ลดน.น.ครั้งแรกหายไป 10 กก.
ตอนเข้าม.4 ผมเริ่มที่จะลดน้ำหนักเป็นครั้งแรก เพราะกลัวจะสอบรด.ไม่ผ่าน แล้วต้องไปเกณฑ์ทหาร ทำให้เริ่มคุมอาหาร มื้อเช้ามื้อกลางวันทานจานเดียวแล้วตบท้ายด้วยแลตตาซอยกล่องใหญ่ ส่วนมื้อเย็นก็กินบ้างไม่กินบ้างแล้วแต่วัน แต่สุดท้ายก็สอบไม่ผ่านอยู่ดีแหละ เพราะวิ่งไม่ไหว แต่ก็ยังติดสำรองแล้วก็ได้เข้าไปเรียน (ถามจริง มีใครสอบตก รด. แบบที่เป็นคนปกติ ไม่ได้มีส่วนพิการหรืออะไรผิดปกติจนเค้าไม่รับมั้ยคับ?)
ม. 4 เป็นช่วงที่น้ำหนักลงไปเยอะมากๆ ทั้งจากการคุมอาหาร แล้วยังมีการฝึก รด. ที่ต้องเข้าแถวตากแดดในชุดร้อนๆ (ยังจำความรู้สึกที่เหงื่อเต็มตัว ไหลหยดไปตามแผ่นหลัง ไหลไปตามขา แต่ห้ามขยับเขยื้อนได้เป็นอย่างดี) ทำให้น้ำหนักลงไปอยู่ที่ 83 กิโล ถือเป็นครั้งแรกที่ลดน้ำหนักได้ค่อนข้างน่าพอใจ (แม้จะต้องใช้เวลาเยอะและได้ตัวที่ดำเมี่ยมแถมมาด้วย) แล้วก็ประคองมาได้จนจบ ม.6 หนักประมาณ 85 กิโล
โยโย่เด้งกลับภายใน 5 เดือน
พอเข้ามหาลัย ผมก็หยุดเรื่องการคุมอาหาร รด. ก็ไม่ได้เรียน ก็ใช้ชีวิตลั้ลลาตามประสาเฟรชชี่ไป พอรู้ตัวอีกทีตอนเข้าเทอมสอง น้ำหนักดีดขึ้นมาที่ 93 กิโล!!! คือตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ 4-5 เดือน ขึ้นมาได้ยังไง แล้วทบทวนดีๆ ก็ถึงบางอ้อ เพราะผมเล่นกินข้าววันละ 4 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เพราะข้าวที่คณะเป็นอะไรที่ผมชอบมาก สมัยนั้นที่ก๋วยเตี๋ยวข้างนอกจานละ 25 บาท แต่ในคณะ ข้าวราดแกง กับข้าว 2 อย่าง 15 บาท! ทั้งถูก ทั้งอร่อยแบบนี้ผมก็เลยจัดเต็มทุกมื้อ ก็โยโย่สิครับจะเหลือหรอ
แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะ มีแค่แอบตั้งกฏขึ้นมากับตัวเองว่า จะไม่หนักเกิน 95 กิโล เพราะรู้ว่าอ้วนมากไปยังไงก็ไม่ดี สุขภาพมันแย่ แต่เรื่องรูปร่าง ผมพูดตรงๆ ว่าไม่ได้สนใจเลยครับ เพราะผมสูง 182 เป็นคนตัวยักษ์มาตลอด คิดเสมอว่าทำยังไงก็ไม่ดูดี ไม่ผอมหรอก ไม่เห็นต้องไปใส่ใจ แค่ไม่ป่วยก็พอแล้ว จากนั้นผมก็พยายามประคองตัวเองให้ไม่เกิน 95 เรื่อยมา ผมก็ถือว่าตัวเองเก่งเหมือนกันนะ ตั้งแต่อายุ 19 จน 35 ผมเคยน้ำหนักเกิน 95 แค่ 2 ครั้ง แล้วก็อดอาหารจนลดลงไปได้ พอใจแล้วก็กินต่อ ก็กินๆ อดๆ วนไปมาอยู่แบบนี้
สายบุฟเฟ่ห์ ขาประจำห้องก้นครัว
ช่วงที่มีแฟน (ตอนนี้โสด ... งานขายก็มา 555) ผมว่าหลายคนก็คงคล้ายๆ ผมนะ คือจะตระเวนหาของอร่อยกินกัน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะเจอปัญหาเดียวกัน คือแฟนสาวชอบสั่งนู่นนี่มาเยอะแยะ แต่ตัวเองกินนิดเดียว แล้วก็เป็นหน้าที่เราผู้ชายเป็นคนจัดการ แล้วผมเป็นพวกชอบสปอยด์แฟน อยากไปกินอะไรที่ไหน ตามใจหมด! สั่งมาโลด!! กินได้หมด!!! ไม่เคยเหลือ!!!! มันก็ทำให้น้ำหนักไต่ระดับขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
แล้วผมเป็นขาประจำห้องก้นครัวคนนึงเลย วันๆ ไม่ทำอะไร นั่งดูรีวิวกับตามไปกิน (สาเหตุของการที่น้ำหนักทะลุ 95) ยิ่งร้านบุฟเฟ่ห์นี่อยากรู้ร้านไหนเป็นไงมาถามผม เรียกว่าเซียนได้เลย จนตอนนั้นอยากเป็นบล็อกเกอร์สายแ_กให้รู้แล้วรู้รอดเลยถ่ายรูปเก็บไว้เพียบ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถ่ายรูป ขี้เกียจพิมพ์ ขี้เกียจทำรีวิว รูปที่แปะนี่แค่บางส่วนนะครับ
คติประจำใจผมตอนนั้นคือ “กินเพื่ออยู่ เพื่อที่จะกินมื้อถัดไป ....” ฮ่าๆๆๆ
สัญญาณอันตราย ร่างกายเริ่มฟ้อง
อย่างที่รู้กันดี ความอ้วนไม่เคยเป็นมิตรกับสุขภาพที่ดี และแล้วสัญญาณทางร่างกายผมมันก็เริ่มมา
1. ทุกครั้งที่ตรวจสุขภาพกับบริษัท ค่าคอเลสเตอรอล กับ LDL ผมไม่เคยอยู่เกณฑ์ปกติเลย สูงเกินมาตรฐานตลอด (แต่พูดตามตรงเนอะ มันสูงมาตลอดแต่เราก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ ก็เลยไม่ค่อยใส่ใจมันเท่าไหร่)
2. ผลค่าตับ SGPT ของผมเริ่มสูงเกินปกติ ทั้งที่ผมเป็นคนไม่ได้ทานยาอะไร ปีนึงดื่มแอลกอฮฮล์ซัก 3-4 ครั้งและไม่ดื่มหนัก แล้วมันก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆทุกปี ไม่มีทีท่าว่าจะลง
3. ผมบริจาคเลือดไม่ได้ จากที่บริจาคเลือดบ้างนานๆที แล้วก็มีครั้งนึง กาชาดส่งจดหมายมาแจ้งว่าเลือดผมไม่ผ่านการตรวจ “ไวรัสตับอักเสบซี” ให้เข้าไปตรวจซ้ำ แต่เมื่อเข้ารับการตรวจเลือดซ้ำ เค้าบอกว่าผมไม่มีเชื้อ แค่ว่าเลือดมันมีปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบ แล้วเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริจาค เค้าจำเป็นต้องคัดทิ้ง แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ไปเจาะเลือดตรวจซ้ำกับกาชาดโดยเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 3 เดือน
1 ครั้งก็แล้ว ... 2 ครั้งก็แล้ว ... 3 ครั้งก็แล้ว ... ก็ยังไม่ผ่าน โอเคยอม ไม่บริจาคมันแล้ว!
4. หลายๆคนที่เคยไปเที่ยวกับทัวร์ที่เมืองจีนคงรู้ว่าทัวร์จะพาเราไปซื้อของที่ร้านต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือ “ร้านขายสมุนไพรจีน” ซึ่งในร้านก็จะมีหมอจับชีพจรที่จะมาจับชีพจรวินิจฉัยโรคให้ฟรี แล้วก็เสนอสมุนไพรจีนชั้นดีราคาแพงหูฉี่มาให้ ทุกคนในคณะมีโรคกันหมด สมองบ้าง ปอดบ้าง หัวใจบ้าง นู่นนี่ แต่ทำไมของผมมาลงที่ “ตับ” เค้าบอก ชีพจรผมเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วผมอายุ 30 กว่าแต่หน้ายังมีสิวอยู่ สีผิวคล้ำและด่างไม่เป็นสีเดียวกัน เป็นอาการของตับที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียทำงานได้ไม่ดี บลาๆๆ ....เอาจริงๆตอนนั้นผมไม่ได้ฟังละเอียดคับ เพราะคิดในใจอยู่แล้วว่า “เมืองจะขายของคูล่ะสิ” ก็เลยปล่อยผ่านไป และแน่นอน ตังค์ไม่กระเด็นซักหยวนในร้านสมุนไพร (แต่ไปกระเด็นเพราะไอติมหน้าร้านแทน)
จุดเปลี่ยนคือ กลัวไม่ตาย!
บอกตรงๆ ผมเริ่มกังวลกับสุขภาพของตัวเองแล้ว จนได้เจอกับพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันคนนึงที่เคยได้งานได้การดีๆ ถึงที่ Silicon Valley กับสามี เค้ากลับมาไทยแล้วมาจับตลาดทางด้านสุขภาพ แล้ววันนึงได้เจอกัน พี่เค้าเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับงานที่เค้าทำอยู่ แล้วเค้าก็อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับ “ไขมันในช่องท้องVisceral Fat” และ “ไขมันพอกตับ” ผมไม่ขออธิบายเยอะละกันนะครับ ลองหาอ่านรายละเอียดดู แต่สรุปสั้นๆเรื่องไขมันพอกตับไว้ที่ว่า
ไขมันพอกตับ >>> ตับทำงานหนัก >>> ตับอักเสบ >>> ตับแข็ง >>> มะเร็งตับ >>> ตาย!!!
นั่นไง ... ความซวยเริ่มจะมาเยือนละ ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรรอบนี้ผมถึงกังวลมากกว่าที่ผ่านมา
- เพราะค่าเอนไซม์ในตัวบนไปสูงมาก?
- เพราะว่าแม่ผมเสียเนื่องจากมะเร็งเต้านมแพร่ไปที่ตับจนร่างกายมีภาวะดีซ่านแล้วค่อยๆ จากไปอย่างช้าๆ
- โดนขู่ให้กลัวมาเยอะ?
ใช่แล้วล่ะ ผมกลัวที่จะป่วย ลึกๆ ผมแอบไม่กลัวตายนะ คิดเอาเองว่าถ้าตายเลยแป๊ปๆ มันก็คงสบายดี ไม่ต้องทรมาน แต่ถ้าไม่ตายซักทีล่ะ??? .... โรคจากความอ้วนที่กำลังมาหา ไม่ว่าจะไขมันในเลือดสูง ความดัน เบาหวาน ไขมันอุดตัน(อัมพาตอัมพฤกษ์) มะเร็ง ฯลฯ ไม่ใช่โรคที่ทำให้ตายเร็ว แต่มันจะค่อยๆ กัดกร่อนชีวิตเราลงไปเรื่อยอย่างยาวนาน มันทรมานทั้งคนป่วยและคนที่ต้องดูแลเลยนะ
ผมเลยบอกกับตัวเองว่า “ผมไม่อยากป่วยและจะลดความความอ้วนเป็นครั้งสุดท้าย”
เส้นทางในการลดความอ้วน
ทำไมต้องลดความอ้วนเป็นครั้งสุดท้าย? จริงๆแล้วที่ผ่านมาผมก็มีความพยายามที่จะลดน้ำหนักอยู่บ้างนะ ไม่ใช่ไม่เคยลดเลย ซึ่งวิธีที่ผมใช้ก็คือ
- No carb ไม่กินข้าว/แป้ง อันนี้สบายผมสายเนื้ออยู่แล้ว
- ใช้อาหารเสริมลดน้ำหนักที่เค้าว่าช่วยบล็อกแป้งและไขมัน กับ อาหารเสริมที่ช่วย Detox (ของดดราม่านะครับ ยี่ห้อที่ผมเคยใช้มันปลอดภัยดี ขายมานานกว่ายี่ห้อที่เป็นข่าวอยู่ช่วงนี้ แล้วก็ยังขายอยู่จนปัจจุบัน บริษัทน่าเชื่อถือครับ) ซึ่งมันก็มีทำให้น้ำหนักลดลงไปบ้าง หุ่นก็เริ่มเล็กลง แล้วมันก็แอบทำให้ผมมีกำลังใจ ผ่านไปปีนึง ก็ได้ตามด้านล่างล่ะครับ
เหมือนจะดีใช่มั้ยครับ? แต่ปัญหาคือน้ำหนักลดจริง แต่ LDL กับค่าตับ SPGT ไม่ลดนี่สิ ...
งั้นลองใหม่ คุมอาหารด้วยละกัน ช่วงเวลา 1 เดือนนั้น ผมกินวันละ 1-2 มื้อ และบางมื้อกินน้อยมาก แต่ก็มีไปกินชาบูบ้าง 1-2 ครั้ง เน้นเนื้อเน้นโปรตีน วันไหนไปเที่ยวก็จัดหน่อยเพราะวันปกติกินน้อยแล้ว แล้วก็มีใช้อาหารเสริมลดน้ำหนักตัวเดิมที่ช่วยดักแป้งดักไขมัน ในใจคิดว่าร่างกายได้แคลอรี่น้อยลงยังไงก็น้ำหนักลงแน่ๆ ซึ่งไม่ผิดครับ น้ำหนักลง แต่มันไปลงส่วนที่ไม่อยากให้ลง ...
ผมชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งที่วัดค่าไขมัน กล้ามเนื้อ ไขมันในช่องท้อง ฯลฯ (ลงทุนซื้อเลยครับ เพราะจริงจัง) แล้ววัดผล 1 เดือนก็พบว่า น้ำหนักที่หายไปมันเป็นน้ำกับกล้ามเนื้อครับ ส่วน%ไขมันของผมกลับเพิ่มขึ้นอีก 4% !!!! (ขออธิบายสั้นๆสำหรับคนที่ไม่รู้นะครับ น้ำหนักประกอบด้วย ไขมัน กล้ามเนื้อ น้ำ กระดูก การลดน้ำหนักที่ดี คือไขมันควรจะลดโดยที่กล้ามเนื้อ น้ำ กระดูก ยังคงที่หรือเพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี)
จากนั้นผมก็ท้อไปพักนึง จนสุดท้ายก็ตกลงปลงใจ ออกกำลังกายก็ได้ฟะ!!
ต้องบอกว่า จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนแอนตี้การออกกำลังกายนะ ตอนเรียนมัธยมผมก็เล่นบาสเป็นประจำ (ซึ่งก็เป็นกีฬาประเภทเดียวที่เล่นเป็น) แต่ผมแค่ไม่ชอบออกกำลังกายคนเดียว มันน่าเบื่อ แต่จะไปเตะบอลก็เตะไม่เป็นอีก วิ่งก็เบื่อ ว่ายน้ำก็เบื่อ ทำอะไรก็เบื่อไปหมด
ช่วงเวลา 6 เดือนนั้น ผมยอมเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4-6 วันซึ่งถือว่าบ่อยมากกกกก (กลัวไม่คุ้มค่าสมาชิก) บวกกับก๊วนเล่นบาสสมัยมัธยมกลับมารวมตัวกันเล่นทุกอาทิตย์พอดี ผมออกกำลังกายหนักเบาก็แล้วแต่อารมณ์ แต่ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองหักโหมเกินไป ตอนนั้นเครื่องวัดไขมันที่ว่า โดนเก็บเข้ากรุครับผมไม่ได้สนใจ น้ำหนักลงไม่เยอะ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น วิ่งได้มากขึ้น หอบน้อยลง สัดส่วนก็เริ่มมานิดๆ เริ่มมีการใช้อาหารเสริมที่คนเล่นเวทชอบใช้อย่างเวย์โปรตีนหรือ Fat Burn
[CR] แชร์ประสบการณ์ลดความอ้วน บอกลาน้ำหนักเฉียดร้อยที่แบกมา 36 ปี เผยซิกแพ็คได้ใน 6 เดือน
แล้วไม่ว่าใครจะเป็นยังไงมา ผมอยากบอกว่า ผมเองก็เป็นคนที่อยู่กับความอ้วนมา 36 ปี ถ้าอย่างผมยังลดน้ำหนักลงมาได้ใน 3-6 เดือนแล้วทำไมคุณจะทำไม่ได้ล่ะ
ผมเป็นคนที่เรียกได้ว่า "อ้วนตั้งแต่เกิด" คือตอนคลอดออกมา ผมก็หนัก 4.2 กิโลแล้ว จากที่แม่เล่าให้ฟัง ผมเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมากกกกกก
พอร้องปุ๊ป! เอาขวดนมยัดปากโป๊ะ!! เงียบปั๊ป!!! แล้วเดี๋ยวก็หลับไปเอง ....
พอร้องอีกก็เปลี่ยนขวด ทำแบบเดิม เดี๋ยวก็เงียบ ...
ด้วยความที่เป็นอาตี๋น้อยลูกคนจีน ที่บ้านสมัยก่อนค่อนข้างมีกินแบบเหลือๆ ก็เลยเป็นเด็กที่กินเก่งมาแต่ไหนแต่ไร แล้วตัวก็อ้วนเอาๆ จนวันนึง แม่กับพี่ๆ มองว่าปล่อยไปมากกว่านี้ไม่ได้ ก็เริ่มจำกัดการกินของผม โดยการห้ามกินข้าวเกิดมื้อละ 1 จาน (ถือเป็นประสบการณ์ไดเอ็ทครั้งแรกตั้งแต่ยังอยู่ประถม555)
ด้วยเพราะยังเด็กถึงโดนจำกัดอาหารแต่อาม่าก็ยังสปอยด์ให้กินนู่นกินนี่ เวลาเจอญาติๆ ก็ยังได้กินแบบจัดเต็ม น้ำหนักก็เลยไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จากสมุดพกตอนม.ต้น แค่ม.1 ผมก็หนัก 72 กิโลแล้ว จากนั้นน้ำหนักก็พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ม.2 ขึ้นเลข 8 และม.3 ขึ้นเลข 9
ตอนนั้นหาเริ่มหาเสื้อผ้าใส่ลำบากละ กางเกงนักเรียนไม่มีไซส์ ต้องสั่งตัดทั้งกางเกงทั้งรองเท้า (โรงเรียนผมใช้รองเท้าหนัง แล้วด้วยความที่เท้าอ้วน ไซส์ 45 ก็คับ) ยังดีหน่อยที่ยุคนั้นแฟชั่นวัยรุ่นมักจะใส่หลวมๆ ทำให้มีชุดลำลองใส่ไม่ยากนัก บางชุดก็ใส่ของผู้ใหญ่ไปเลย ตอนจบม.3 น้ำหนักผมอยู่ที่ประมาณ 95 กิโล
ลดน.น.ครั้งแรกหายไป 10 กก.
ตอนเข้าม.4 ผมเริ่มที่จะลดน้ำหนักเป็นครั้งแรก เพราะกลัวจะสอบรด.ไม่ผ่าน แล้วต้องไปเกณฑ์ทหาร ทำให้เริ่มคุมอาหาร มื้อเช้ามื้อกลางวันทานจานเดียวแล้วตบท้ายด้วยแลตตาซอยกล่องใหญ่ ส่วนมื้อเย็นก็กินบ้างไม่กินบ้างแล้วแต่วัน แต่สุดท้ายก็สอบไม่ผ่านอยู่ดีแหละ เพราะวิ่งไม่ไหว แต่ก็ยังติดสำรองแล้วก็ได้เข้าไปเรียน (ถามจริง มีใครสอบตก รด. แบบที่เป็นคนปกติ ไม่ได้มีส่วนพิการหรืออะไรผิดปกติจนเค้าไม่รับมั้ยคับ?)
ม. 4 เป็นช่วงที่น้ำหนักลงไปเยอะมากๆ ทั้งจากการคุมอาหาร แล้วยังมีการฝึก รด. ที่ต้องเข้าแถวตากแดดในชุดร้อนๆ (ยังจำความรู้สึกที่เหงื่อเต็มตัว ไหลหยดไปตามแผ่นหลัง ไหลไปตามขา แต่ห้ามขยับเขยื้อนได้เป็นอย่างดี) ทำให้น้ำหนักลงไปอยู่ที่ 83 กิโล ถือเป็นครั้งแรกที่ลดน้ำหนักได้ค่อนข้างน่าพอใจ (แม้จะต้องใช้เวลาเยอะและได้ตัวที่ดำเมี่ยมแถมมาด้วย) แล้วก็ประคองมาได้จนจบ ม.6 หนักประมาณ 85 กิโล
โยโย่เด้งกลับภายใน 5 เดือน
พอเข้ามหาลัย ผมก็หยุดเรื่องการคุมอาหาร รด. ก็ไม่ได้เรียน ก็ใช้ชีวิตลั้ลลาตามประสาเฟรชชี่ไป พอรู้ตัวอีกทีตอนเข้าเทอมสอง น้ำหนักดีดขึ้นมาที่ 93 กิโล!!! คือตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ 4-5 เดือน ขึ้นมาได้ยังไง แล้วทบทวนดีๆ ก็ถึงบางอ้อ เพราะผมเล่นกินข้าววันละ 4 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน เพราะข้าวที่คณะเป็นอะไรที่ผมชอบมาก สมัยนั้นที่ก๋วยเตี๋ยวข้างนอกจานละ 25 บาท แต่ในคณะ ข้าวราดแกง กับข้าว 2 อย่าง 15 บาท! ทั้งถูก ทั้งอร่อยแบบนี้ผมก็เลยจัดเต็มทุกมื้อ ก็โยโย่สิครับจะเหลือหรอ
แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนะ มีแค่แอบตั้งกฏขึ้นมากับตัวเองว่า จะไม่หนักเกิน 95 กิโล เพราะรู้ว่าอ้วนมากไปยังไงก็ไม่ดี สุขภาพมันแย่ แต่เรื่องรูปร่าง ผมพูดตรงๆ ว่าไม่ได้สนใจเลยครับ เพราะผมสูง 182 เป็นคนตัวยักษ์มาตลอด คิดเสมอว่าทำยังไงก็ไม่ดูดี ไม่ผอมหรอก ไม่เห็นต้องไปใส่ใจ แค่ไม่ป่วยก็พอแล้ว จากนั้นผมก็พยายามประคองตัวเองให้ไม่เกิน 95 เรื่อยมา ผมก็ถือว่าตัวเองเก่งเหมือนกันนะ ตั้งแต่อายุ 19 จน 35 ผมเคยน้ำหนักเกิน 95 แค่ 2 ครั้ง แล้วก็อดอาหารจนลดลงไปได้ พอใจแล้วก็กินต่อ ก็กินๆ อดๆ วนไปมาอยู่แบบนี้
สายบุฟเฟ่ห์ ขาประจำห้องก้นครัว
ช่วงที่มีแฟน (ตอนนี้โสด ... งานขายก็มา 555) ผมว่าหลายคนก็คงคล้ายๆ ผมนะ คือจะตระเวนหาของอร่อยกินกัน ผมเชื่อว่าหลายๆ คนจะเจอปัญหาเดียวกัน คือแฟนสาวชอบสั่งนู่นนี่มาเยอะแยะ แต่ตัวเองกินนิดเดียว แล้วก็เป็นหน้าที่เราผู้ชายเป็นคนจัดการ แล้วผมเป็นพวกชอบสปอยด์แฟน อยากไปกินอะไรที่ไหน ตามใจหมด! สั่งมาโลด!! กินได้หมด!!! ไม่เคยเหลือ!!!! มันก็ทำให้น้ำหนักไต่ระดับขึ้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
แล้วผมเป็นขาประจำห้องก้นครัวคนนึงเลย วันๆ ไม่ทำอะไร นั่งดูรีวิวกับตามไปกิน (สาเหตุของการที่น้ำหนักทะลุ 95) ยิ่งร้านบุฟเฟ่ห์นี่อยากรู้ร้านไหนเป็นไงมาถามผม เรียกว่าเซียนได้เลย จนตอนนั้นอยากเป็นบล็อกเกอร์สายแ_กให้รู้แล้วรู้รอดเลยถ่ายรูปเก็บไว้เพียบ แต่สุดท้ายก็ได้แต่ถ่ายรูป ขี้เกียจพิมพ์ ขี้เกียจทำรีวิว รูปที่แปะนี่แค่บางส่วนนะครับ
คติประจำใจผมตอนนั้นคือ “กินเพื่ออยู่ เพื่อที่จะกินมื้อถัดไป ....” ฮ่าๆๆๆ
สัญญาณอันตราย ร่างกายเริ่มฟ้อง
อย่างที่รู้กันดี ความอ้วนไม่เคยเป็นมิตรกับสุขภาพที่ดี และแล้วสัญญาณทางร่างกายผมมันก็เริ่มมา
1. ทุกครั้งที่ตรวจสุขภาพกับบริษัท ค่าคอเลสเตอรอล กับ LDL ผมไม่เคยอยู่เกณฑ์ปกติเลย สูงเกินมาตรฐานตลอด (แต่พูดตามตรงเนอะ มันสูงมาตลอดแต่เราก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ ก็เลยไม่ค่อยใส่ใจมันเท่าไหร่)
2. ผลค่าตับ SGPT ของผมเริ่มสูงเกินปกติ ทั้งที่ผมเป็นคนไม่ได้ทานยาอะไร ปีนึงดื่มแอลกอฮฮล์ซัก 3-4 ครั้งและไม่ดื่มหนัก แล้วมันก็ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆทุกปี ไม่มีทีท่าว่าจะลง
3. ผมบริจาคเลือดไม่ได้ จากที่บริจาคเลือดบ้างนานๆที แล้วก็มีครั้งนึง กาชาดส่งจดหมายมาแจ้งว่าเลือดผมไม่ผ่านการตรวจ “ไวรัสตับอักเสบซี” ให้เข้าไปตรวจซ้ำ แต่เมื่อเข้ารับการตรวจเลือดซ้ำ เค้าบอกว่าผมไม่มีเชื้อ แค่ว่าเลือดมันมีปฏิกิริยากับน้ำยาทดสอบ แล้วเพื่อความปลอดภัยของผู้รับบริจาค เค้าจำเป็นต้องคัดทิ้ง แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ไปเจาะเลือดตรวจซ้ำกับกาชาดโดยเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า 3 เดือน
1 ครั้งก็แล้ว ... 2 ครั้งก็แล้ว ... 3 ครั้งก็แล้ว ... ก็ยังไม่ผ่าน โอเคยอม ไม่บริจาคมันแล้ว!
4. หลายๆคนที่เคยไปเที่ยวกับทัวร์ที่เมืองจีนคงรู้ว่าทัวร์จะพาเราไปซื้อของที่ร้านต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือ “ร้านขายสมุนไพรจีน” ซึ่งในร้านก็จะมีหมอจับชีพจรที่จะมาจับชีพจรวินิจฉัยโรคให้ฟรี แล้วก็เสนอสมุนไพรจีนชั้นดีราคาแพงหูฉี่มาให้ ทุกคนในคณะมีโรคกันหมด สมองบ้าง ปอดบ้าง หัวใจบ้าง นู่นนี่ แต่ทำไมของผมมาลงที่ “ตับ” เค้าบอก ชีพจรผมเต้นไม่เป็นจังหวะ แล้วผมอายุ 30 กว่าแต่หน้ายังมีสิวอยู่ สีผิวคล้ำและด่างไม่เป็นสีเดียวกัน เป็นอาการของตับที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียทำงานได้ไม่ดี บลาๆๆ ....เอาจริงๆตอนนั้นผมไม่ได้ฟังละเอียดคับ เพราะคิดในใจอยู่แล้วว่า “เมืองจะขายของคูล่ะสิ” ก็เลยปล่อยผ่านไป และแน่นอน ตังค์ไม่กระเด็นซักหยวนในร้านสมุนไพร (แต่ไปกระเด็นเพราะไอติมหน้าร้านแทน)
จุดเปลี่ยนคือ กลัวไม่ตาย!
บอกตรงๆ ผมเริ่มกังวลกับสุขภาพของตัวเองแล้ว จนได้เจอกับพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันคนนึงที่เคยได้งานได้การดีๆ ถึงที่ Silicon Valley กับสามี เค้ากลับมาไทยแล้วมาจับตลาดทางด้านสุขภาพ แล้ววันนึงได้เจอกัน พี่เค้าเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับงานที่เค้าทำอยู่ แล้วเค้าก็อธิบายให้ฟังเกี่ยวกับ “ไขมันในช่องท้องVisceral Fat” และ “ไขมันพอกตับ” ผมไม่ขออธิบายเยอะละกันนะครับ ลองหาอ่านรายละเอียดดู แต่สรุปสั้นๆเรื่องไขมันพอกตับไว้ที่ว่า
ไขมันพอกตับ >>> ตับทำงานหนัก >>> ตับอักเสบ >>> ตับแข็ง >>> มะเร็งตับ >>> ตาย!!!
นั่นไง ... ความซวยเริ่มจะมาเยือนละ ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรรอบนี้ผมถึงกังวลมากกว่าที่ผ่านมา
- เพราะค่าเอนไซม์ในตัวบนไปสูงมาก?
- เพราะว่าแม่ผมเสียเนื่องจากมะเร็งเต้านมแพร่ไปที่ตับจนร่างกายมีภาวะดีซ่านแล้วค่อยๆ จากไปอย่างช้าๆ
- โดนขู่ให้กลัวมาเยอะ?
ใช่แล้วล่ะ ผมกลัวที่จะป่วย ลึกๆ ผมแอบไม่กลัวตายนะ คิดเอาเองว่าถ้าตายเลยแป๊ปๆ มันก็คงสบายดี ไม่ต้องทรมาน แต่ถ้าไม่ตายซักทีล่ะ??? .... โรคจากความอ้วนที่กำลังมาหา ไม่ว่าจะไขมันในเลือดสูง ความดัน เบาหวาน ไขมันอุดตัน(อัมพาตอัมพฤกษ์) มะเร็ง ฯลฯ ไม่ใช่โรคที่ทำให้ตายเร็ว แต่มันจะค่อยๆ กัดกร่อนชีวิตเราลงไปเรื่อยอย่างยาวนาน มันทรมานทั้งคนป่วยและคนที่ต้องดูแลเลยนะ
ผมเลยบอกกับตัวเองว่า “ผมไม่อยากป่วยและจะลดความความอ้วนเป็นครั้งสุดท้าย”
เส้นทางในการลดความอ้วน
ทำไมต้องลดความอ้วนเป็นครั้งสุดท้าย? จริงๆแล้วที่ผ่านมาผมก็มีความพยายามที่จะลดน้ำหนักอยู่บ้างนะ ไม่ใช่ไม่เคยลดเลย ซึ่งวิธีที่ผมใช้ก็คือ
- No carb ไม่กินข้าว/แป้ง อันนี้สบายผมสายเนื้ออยู่แล้ว
- ใช้อาหารเสริมลดน้ำหนักที่เค้าว่าช่วยบล็อกแป้งและไขมัน กับ อาหารเสริมที่ช่วย Detox (ของดดราม่านะครับ ยี่ห้อที่ผมเคยใช้มันปลอดภัยดี ขายมานานกว่ายี่ห้อที่เป็นข่าวอยู่ช่วงนี้ แล้วก็ยังขายอยู่จนปัจจุบัน บริษัทน่าเชื่อถือครับ) ซึ่งมันก็มีทำให้น้ำหนักลดลงไปบ้าง หุ่นก็เริ่มเล็กลง แล้วมันก็แอบทำให้ผมมีกำลังใจ ผ่านไปปีนึง ก็ได้ตามด้านล่างล่ะครับ
เหมือนจะดีใช่มั้ยครับ? แต่ปัญหาคือน้ำหนักลดจริง แต่ LDL กับค่าตับ SPGT ไม่ลดนี่สิ ...
งั้นลองใหม่ คุมอาหารด้วยละกัน ช่วงเวลา 1 เดือนนั้น ผมกินวันละ 1-2 มื้อ และบางมื้อกินน้อยมาก แต่ก็มีไปกินชาบูบ้าง 1-2 ครั้ง เน้นเนื้อเน้นโปรตีน วันไหนไปเที่ยวก็จัดหน่อยเพราะวันปกติกินน้อยแล้ว แล้วก็มีใช้อาหารเสริมลดน้ำหนักตัวเดิมที่ช่วยดักแป้งดักไขมัน ในใจคิดว่าร่างกายได้แคลอรี่น้อยลงยังไงก็น้ำหนักลงแน่ๆ ซึ่งไม่ผิดครับ น้ำหนักลง แต่มันไปลงส่วนที่ไม่อยากให้ลง ...
ผมชั่งน้ำหนักด้วยเครื่องชั่งที่วัดค่าไขมัน กล้ามเนื้อ ไขมันในช่องท้อง ฯลฯ (ลงทุนซื้อเลยครับ เพราะจริงจัง) แล้ววัดผล 1 เดือนก็พบว่า น้ำหนักที่หายไปมันเป็นน้ำกับกล้ามเนื้อครับ ส่วน%ไขมันของผมกลับเพิ่มขึ้นอีก 4% !!!! (ขออธิบายสั้นๆสำหรับคนที่ไม่รู้นะครับ น้ำหนักประกอบด้วย ไขมัน กล้ามเนื้อ น้ำ กระดูก การลดน้ำหนักที่ดี คือไขมันควรจะลดโดยที่กล้ามเนื้อ น้ำ กระดูก ยังคงที่หรือเพิ่มขึ้นเพื่อสุขภาพที่ดี)
จากนั้นผมก็ท้อไปพักนึง จนสุดท้ายก็ตกลงปลงใจ ออกกำลังกายก็ได้ฟะ!!
ต้องบอกว่า จริงๆแล้วผมไม่ใช่คนแอนตี้การออกกำลังกายนะ ตอนเรียนมัธยมผมก็เล่นบาสเป็นประจำ (ซึ่งก็เป็นกีฬาประเภทเดียวที่เล่นเป็น) แต่ผมแค่ไม่ชอบออกกำลังกายคนเดียว มันน่าเบื่อ แต่จะไปเตะบอลก็เตะไม่เป็นอีก วิ่งก็เบื่อ ว่ายน้ำก็เบื่อ ทำอะไรก็เบื่อไปหมด
ช่วงเวลา 6 เดือนนั้น ผมยอมเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายอาทิตย์ละ 4-6 วันซึ่งถือว่าบ่อยมากกกกก (กลัวไม่คุ้มค่าสมาชิก) บวกกับก๊วนเล่นบาสสมัยมัธยมกลับมารวมตัวกันเล่นทุกอาทิตย์พอดี ผมออกกำลังกายหนักเบาก็แล้วแต่อารมณ์ แต่ไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองหักโหมเกินไป ตอนนั้นเครื่องวัดไขมันที่ว่า โดนเก็บเข้ากรุครับผมไม่ได้สนใจ น้ำหนักลงไม่เยอะ แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น วิ่งได้มากขึ้น หอบน้อยลง สัดส่วนก็เริ่มมานิดๆ เริ่มมีการใช้อาหารเสริมที่คนเล่นเวทชอบใช้อย่างเวย์โปรตีนหรือ Fat Burn