สรุปแนวทางการบริโภคอาหาร จาก American Dietary guideline ครับ

เนื่องจากที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าอาหารการกินทุกวันนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังมากมาย

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ที่เป็นสาเหตุเสียชีวิตอันดับต้นของอเมริกา

โรคหลอดเลือดสมองตีบ ที่ทำให้เราอาจต้องนั่งรถเข็น หรือนอนติดเตียงไปตลอดชีวิตที่เหลือ

โรคไต ที่ต้องฟอกไตอาทิตย์ละ 2-3 วัน วันละ 4 ชั่วโมง ครั้งละ 1500 บาทเป็นอย่างน้อย

โรคเบาหวาน ที่ทำให้เราต้องคุมอาหารแบบจริงจัง และต้องเข้า รพ เป็นประจำเพื่อตรวจเลือด

และอื่นๆอีกมาก ที่พูดไปก็ยิ่งเหนื่อย

ทั้งหมดนี้รวมๆก็ใช้ทรัพยากรในการดูแลรักษามหาศาลมาก รวมทั้งผลลัพธ์การรักษาก็ไม่สู้ดี คนไข้ก็ยังมีโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สองเหมือนเดิม

เหล่าทีมสาธารณสุขก็เลยคิดว่าเราไม่สามารถทนปัญหานี้ได้อีก

เป็นที่มาของแนวทางการบริโภคอาหาร (Dietary guideline) ซึ่งทำกันอย่างจริงจัง

ใช้การเก็บข้อมูลสถิติ และหลักฐานงานวิจัยทางการแพทย์รุ่นใหม่มาประมวลผลร่วมกัน

แม้ว่าจะทำจากประเทศอเมริกา ที่พื้นฐานทางชีวภาพและอาหารจะแตกต่างจากบ้านเรา

แต่โดยหลักการทั่วไปแล้วใช้ได้เช่นกันครับ

ขอมาสรุป ณ ที่นี้ครับ

------------------------------------------------------------------------

หัวใจสำคัญของอาหารที่ดีมี 4 ข้อ ซึ่งผมลงได้ลงรายละเอียดในกระทู้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
จะรวบยอดอีกครั้งครับ

แคลอรี่ ( Calories )
หลักการ : Calorie ออก มากกว่า Calorie เข้า
เพื่อให้ร่างกายขุดเอาไขมันส่วนเกินมาสลายเป็นพลังงานครับ
รายละเอียด : http://pantip.com/topic/35122993


ไขมัน ( Lipid )
Principle : ไขมันยังจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่เราต้องเลือกบริโภตไขมันที่ดี (Unsaturated fat) ในปริมาณที่เหมาะสม ( ควรได้พลังงานจากไขมันที่ดีประมาณ 15% ของพลังงานทั้งหมดใน 1 วัน )
รายละเอียด : http://pantip.com/topic/35140042



เกลือ ( Sodium )
หลักการ : เกลือมีส่วนโดยตรงในการก่อโรคความดันโลหิตสูง ที่เป็นจุดกำเนิดของโรคอันตรายอีกมาก ในคนทั่วไปไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 2,300 mg ต่อวันครับ
Detailed : http://pantip.com/topic/35155540

น้ำตาลเสริม ( Added sugar )
หลักการ : น้ำตาลส่วนเกินมาจากผลิตภัณฑ์ที่ใส่น้ำตาลเพิ่มเป็นพิเศษ เช่น น้ำอัดลม ไอศครีม เค้ก ของหวานทั้งหลาย ปัญหาคือน้ำตาลส่วนเกินพวกนี้จะเพิ่มแคลอรี ทำให้คุมแคลอรียาก
ดังนั้น พลังงานที่ได้จากน้ำตาลส่วนเกิน ไม่ควรเกิน 10% ของพลังงานต่อวันครับ
Example :  โค้ก 1 กระป๋อง ให้พลังงาน
โดนัท 1 ชิ้น 100-200 กิโลแคลอรี่


ทั้งหมดที่ว่ามานี้ ปัญหาคือ บอกแต่ปริมาณตัวเลข แต่กะปริมาณในชีวิตจริงไม่ถูก

ง่ายที่สุคคือ ฉลากครับ

ในสินค้าที่มีแพ็คเกจอย่างดี ก็จะมีฉลากกำกับไว้อยู่แล้ว

ฉลากจะบอกเป็น % ของปริมาณที่เราต้องการต่อวัน

ยกตัวอย่างน้ำปลาครับ



1 ช้อนโต๊ะ มีเกลือโซเดียมอยู่ 57% แปลว่า ในวันนึง ถ้า เรากินน้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ วันนั้นเราก็ได้เกลือเกินพอแล้วครับ ไม่นับรวมอาหารอื่นๆ

ส่วนของที่ไม่มีฉลาก ผมได้รวบรวมตัวอย่างที่พบได้บ่อย อยู่ในกระทู้ย่อยที่แนบไว้ด้านบนครับ

ช่วงแรกอาจจะงงๆ แต่พอเริ่มสังเกตเดือนเดียว ก็เริ่มประมาณได้แล้วครับ ทีนี้เราก็จะไม่ทานเกินอีกแล้ว

ผมคิดว่าสิ่งนี้คุ้มค่าสำหรับการเรียนรู้ครับ เพราะถ้าเราทำจนติดตัว เราก็เหมือนมียาวิเศษตลอดเวลา


ในคนอายุน้อยวันนี้อาจยังไม่เห็นผล
แต่พอเริ่มอายุเข้า 40 ในขณะที่เพื่อนเริ่มเข้าโรงพยาบาลกันแล้ว แต่เรายังได้ใช้ชีวิต ไปเที่ยวได้อย่างเต็มอิ่ม และประหยัดเงินได้หลายล้านบาท ที่จะหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลครับ

Reference : http://health.gov/dietaryguidelines/2015/
--------------------------------------------------------------------------------------------------

ผมเป็นหมอครับ กำลังทำเพจเกี่ยวกับสุขภาพแบบง่ายๆ
Facebook : https://www.facebook.com/qiniccom/
Web : www.qinic.com
หากเห็นว่ามีประโยชน์ ฝากแชร์ให้คนใกล้ตัวด้วยนะครับ  : )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่