การรู้แจ้งคืออะไร? รู้อะไร?
…………………………………………………………………………………
การรู้แจ้งคือการเกิดเป็นความเข้าใจ..........
เข้าใจการทำงานของ
“ตัวเรา”ว่ามันทำงานอยู่อย่างไร
การเข้าใจคือความรู้สึกของเราเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง แต่การเข้าใจตามการอธิบายก็อาจจะเข้าใจได้ แต่ถ้ามันไม่เกิดเป็นเหตุผลทางความรู้สึก ก็คือยังไม่เข้าใจ แต่จำได้เท่านั้น การเข้าใจตามตัวอักษรจะอธิบายแบบพิสดารไม่ได้ ต้องอ้างอิงตามตัวอักษร.
การรู้ว่า “ตัวเรา”ทำงานอยู่อย่างไร จึงจะเห็นได้ว่ามันเป็นการทำงานของความเป็นธรรมชาติ ธาตุธรรมชาติปรุงแต่งหรือทำปฏิกิริยาต่อกันอยู่ จึงทำให้เกิดเป็นอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือความรู้สึกของเรา เป็น “ตัวเรา”เกิดขึ้น มันเกิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง(ตามกรอบอายุ)แล้วก็จะสลายไป.
“ตัวเรา”มีจิตกับกายทำงานร่วมกันอยู่ กายมีอวัยวะหรือประสาทในการรับรู้ต่างๆทำงานอยู่ อุปมาเหมือนทีวี จิตคือกระแสไฟ ทีวีต้องมีกระแสไฟมันจึงจะทำงานได้การเกิดเป็นภาพ สี แสงได้ คือมีตัวแปลงสัญญาณนั่นเอง.
“ตัวเรา”มี
“จิต”หรือ
“ความรู้สึก” ขับเคลื่อนในการทำงาน การที่มันมีปฏิกิริยาต่อกัน(การยึดมั่น)ทำให้เกิดมีอาการทางความรู้สึกเกิดขึ้น
(เจตสิก) แต่ปกติมันไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อกันอยู่ตลอดเวลา คือมัน “ว่าง”อยู่ มันจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเมื่อเราใช้งานมันอยู่เท่านั้น ที่เป็นอยู่เรามีอาการยึดมั่นทางความรู้สึกอยู่นั่นเอง คือเราเปิดเครื่องอยู่ตลอดเวลา.
“อาการยึดมั่น”จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร เราจะเข้าใจอาการนี้ได้ก็ต่อเมื่อเห็นอาการที่มันหยุดไป
(จิตหลุดจากการยึดมั่น) เมื่อมันมีอาการทางกายเกิดขึ้นมันส่งผลทางความรู้สึกนั่นเอง เราจึงเข้าใจได้ว่าเรา “การยึดมั่น”คือความหลงในความรู้สึกของตนเองอยู่ การยึดมั่นคือการมี่เราสมมุตตัวเองทางความรู้สึกอยู่ และเราก็สมมุติสิ่งต่างๆอยู่ คือการสร้างภาพทางความรู้สึก การเห็นหรือการสัมผัสสภาวะนี้ทางความรู้สึกได้จึงเกิดเป็นความเข้าใจ คือตัวเรามีการทำงานทางความรู้สึกคือการสมมุติสิ่งต่างๆอยู่ มันจึงเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง........การเข้าใจได้อย่างนี้จึงเป็นการรู้แจ้ง คือการเข้าใจในความเป็นเหตุผล ว่าธรรมชาติมันทำงานให้เกิดเป็นตัวเราอยู่อย่างไร การเข้าใจได้จึงต้องหยุดอาการนี้ลง เหมือนเรากำลังเปิดทีวีดูละครน้ำเน่าอยู่นั่นเอง จะมีสาระได้อย่างไร นอกจากการสมมุติทางความรู้สึกเพ้อเจ้ออยู่เท่านั้น.
........การที่ความรู้สึกยึดมั่นหยุดไป จึงเห็นอาการที่ความรู้สึกทำงานอยู่ ถ้าอาการยึดมั่นมีมากจะเกิดความรู้สึกหยาบ การแปรปรวนก็มีมาก(การเกิดกิเลส,การเกิดระดับของจิตสำนึก) ถ้าอาการยึดมั่นมีน้อยหรือเบาบาง ก็มีความรู้สึกละเอียดอ่อน(กิเลสหยาบไม่เกิด,ระดับจิตสำนึกสูงขึ้น) การยึดมั่นจึงทำให้เกิดเป็นมิติทางความรู้สึกคือมีอาการทางความรู้สึกเกิดขึ้น ระดับของการเข้าใจก็แตกต่างกัน แต่ถ้ามันหยุดลงหรือหยุดไป จึงเกิดเป็นความกระจ่าง ว่าเราใช้ความรู้สึกทำงานอยู่นั่นเองจึงทำให้เกิดอาการยึดมั่น เหมือนเราเปิดทีวีมันก็ทำงานของมันอยู่ ถ้าเราปิด(หยุดการยึดมั่น,หยุดปล่อยการแสไฟ)การทำงานของมันก็หยุดลง แต่การที่เรามีชีวิตอยู่เรายังปล่อยกระแสไฟอยู่ แต่ถ้าจอทีวีไม่ทำงานมันก็ว่าง แต่ในความเป็นมนุษย์การยึดมั่นไม่มีอยู่หรือมีน้อย เราจึงมี “สติ-สัมปชัญญะ”ทำงานอยู่ หยุดดูละครน้ำเน่าที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิต.
แต่ถ้าไม่เกิดการเข้าใจสิ่งที่จะต้องทำคือการขัดเกลาอาการยึดมั่นให้อ่อนตัวลงเบาบางลง ซึ่งจะมีอาการสัมพันธ์กับระดับของจิตสึกนึก จึงทำให้เกิดเป็นภพ สัตว์นรกมีจิตสำนึกต่ำกว่าอรูปพรหม อาการยึดมั่นมีมากกว่า การอยู่ในชั้นของอรูปพรหมจึงมีโอกาสหลุดพ้นได้ คือทำความรู้สึกให้
“ว่าง”อยู่เสมอนั่นเอง...
.......................โดยสรุป
“ตัวเรา”มันจึงเป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น(ปรมัตถธรรมธาตุ) ความหมายมีอยู่เท่านี้ การยึดมั่นจึงเหมือนการไปยึดเอาธรรมชาติมาเป็น
“ตัวเอง”หรือเอามาเป็น
“ของตน” จึงมองดูเหมือนกับไม่เป็นสาระอยู่ จึงต้องหยุดอาการยึดมั่น ซึ่งเป็นการเสพรสของโลกอยู่ เป็นความหลงเกิดอยู่เป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น..............การไม่ยึดมั่นจึงเกิดเป็นอาการ
“ว่าง” จาก
“ตัวตน”
.........................................................................................................................................................................
การรู้แจ้งคืออะไร? รู้อะไร?
การรู้แจ้งคืออะไร? รู้อะไร?
…………………………………………………………………………………
การรู้แจ้งคือการเกิดเป็นความเข้าใจ..........
เข้าใจการทำงานของ “ตัวเรา”ว่ามันทำงานอยู่อย่างไร
การเข้าใจคือความรู้สึกของเราเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง แต่การเข้าใจตามการอธิบายก็อาจจะเข้าใจได้ แต่ถ้ามันไม่เกิดเป็นเหตุผลทางความรู้สึก ก็คือยังไม่เข้าใจ แต่จำได้เท่านั้น การเข้าใจตามตัวอักษรจะอธิบายแบบพิสดารไม่ได้ ต้องอ้างอิงตามตัวอักษร.
การรู้ว่า “ตัวเรา”ทำงานอยู่อย่างไร จึงจะเห็นได้ว่ามันเป็นการทำงานของความเป็นธรรมชาติ ธาตุธรรมชาติปรุงแต่งหรือทำปฏิกิริยาต่อกันอยู่ จึงทำให้เกิดเป็นอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น คือความรู้สึกของเรา เป็น “ตัวเรา”เกิดขึ้น มันเกิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง(ตามกรอบอายุ)แล้วก็จะสลายไป.
“ตัวเรา”มีจิตกับกายทำงานร่วมกันอยู่ กายมีอวัยวะหรือประสาทในการรับรู้ต่างๆทำงานอยู่ อุปมาเหมือนทีวี จิตคือกระแสไฟ ทีวีต้องมีกระแสไฟมันจึงจะทำงานได้การเกิดเป็นภาพ สี แสงได้ คือมีตัวแปลงสัญญาณนั่นเอง.
“ตัวเรา”มี “จิต”หรือ “ความรู้สึก” ขับเคลื่อนในการทำงาน การที่มันมีปฏิกิริยาต่อกัน(การยึดมั่น)ทำให้เกิดมีอาการทางความรู้สึกเกิดขึ้น(เจตสิก) แต่ปกติมันไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อกันอยู่ตลอดเวลา คือมัน “ว่าง”อยู่ มันจะมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเมื่อเราใช้งานมันอยู่เท่านั้น ที่เป็นอยู่เรามีอาการยึดมั่นทางความรู้สึกอยู่นั่นเอง คือเราเปิดเครื่องอยู่ตลอดเวลา.
“อาการยึดมั่น”จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจว่ามันคืออะไร เราจะเข้าใจอาการนี้ได้ก็ต่อเมื่อเห็นอาการที่มันหยุดไป(จิตหลุดจากการยึดมั่น) เมื่อมันมีอาการทางกายเกิดขึ้นมันส่งผลทางความรู้สึกนั่นเอง เราจึงเข้าใจได้ว่าเรา “การยึดมั่น”คือความหลงในความรู้สึกของตนเองอยู่ การยึดมั่นคือการมี่เราสมมุตตัวเองทางความรู้สึกอยู่ และเราก็สมมุติสิ่งต่างๆอยู่ คือการสร้างภาพทางความรู้สึก การเห็นหรือการสัมผัสสภาวะนี้ทางความรู้สึกได้จึงเกิดเป็นความเข้าใจ คือตัวเรามีการทำงานทางความรู้สึกคือการสมมุติสิ่งต่างๆอยู่ มันจึงเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง........การเข้าใจได้อย่างนี้จึงเป็นการรู้แจ้ง คือการเข้าใจในความเป็นเหตุผล ว่าธรรมชาติมันทำงานให้เกิดเป็นตัวเราอยู่อย่างไร การเข้าใจได้จึงต้องหยุดอาการนี้ลง เหมือนเรากำลังเปิดทีวีดูละครน้ำเน่าอยู่นั่นเอง จะมีสาระได้อย่างไร นอกจากการสมมุติทางความรู้สึกเพ้อเจ้ออยู่เท่านั้น.
........การที่ความรู้สึกยึดมั่นหยุดไป จึงเห็นอาการที่ความรู้สึกทำงานอยู่ ถ้าอาการยึดมั่นมีมากจะเกิดความรู้สึกหยาบ การแปรปรวนก็มีมาก(การเกิดกิเลส,การเกิดระดับของจิตสำนึก) ถ้าอาการยึดมั่นมีน้อยหรือเบาบาง ก็มีความรู้สึกละเอียดอ่อน(กิเลสหยาบไม่เกิด,ระดับจิตสำนึกสูงขึ้น) การยึดมั่นจึงทำให้เกิดเป็นมิติทางความรู้สึกคือมีอาการทางความรู้สึกเกิดขึ้น ระดับของการเข้าใจก็แตกต่างกัน แต่ถ้ามันหยุดลงหรือหยุดไป จึงเกิดเป็นความกระจ่าง ว่าเราใช้ความรู้สึกทำงานอยู่นั่นเองจึงทำให้เกิดอาการยึดมั่น เหมือนเราเปิดทีวีมันก็ทำงานของมันอยู่ ถ้าเราปิด(หยุดการยึดมั่น,หยุดปล่อยการแสไฟ)การทำงานของมันก็หยุดลง แต่การที่เรามีชีวิตอยู่เรายังปล่อยกระแสไฟอยู่ แต่ถ้าจอทีวีไม่ทำงานมันก็ว่าง แต่ในความเป็นมนุษย์การยึดมั่นไม่มีอยู่หรือมีน้อย เราจึงมี “สติ-สัมปชัญญะ”ทำงานอยู่ หยุดดูละครน้ำเน่าที่เกิดจากการปรุงแต่งของจิต.
แต่ถ้าไม่เกิดการเข้าใจสิ่งที่จะต้องทำคือการขัดเกลาอาการยึดมั่นให้อ่อนตัวลงเบาบางลง ซึ่งจะมีอาการสัมพันธ์กับระดับของจิตสึกนึก จึงทำให้เกิดเป็นภพ สัตว์นรกมีจิตสำนึกต่ำกว่าอรูปพรหม อาการยึดมั่นมีมากกว่า การอยู่ในชั้นของอรูปพรหมจึงมีโอกาสหลุดพ้นได้ คือทำความรู้สึกให้ “ว่าง”อยู่เสมอนั่นเอง...
.......................โดยสรุป “ตัวเรา”มันจึงเป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น(ปรมัตถธรรมธาตุ) ความหมายมีอยู่เท่านี้ การยึดมั่นจึงเหมือนการไปยึดเอาธรรมชาติมาเป็น “ตัวเอง”หรือเอามาเป็น “ของตน” จึงมองดูเหมือนกับไม่เป็นสาระอยู่ จึงต้องหยุดอาการยึดมั่น ซึ่งเป็นการเสพรสของโลกอยู่ เป็นความหลงเกิดอยู่เป็นการทำงานของธรรมชาติเท่านั้น..............การไม่ยึดมั่นจึงเกิดเป็นอาการ “ว่าง” จาก “ตัวตน”
.........................................................................................................................................................................