การเป็นสิ่งที่มีชีวิต
สิ่งที่มีชีวิตมีมวลสารกับพลังงานทำงานร่วมกัน ซึ่งมีรูปแบบทางโครงสร้างเฉพาะของตนเอง(DNA)........
พลังงานที่แสดงอาการทางความรู้สึก มีการก่อตัว คลายตัวสลับกันอยู่ตลอดเวลา(การสั่นเสทือน) มันแสดงเป็นอาการทางความรู้สึก
ของเรานั่นเอง การที่เรามีอาการทางความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา(อัตตา) เกิดจากพลังงานที่แสดงอาการทางความรู้สึกนั่นเองก่อตัวขึ้นมา
และเกิดเป็นอาการเกิดขึ้น คือความรู้สึกที่แสดงเป็นความรู้สึกของเรา ว่าเป็นตัวเรานั่นเอง เป็นการก่อตัวทางพลังงาน และเกิดเป็นมิติ
(ภพ) เราจึงรู้สึกว่ามันมีตัวเราเกิดอยู่ แท้จริงมันคือการก่อตัวทางความรู้สึก(พลังงาน)นั่นเอง และการที่เราเกิดความรู้สึกว่าเป้นตัวเรานั่นคือการแสดงเป็นมิติ เราจึงรู้สึกว่ามันเป้นตัวเรา แยกออกมาจากธรรมชาติ อาการนี้เกิดจากการยึดมั่น(การก่อตัวของความรู้สึกที่เป็นพลังงาน) ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง และความรู้สึกที่เกิดเป็นตัวเราแสดงอาการเป็นตัวตน มันจึงมีอาการดิ้นรนพร้อมที่จะมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ มันจึงเกิดเป็นอาการดิ้นรน จึงเกิดเป็นอาการทางความรู้สึกได้อีกหลายๆรูปแบบ(เจตสิก) อาการดิ้นรนจากความเป็นตัวตนที่เกิดขึ้นนั่นเองทำให้เราเกิดเป็นทุกข์ การที่จะไม่ให้มันเกิดเป็นทุกข์ต้องทำให้มันสงบลงจนสลายไป กลับไปเป็นพลังงานธรรมชาติตามเดิมอาการดิ้นรนทำให้เกิดเป็นทุกข์นี้จึงจะสงบลง.
.............แต่ปัญหาคือ เราไม่อาจจะทำให้มันสงบลงได้นั่นเอง แต่อาจจะทำให้มันแปรปรวนน้อยลงได้ โดยการนั่งสมาธิ หรือการมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจะทำให้การก่อตัวไม่เกิดขึ้น หรือไม่จับกันเป็นก้อนคืออาการที่เกิดเป็นกิเลส การเกิดความรู้สึกเกิดเป็นอาการ(รูป,กิเลส)เกิดจากการที่เราใช้ความรู้สึกทำงานอยู่นั่นเอง การทำงานทางความรู้สึกทำให้เกิดอาการยึดมั่นเกิดขึ้น ถ้าอาการยึดมั่นนี้หยุดลง(หรือหลุดจากอาการยึดมั่น) เราจึงจะเห็นอาการยึดมั่นที่เกิดจากความรู้สึกถ้าอาการนี้เกิดขึ้นเราจะรู้สึกว่าความรู้สึกของเรามันแยกตัวออกไปจากการยึดมันกับกาย การเห็น(สัมผัส)อาการนี้ได้ทางความรู้สึกเราจึงจะเข้าใจเหตุการเกิดเป็นอาการทางความรู้สึก การยึดมั่นหยุดไปเราจะเกิดอาการทางความรู้สึกเป็นอาการว่าง ถ้ามีอาการทางความรู้สึกเกิดอยู่มันจะสลายไป.
การที่เราใช้ความรู้สึกทำงานทำให้มันเกิดการยึดมั่น เพราะมันต้องมีอาการรู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่นั่นเอง อาการที่เกิดการรู้อยู่นั่นเองคืออาการยึดมั่นที่เกิดอยู่ เราอาจจะพิจารณาความรู้สึกของเราว่ามันมีอาการอย่างใดเกิดอยู่ มันมีสิ่งใดที่เรากำลังเกิดอยู่หรือมันว่างอยู่ ถ้ามันมีสิ่งที่เกิดอยู่มันจะมีอาการเกิดขึ้นหรือเกิดเป็นภาพ(รูป&อรูป) เราต้องกวาดอาการนั้นออกไป ให้มันว่างอยู่ตามที่มันเป็นจริงคือไม่มีสิ่งใดเกิดอยู่ เพราะถ้ามันมีสิ่งใดเกิดอยู่ มันจะมีอาการเกิดขึ้นเราจึงต้องสลายอาการนั้นโดยทำให้มันว่างอยู่ ถ้ามันมีความว่างเกิดอยู่สิ่งอื่นก้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันจะเกิดอาการได้ทีละอย่างนั่นเองเราจึงให้ความว่างมันครองอยู่อาการต่างๆทางความรู้สึกจึงจะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าจะพิจารณาในอีกแง่หนึ่งว่าการปรุงแต่งคือการก่อรูปทางพลังงานนั่นเอง ทำให้ความรู้สึกของเรามีอาการเกิดขึ้น ถ้าเราสลายอาการที่เกิดอยู่มันจะคืนสู่ความเป็นพลังงานตามเดิม ไม่มีอาการเกิดอยู่ ไม่มีการปรุงแต่งเกิดอยู่ มันจึงจะไม่เกิดอาการก่อตัว คลายตัวเกิดอยู่ ไม่เกิดการสั่นเสทือนให้มีอาการเกิดขึ้น มันจึงจะจบเหตุลงได้ คือเป็นเพียงธาตุธรรมชาติ คือมีแต่ความเป้นพลังงานเท่านั้น การที่เราจะจบอาการของมันได้เราต้องเข้าใจความจริงของมันให้ถูกต้องว่า เหตุที่มันเกิดเป็นอาการเพราะเราทำให้มันก่อตัวเกิดขึ้นนั่นเอง ถ้ามันไม่ก่อตัวมันจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่เป็นอยู่จึงเป็นภาพมายาที่เกิดจากความรู้สึกของเราเท่านั้น ในความเป็นจริงมันไม่มีอะไรเกิดอยู่ เพราะมันมีแต่พลังงานหรือธาตุทั้งสี่เท่านั้นก่อตัวปรุงแต่งมีปฏิกิริยาเกิดอยู่ การเกิดเป็นความรู้สึกของเราจึงเหมือนการที่อนุภาคมันวิ่งชนกันอยู่เท่านั้น การก่อตัวของมันทำให้เกิดเป็นความรู้สึก มันจังเป้นภาพมายาจากธรรมชาติ ที่เกิดเป็นตัวเรา ความรู้สึกของเรา แท้จริงไม่มีอะไรเกิดอยู่ เพราะมันเป็นเพียงอาการที่เกิดจากปฏิกิริยาทางพลังงานเท่านั้น การเกิดเป็นความเข้าใจนี้เราจึงต้องดูมันเฉยๆ อย่าให้มันเกิดอาการว่าเป้นตัวเรา ของเรา คือการที่อนุภาคมันก่อตัวขึ้นมาเท่านั้นคืความจริงทางธรรมชาติที่เกิดอยู่ จึงให้มองความรู้สึกของตามที่มันเป็นจริงคือเป็นอาการที่อนุภาควิ่งชนกันอยู่เท่านั้น.
(อ้างอิง ทฤษฎี สัมพัทธภาพ/ควันตั้ม, จุฬสุญญตสูตร)
การเป็นสิ่งที่มีชีวิต
การเป็นสิ่งที่มีชีวิต
สิ่งที่มีชีวิตมีมวลสารกับพลังงานทำงานร่วมกัน ซึ่งมีรูปแบบทางโครงสร้างเฉพาะของตนเอง(DNA)........
พลังงานที่แสดงอาการทางความรู้สึก มีการก่อตัว คลายตัวสลับกันอยู่ตลอดเวลา(การสั่นเสทือน) มันแสดงเป็นอาการทางความรู้สึก
ของเรานั่นเอง การที่เรามีอาการทางความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา(อัตตา) เกิดจากพลังงานที่แสดงอาการทางความรู้สึกนั่นเองก่อตัวขึ้นมา
และเกิดเป็นอาการเกิดขึ้น คือความรู้สึกที่แสดงเป็นความรู้สึกของเรา ว่าเป็นตัวเรานั่นเอง เป็นการก่อตัวทางพลังงาน และเกิดเป็นมิติ
(ภพ) เราจึงรู้สึกว่ามันมีตัวเราเกิดอยู่ แท้จริงมันคือการก่อตัวทางความรู้สึก(พลังงาน)นั่นเอง และการที่เราเกิดความรู้สึกว่าเป้นตัวเรานั่นคือการแสดงเป็นมิติ เราจึงรู้สึกว่ามันเป้นตัวเรา แยกออกมาจากธรรมชาติ อาการนี้เกิดจากการยึดมั่น(การก่อตัวของความรู้สึกที่เป็นพลังงาน) ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริง และความรู้สึกที่เกิดเป็นตัวเราแสดงอาการเป็นตัวตน มันจึงมีอาการดิ้นรนพร้อมที่จะมีปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆ มันจึงเกิดเป็นอาการดิ้นรน จึงเกิดเป็นอาการทางความรู้สึกได้อีกหลายๆรูปแบบ(เจตสิก) อาการดิ้นรนจากความเป็นตัวตนที่เกิดขึ้นนั่นเองทำให้เราเกิดเป็นทุกข์ การที่จะไม่ให้มันเกิดเป็นทุกข์ต้องทำให้มันสงบลงจนสลายไป กลับไปเป็นพลังงานธรรมชาติตามเดิมอาการดิ้นรนทำให้เกิดเป็นทุกข์นี้จึงจะสงบลง.
.............แต่ปัญหาคือ เราไม่อาจจะทำให้มันสงบลงได้นั่นเอง แต่อาจจะทำให้มันแปรปรวนน้อยลงได้ โดยการนั่งสมาธิ หรือการมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนลง ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจะทำให้การก่อตัวไม่เกิดขึ้น หรือไม่จับกันเป็นก้อนคืออาการที่เกิดเป็นกิเลส การเกิดความรู้สึกเกิดเป็นอาการ(รูป,กิเลส)เกิดจากการที่เราใช้ความรู้สึกทำงานอยู่นั่นเอง การทำงานทางความรู้สึกทำให้เกิดอาการยึดมั่นเกิดขึ้น ถ้าอาการยึดมั่นนี้หยุดลง(หรือหลุดจากอาการยึดมั่น) เราจึงจะเห็นอาการยึดมั่นที่เกิดจากความรู้สึกถ้าอาการนี้เกิดขึ้นเราจะรู้สึกว่าความรู้สึกของเรามันแยกตัวออกไปจากการยึดมันกับกาย การเห็น(สัมผัส)อาการนี้ได้ทางความรู้สึกเราจึงจะเข้าใจเหตุการเกิดเป็นอาการทางความรู้สึก การยึดมั่นหยุดไปเราจะเกิดอาการทางความรู้สึกเป็นอาการว่าง ถ้ามีอาการทางความรู้สึกเกิดอยู่มันจะสลายไป.
การที่เราใช้ความรู้สึกทำงานทำให้มันเกิดการยึดมั่น เพราะมันต้องมีอาการรู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่นั่นเอง อาการที่เกิดการรู้อยู่นั่นเองคืออาการยึดมั่นที่เกิดอยู่ เราอาจจะพิจารณาความรู้สึกของเราว่ามันมีอาการอย่างใดเกิดอยู่ มันมีสิ่งใดที่เรากำลังเกิดอยู่หรือมันว่างอยู่ ถ้ามันมีสิ่งที่เกิดอยู่มันจะมีอาการเกิดขึ้นหรือเกิดเป็นภาพ(รูป&อรูป) เราต้องกวาดอาการนั้นออกไป ให้มันว่างอยู่ตามที่มันเป็นจริงคือไม่มีสิ่งใดเกิดอยู่ เพราะถ้ามันมีสิ่งใดเกิดอยู่ มันจะมีอาการเกิดขึ้นเราจึงต้องสลายอาการนั้นโดยทำให้มันว่างอยู่ ถ้ามันมีความว่างเกิดอยู่สิ่งอื่นก้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันจะเกิดอาการได้ทีละอย่างนั่นเองเราจึงให้ความว่างมันครองอยู่อาการต่างๆทางความรู้สึกจึงจะไม่เกิดขึ้น หรือถ้าจะพิจารณาในอีกแง่หนึ่งว่าการปรุงแต่งคือการก่อรูปทางพลังงานนั่นเอง ทำให้ความรู้สึกของเรามีอาการเกิดขึ้น ถ้าเราสลายอาการที่เกิดอยู่มันจะคืนสู่ความเป็นพลังงานตามเดิม ไม่มีอาการเกิดอยู่ ไม่มีการปรุงแต่งเกิดอยู่ มันจึงจะไม่เกิดอาการก่อตัว คลายตัวเกิดอยู่ ไม่เกิดการสั่นเสทือนให้มีอาการเกิดขึ้น มันจึงจะจบเหตุลงได้ คือเป็นเพียงธาตุธรรมชาติ คือมีแต่ความเป้นพลังงานเท่านั้น การที่เราจะจบอาการของมันได้เราต้องเข้าใจความจริงของมันให้ถูกต้องว่า เหตุที่มันเกิดเป็นอาการเพราะเราทำให้มันก่อตัวเกิดขึ้นนั่นเอง ถ้ามันไม่ก่อตัวมันจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ที่เป็นอยู่จึงเป็นภาพมายาที่เกิดจากความรู้สึกของเราเท่านั้น ในความเป็นจริงมันไม่มีอะไรเกิดอยู่ เพราะมันมีแต่พลังงานหรือธาตุทั้งสี่เท่านั้นก่อตัวปรุงแต่งมีปฏิกิริยาเกิดอยู่ การเกิดเป็นความรู้สึกของเราจึงเหมือนการที่อนุภาคมันวิ่งชนกันอยู่เท่านั้น การก่อตัวของมันทำให้เกิดเป็นความรู้สึก มันจังเป้นภาพมายาจากธรรมชาติ ที่เกิดเป็นตัวเรา ความรู้สึกของเรา แท้จริงไม่มีอะไรเกิดอยู่ เพราะมันเป็นเพียงอาการที่เกิดจากปฏิกิริยาทางพลังงานเท่านั้น การเกิดเป็นความเข้าใจนี้เราจึงต้องดูมันเฉยๆ อย่าให้มันเกิดอาการว่าเป้นตัวเรา ของเรา คือการที่อนุภาคมันก่อตัวขึ้นมาเท่านั้นคืความจริงทางธรรมชาติที่เกิดอยู่ จึงให้มองความรู้สึกของตามที่มันเป็นจริงคือเป็นอาการที่อนุภาควิ่งชนกันอยู่เท่านั้น.
(อ้างอิง ทฤษฎี สัมพัทธภาพ/ควันตั้ม, จุฬสุญญตสูตร)