“อมตธาตุ” (อมต + ธาตุ)
“อมต” หมายถึง “ไม่ตาย” หรือ “ไม่มีความตาย
“ธาตุ” หมายถึง “ธรรมชาติที่ทรงไว้” หรือ “สิ่งที่คงอยู่โดยสภาพ”
ดังนั้น “อมตธาตุ” จึงหมายถึง
สภาพธรรมอันไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ตาย ไม่แปรเปลี่ยน เป็นธรรมชาตินิรันดร
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อมตธาตุ” คือ พระนิพพานธาตุ
เป็นธรรมชาติที่สงบจากสังขารทั้งปวง
ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม พ้นจากขันธ์ ๕ พ้นจากความปรุงแต่ง (อสังขตธาตุ)
พระพุทธเจ้าทรงตรัสชัดเจนว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อมตธาตุมีอยู่ คือความดับแห่งตัณหา ความสิ้นแห่งอุปาทาน ความดับแห่งตัณหานั่นแลเรียกว่าอมตธาตุ”
คำว่า “น้อมจิตลงในอมตธาตุ” เป็นภาษาธรรมลึกซึ้งระดับ ภาวนามัยปัญญา ซึ่งหมายถึงช่วงที่ จิตเริ่มคลายจากขันธ์ 5 และสังขารทั้งปวง แล้วน้อมจิตเข้าสู่สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ คือ อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ
น้อมจิตเข้าหาความสงบ → คือ การเข้าสัมมาสมาธิ ฌาน 1-4
น้อมจิตเข้าหาธรรม → คือ การวิปัสสนาให้เห็นขันนธ์ 5 เป็นไปตามไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
น้อมจิตลงในอมตธาตุ → คือ เมื่อจิตเบื่อหน่ายและพรากออกจากขันธ์ 5 และกิเลส อวิชชา ดับตัณหา ดับอุปาทานในขันธ์ 5 จิตจะไม่ยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่ความคิด
จิตไม่เคลื่อนไปไหน ไม่ก่อภพชาติใหม่
จิตจะน้อมจิตจะไม่ยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่ความคิด
จิตไม่เคลื่อนไปไหน ไม่ก่อภพชาติใหม่
จิตจะน้อมเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันเอง คือ สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ยึดสังขารใดเลย เรียกว่า
“ธรรมธาตุ” หรือ “อมตธาตุ” หรือ “นิพพานธาตุ”
ซึ่งหมายถึง ธรรมชาติบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นจิต ไม่เป็นสังขาร เป็นเพียงสภาวะรู้อันบริสุทธิ์ ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เสื่อม
หลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัวอธิบายไว้ว่า
“เมื่อจิตสงบจากการปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันไม่เกิดไม่ดับนั้น คืออมตธาตุ”
“น้อมจิตลงในอมตธาตุ” เกิดตามลำดับนี้
1. เจริญสมาธิจนจิตเป็นสัมมาสมาธิ ฌาน 1-4
2. วิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เห็นไตรลักษณ์ของสังขารและขันธ์ 5 ทั้งปวง เห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้ยย่อมดับลง” จิตเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นในขันธ์ ๕
3. จิตปล่อยวางแม้แต่ผู้รู้ ไม่ยึดว่า “นี่เรารู้” หรือ “นี่คือจิตของเรา” จิตหยุดปรุงในที่สุด
4. จิตน้อมลงในอมตธาตุ จิตปล่อยวางสิ้นเชิง จิตแล่นไปสู่สภาวะหยุดนิ่งในความสงบเย็นอันไม่มีการเกิดดับ ณ จุดนั้น ไม่มี “เรา” ไม่มี “เขา” เหลือแต่ “ธรรมชาติบริสุทธิ์”
“น้อมจิตลงในอมตธาตุ”
หมายถึงการที่จิตละการปรุงแต่งทั้งหมด ปล่อยหมดทั้งรูปนาม อัตตา และสังขาร
แล้วหันเข้าสู่ธรรมชาติอันไม่เกิดไม่ดับ เรียกว่า พระนิพพานธาตุ
กลับสู่ “ธรรมชาติเดิมแท้”
อันเป็นความสงบเย็นตลอดกาล
ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง
มีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
“นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน”
น้อมจิตลงในอมตธาตุ คือ พระนิพพาน
“อมต” หมายถึง “ไม่ตาย” หรือ “ไม่มีความตาย
“ธาตุ” หมายถึง “ธรรมชาติที่ทรงไว้” หรือ “สิ่งที่คงอยู่โดยสภาพ”
ดังนั้น “อมตธาตุ” จึงหมายถึง
สภาพธรรมอันไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ตาย ไม่แปรเปลี่ยน เป็นธรรมชาตินิรันดร
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อมตธาตุ” คือ พระนิพพานธาตุ
เป็นธรรมชาติที่สงบจากสังขารทั้งปวง
ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่ใช่รูป ไม่ใช่นาม พ้นจากขันธ์ ๕ พ้นจากความปรุงแต่ง (อสังขตธาตุ)
พระพุทธเจ้าทรงตรัสชัดเจนว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อมตธาตุมีอยู่ คือความดับแห่งตัณหา ความสิ้นแห่งอุปาทาน ความดับแห่งตัณหานั่นแลเรียกว่าอมตธาตุ”
คำว่า “น้อมจิตลงในอมตธาตุ” เป็นภาษาธรรมลึกซึ้งระดับ ภาวนามัยปัญญา ซึ่งหมายถึงช่วงที่ จิตเริ่มคลายจากขันธ์ 5 และสังขารทั้งปวง แล้วน้อมจิตเข้าสู่สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ คือ อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ
น้อมจิตเข้าหาความสงบ → คือ การเข้าสัมมาสมาธิ ฌาน 1-4
น้อมจิตเข้าหาธรรม → คือ การวิปัสสนาให้เห็นขันนธ์ 5 เป็นไปตามไตรลักษณ์ คือ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
น้อมจิตลงในอมตธาตุ → คือ เมื่อจิตเบื่อหน่ายและพรากออกจากขันธ์ 5 และกิเลส อวิชชา ดับตัณหา ดับอุปาทานในขันธ์ 5 จิตจะไม่ยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่ความคิด
จิตไม่เคลื่อนไปไหน ไม่ก่อภพชาติใหม่
จิตจะน้อมจิตจะไม่ยึดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือแม้แต่ความคิด
จิตไม่เคลื่อนไปไหน ไม่ก่อภพชาติใหม่
จิตจะน้อมเข้าสู่ธรรมชาติเดิมแท้ของมันเอง คือ สภาวะที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ยึดสังขารใดเลย เรียกว่า
“ธรรมธาตุ” หรือ “อมตธาตุ” หรือ “นิพพานธาตุ”
ซึ่งหมายถึง ธรรมชาติบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นจิต ไม่เป็นสังขาร เป็นเพียงสภาวะรู้อันบริสุทธิ์ ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เสื่อม
หลวงปู่มั่นและหลวงตามหาบัวอธิบายไว้ว่า
“เมื่อจิตสงบจากการปรุงแต่งทั้งปวงแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันไม่เกิดไม่ดับนั้น คืออมตธาตุ”
“น้อมจิตลงในอมตธาตุ” เกิดตามลำดับนี้
1. เจริญสมาธิจนจิตเป็นสัมมาสมาธิ ฌาน 1-4
2. วิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ให้เห็นไตรลักษณ์ของสังขารและขันธ์ 5 ทั้งปวง เห็นว่า “สิ่งที่เกิดขึ้ยย่อมดับลง” จิตเบื่อหน่ายคลายความยึดมั่นในขันธ์ ๕
3. จิตปล่อยวางแม้แต่ผู้รู้ ไม่ยึดว่า “นี่เรารู้” หรือ “นี่คือจิตของเรา” จิตหยุดปรุงในที่สุด
4. จิตน้อมลงในอมตธาตุ จิตปล่อยวางสิ้นเชิง จิตแล่นไปสู่สภาวะหยุดนิ่งในความสงบเย็นอันไม่มีการเกิดดับ ณ จุดนั้น ไม่มี “เรา” ไม่มี “เขา” เหลือแต่ “ธรรมชาติบริสุทธิ์”
“น้อมจิตลงในอมตธาตุ”
หมายถึงการที่จิตละการปรุงแต่งทั้งหมด ปล่อยหมดทั้งรูปนาม อัตตา และสังขาร
แล้วหันเข้าสู่ธรรมชาติอันไม่เกิดไม่ดับ เรียกว่า พระนิพพานธาตุ
กลับสู่ “ธรรมชาติเดิมแท้”
อันเป็นความสงบเย็นตลอดกาล
ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
[๑๕๘] ดูกรอานนท์ ภิกษุบรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน ด้วยบริกรรมว่า อากาศไม่มีที่สุด เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา และเพราะไม่มนสิการนานัตตสัญญา
โดยประการทั้งปวง เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมเหล่านั้นคือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่ง
มีอยู่ในฌานนั้นโดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค เป็นดังหัวฝี เป็นดังลูกศร เป็นความลำบาก
เป็นไข้ เป็นอื่น เป็นของทรุดโทรม เป็นของสูญ เป็นของไม่มีตัวตน. เธอให้จิตดำเนินไปด้วย
ธรรมเหล่านั้น ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น ย่อมบรรลุการสิ้นอาสวะ ถ้าไม่บรรลุ จะเป็นโอปปาติกะ
“นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน”