ไม่ต้องทุ่มเงินล้านก็สุขภาพดีได้! “ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ซีอีโอแห่งบิทคับ ชวนคนทำงานหันมาโฟกัส “Longevity 0 บาท” วิธีดูแลสุขภาพแบบพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุด เพื่อยืดอายุให้ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ เมื่อเทรนด์ Longevity ไม่ใช่แค่การรักษาที่ปลายเหตุ แต่คือการลงทุนเสริมสร้างสุขภาพที่ดีระยะยาว
อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับคำว่า Longevity หรือการมี “อายุยืนอย่างมีคุณภาพ” ไม่ใช่เพียงแค่ยืดชีวิตให้ยาวขึ้น แต่หมายถึงการมีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลโรค และยังสามารถทำงาน ใช้ชีวิต และทำสิ่งที่รักได้เต็มที่แม้จะอายุมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่เผชิญแรงกดดันทั้งงานและสังคม เทรนด์ Longevity กำลังมาแรงอย่างมาก เพราะทุกคนเริ่มเห็นตรงกันว่า สุขภาพที่ดีคือสินทรัพย์ที่แท้จริง มากกว่าเงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่การงาน แม้แต่ผู้นำองค์กรและผู้บริหารระดับสูงก็หันมาสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
จากเคยเสียเงินหลักล้าน สู่การค้นพบ “Longevity 0 บาท”
ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและ Group CEO ของบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ก็ถือเป็นอีกคนหนึ่งในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ชอบทดลองวิธีการดูแลสุขภาพแนวล้ำสมัย เขาเคยลงทุนกว่า 5 ล้านบาท กับเทคโนโลยีเพื่อชะลอวัย ตั้งแต่ Red Light Therapy, Hyperbaric Oxygen Chamber ไปจนถึง NK Cell และ NAD Therapy
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาอยากสื่อสารจริงๆ ไม่ใช่การอวดวิถีสุขภาพหรูหรา เพราะท๊อปย้ำว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “fancy stuff” ที่มีผลแค่ 20% ต่อสุขภาพระยะยาว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “fundamental stuff” ที่มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของร่างกาย สุขภาพ และการมีอายุยืนถึง 80% ซึ่งมาจากสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เขาเรียกสิ่งนั้นว่า “Longevity 0 บาท”
มุ่งเน้นไปที่การสร้างสุขภาพเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่ต้นทาง แก้ไขที่รากฐานของสาเหตุความแก่ชราในระบบชีววิทยา ที่เชื่อมโยงกันทั่วทั้งร่างกาย เพื่อให้เราไม่เจ็บป่วย แทนที่จะรอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา การสร้างสุขภาพที่ดีจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและกำจัดโรคได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะ "โรคกับสุขภาพไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในร่างกาย"
ซีอีโอบิทคับชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในกลุ่มคนไทยและอเมริกัน 100 คน จะมีเพียง 6 คน เท่านั้นที่มี "สุขภาพเมตาบอลิซึมเป็นปกติ" ขณะที่อีก 94 คน อยู่ในภาวะ “เจ็บป่วยเงียบ” หรือมีความผิดปกติในระบบร่างกาย แต่ยังไม่แสดงอาการ
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่ายังแข็งแรง ทั้งที่ไลฟ์สไตล์พาร่างพัง!
สิ่งนี้สะท้อนว่าคนทำงานจำนวนมากกำลังเข้าใจผิดว่าตัวเองแข็งแรง ทั้งที่ในความเป็นจริงกำลังเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด หรือแม้แต่มะเร็ง โดยสาเหตุสำคัญมาจาก ไลฟ์สไตล์ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่นสิ่งที่คนเรากิน ดื่ม พฤติกรรมการทำงานและการนอนหลับ ที่สวนทางกับ DNA ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ
สภาพแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ไร้ขอบเขต การเดินทางสะดวกสบายทั้งกลางวันกลางคืน คนเราใช้ชีวิตในป่าคอนกรีตมากขึ้น ในขณะที่ DNA ของมนุษย์เรา ซึ่งส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ไม่ได้วิวัฒนาการไปรวดเร็วขนาดนั้น การใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับ DNA ของบรรพบุรุษ (ตื่นนอนพร้อมพระอาทิตย์ขึ้นและนอนพร้อมพระอาทิตย์ตก) ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างร่างกายกับสภาพแวดล้อม นำไปสู่อายุที่สั้นลงและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถึง 155,000 อาการ
ขณะเดียวกัน แม้หลายคนเชื่อว่า “พันธุกรรม” คือสิ่งกำหนดชะตาสุขภาพ แต่ท๊อปกลับย้ำว่า DNA มีผลเพียง 5-10% เท่านั้น ส่วนอีกกว่า 90% มาจากการเลือกใช้ชีวิตของเราเอง ตั้งแต่การเลือกว่าจะนอนกี่โมง เลือกว่าจะกินอะไร หรือออกกำลังกายหรือไม่
พูดง่ายๆ ก็คือ สุขภาพของเราคือ ผลลัพธ์จากการตัดสินใจรายวัน ไม่ใช่โชคชะตาที่เปลี่ยนไม่ได้
6 กฎเหล็ก Longevity 0 บาท ที่วัยทำงานต้องฝึกทำก่อนจะสายไป
ทั้งนี้ ซีอีโอบิทคับ ได้ให้คำแนะนำโดยสรุปออกมาเป็น “กฎเหล็ก 6 ข้อ” ของการดูแลสุขภาพแบบ Longevity 0 บาท ที่ใครก็ทำได้ดังนี้
1. การนอนหลับให้เพียงพอ และมีคุณภาพ
การนอนคือ “กระดุมเม็ดแรก” ของสุขภาพ ไม่ใช่เรื่องน่าอายหากนอนครบ 8 ชั่วโมง ในทางตรงกันข้าม คนที่นอนพอนั้นแหละคือคนที่กำลังลงทุนกับสุขภาพระยะยาว ทั้งนี้ในแต่ละคืน ต้องนอนได้อย่างมีคุณภาพด้วย คือต้องมีทั้ง REM Sleep (ช่วยเคลียร์ความจำและซ่อมสมอง) และ Deep Sleep (ซ่อมแซมร่างกาย)
อีกทั้งวัยทำงานควรใช้ชีวิตตาม Circadian Rhythm ตื่นพร้อมพระอาทิตย์ และพักผ่อนเมื่อพระอาทิตย์ตก บรรพบุรุษของเราเคยทำเช่นนั้น แต่ปัจจุบันเรามักไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเลย ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สอดคล้องกับจังหวะธรรมชาติ
2. เลือกกินอาหารที่ดี
อาหารที่เรารับประทานคือ "ข้อมูล" ที่ป้อนเข้าสู่ร่างกาย ทุกคำที่กลืนเข้าไปเป็นการ "recode" ร่างกายแบบเรียลไทม์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อเกิดโทษ ได้แก่ น้ำตาลและแป้ง (Starch and Sugar) แป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล บรรพบุรุษของเราบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยเพียง 1 ช้อนชาตลอดทั้งปี ผิดกับเราที่ดื่มชานมไข่มุกหลายแก้วต่อวัน การกินน้ำตาลและแป้งมากเกินไปทำให้ร่างกายรวน และยังเพิ่มไขมันไม่ดี (LDL, ไตรกลีเซอไรด์) ซึ่งทำให้หลอดเลือดหัวใจอุดตัน
หลีกเลี่ยงน้ำมันพืชกลั่นเป็นน้ำมันปรุงแต่งรสที่ไม่ควรบริโภค, ลดบริโภคนมวัว 97% ของคนเอเชียแพ้นมวัว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะลำไส้รั่ว ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้, ลดอาหารแปรรูป ส่งผลให้ระบบสื่อสารในร่างกายรวน ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและซ่อมแซมตัวเองได้ดี
ขณะเดียวกันก็ควรเพิ่มผักหลากสี เน้นและโภชนาการแบบ Whole Food และโปรตีนคุณภาพ โดยเฉพาะมื้อเช้าควรเป็นโปรตีนสูง เพื่อช่วยลดความอยากอาหารและขนมขบเคี้ยวระหว่างวัน เพียงแค่เปลี่ยนการกินอาหารก็สามารถ "รีเซ็ต" ร่างกายได้ภายใน 4-8 สัปดาห์
3. กล้ามเนื้อคือสกุลเงินของการชะลอวัย
การออกกำลังกายไม่ใช่ทางเลือก แต่คือสิ่งจำเป็นเหมือนการแปรงฟัน กล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยย่อยน้ำตาลและดูดซึมกรดไขมันต่างๆ และเนื่องจากหลังอายุ 35 ปี เราจะสูญเสียกล้ามเนื้อปีละ 1% ดังนั้น การออกกำลังกายคือการให้ Hormetic Stress ความเครียดเชิงบวกที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
แนะนำการสร้างกล้ามเนื้อที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธี Hypertrophy คือการยกน้ำหนักจนถึงเกือบหมดแรง (to almost failure set) ไม่ว่าจะด้วยน้ำหนักเบาหลายครั้ง หรือน้ำหนักมากแต่จำนวนครั้งน้อย ก็ให้ผลลัพธ์ในการสร้างกล้ามเนื้อเท่ากัน และควรเคลื่อนไหวร่างกายตลอดวัน มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้นั่งอยู่กับที่ ควรขยับตัวทุกๆ 45 นาที เช่น ลุกเดิน หรือทำ squat 10 ครั้ง จะดีกว่าการนั่ง 8 ชั่วโมงแล้วไปวิ่ง 10 กิโลเมตรตอนเย็นทีเดียว
4. มีเป้าหมายชีวิตและสังคมที่ดี
ความหมายของชีวิตและคนรอบข้างคือ “ยาอายุวัฒนะ” ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว คนที่เป้าหมายในชีวิตหรือความหมายของชีวิต ช่วยให้อายุยืนขึ้นได้เฉลี่ย 7 ปี เป้าหมายอาจเป็นการอยากมีสุขภาพที่ดีเพื่อไม่เป็นภาระผู้อื่นเมื่อแก่ หรือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคม
อีกทั้งการมีสังคมที่ดี เพื่อนที่ดี คนที่เข้าใจ และใช้เวลากับคนที่รักทุกวัน จะช่วยให้อายุยืนขึ้นและมีสุขภาพที่ดีอย่างมีคุณภาพ ความเหงาและความโดดเดี่ยวทำให้อายุสั้นลง
5. ขยับร่างกายและดื่มน้ำให้เพียงพอ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ควรนั่งอยู่เฉยๆ เพราะการใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งๆ ทำให้มีอายุสั้นลงได้ นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ภายในร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
6. จัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ
ต้องรู้จัก "ตัดสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ" ออกไป เช่น หลีกเลี่ยง PM 2.5 ตัวการเพิ่มโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย, หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม เป็นตัวการก่อให้เกิดมะเร็ง, ลดการอยู่ในอากาศรีไซเคิล (Recycle air) และควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศ หรือใช้เครื่องกรองอากาศที่มีคุณภาพ, งดการเข้าใกล้มลพิษในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ตึกปูน อิฐ เหล็ก หิน หรือเรียกว่า "คอนกรีตจังเกิล" ซึ่งไม่เข้ากับ DNA ตามธรรมชาติของมนุษย์
Longevity 0 บาท คือการหันกลับมาดูแล “สุขภาพพื้นฐาน” ที่หลายคนอาจละเลยไป ซีอีโอบิทคับเชื่อว่า หากสังคมไทยไม่เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ อีกไม่นานประเทศไทยอาจต้องเผชิญวิกฤติสุขภาพครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เพราะคนส่วนใหญ่กำลังป่วยโดยไม่รู้ตัว
หลักการทั้ง 6 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเริ่มทำได้ด้วยตัวเอง อาจต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ต้องใช้เงินแพงๆ การตระหนักรู้และลงมือทำในวันนี้ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังแข็งแกร่งในการพัฒนาประเทศต่อไป
Cr : Bangkok Biz News
https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1196885?fbclid=IwdGRjcAMkifdleHRuA2FlbQIxMQABHgizEVYwOzJlfXh1w5yp-qcEGa7fcVhhsvGSDO0bc7BY-WsBaE20K7whWc91_aem_z_bOtsj2Fo5YYi8F35lKDQ
ภาพจากกรุงเทพธุรกิจ
💡แนวทาง Longivity 0 บาท กับคุณท็อป จิรายุส บิทคับ
อย่างที่หลายคนรู้กันดีว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับคำว่า Longevity หรือการมี “อายุยืนอย่างมีคุณภาพ” ไม่ใช่เพียงแค่ยืดชีวิตให้ยาวขึ้น แต่หมายถึงการมีสุขภาพแข็งแรง ห่างไกลโรค และยังสามารถทำงาน ใช้ชีวิต และทำสิ่งที่รักได้เต็มที่แม้จะอายุมากขึ้น
โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ที่เผชิญแรงกดดันทั้งงานและสังคม เทรนด์ Longevity กำลังมาแรงอย่างมาก เพราะทุกคนเริ่มเห็นตรงกันว่า สุขภาพที่ดีคือสินทรัพย์ที่แท้จริง มากกว่าเงินทองหรือตำแหน่งหน้าที่การงาน แม้แต่ผู้นำองค์กรและผู้บริหารระดับสูงก็หันมาสนใจเรื่องนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
จากเคยเสียเงินหลักล้าน สู่การค้นพบ “Longevity 0 บาท”
ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและ Group CEO ของบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ก็ถือเป็นอีกคนหนึ่งในฐานะนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ชอบทดลองวิธีการดูแลสุขภาพแนวล้ำสมัย เขาเคยลงทุนกว่า 5 ล้านบาท กับเทคโนโลยีเพื่อชะลอวัย ตั้งแต่ Red Light Therapy, Hyperbaric Oxygen Chamber ไปจนถึง NK Cell และ NAD Therapy
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาอยากสื่อสารจริงๆ ไม่ใช่การอวดวิถีสุขภาพหรูหรา เพราะท๊อปย้ำว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง “fancy stuff” ที่มีผลแค่ 20% ต่อสุขภาพระยะยาว แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “fundamental stuff” ที่มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของร่างกาย สุขภาพ และการมีอายุยืนถึง 80% ซึ่งมาจากสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เขาเรียกสิ่งนั้นว่า “Longevity 0 บาท”
มุ่งเน้นไปที่การสร้างสุขภาพเพื่อป้องกันโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่ต้นทาง แก้ไขที่รากฐานของสาเหตุความแก่ชราในระบบชีววิทยา ที่เชื่อมโยงกันทั่วทั้งร่างกาย เพื่อให้เราไม่เจ็บป่วย แทนที่จะรอให้ป่วยแล้วค่อยรักษา การสร้างสุขภาพที่ดีจะช่วยให้เราสามารถป้องกันและกำจัดโรคได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะ "โรคกับสุขภาพไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในร่างกาย"
ซีอีโอบิทคับชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าตกใจว่า ในกลุ่มคนไทยและอเมริกัน 100 คน จะมีเพียง 6 คน เท่านั้นที่มี "สุขภาพเมตาบอลิซึมเป็นปกติ" ขณะที่อีก 94 คน อยู่ในภาวะ “เจ็บป่วยเงียบ” หรือมีความผิดปกติในระบบร่างกาย แต่ยังไม่แสดงอาการ
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่ายังแข็งแรง ทั้งที่ไลฟ์สไตล์พาร่างพัง!
สิ่งนี้สะท้อนว่าคนทำงานจำนวนมากกำลังเข้าใจผิดว่าตัวเองแข็งแรง ทั้งที่ในความเป็นจริงกำลังเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือด หรือแม้แต่มะเร็ง โดยสาเหตุสำคัญมาจาก ไลฟ์สไตล์ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ เช่นสิ่งที่คนเรากิน ดื่ม พฤติกรรมการทำงานและการนอนหลับ ที่สวนทางกับ DNA ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ
สภาพแวดล้อมของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ไร้ขอบเขต การเดินทางสะดวกสบายทั้งกลางวันกลางคืน คนเราใช้ชีวิตในป่าคอนกรีตมากขึ้น ในขณะที่ DNA ของมนุษย์เรา ซึ่งส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษ ไม่ได้วิวัฒนาการไปรวดเร็วขนาดนั้น การใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับ DNA ของบรรพบุรุษ (ตื่นนอนพร้อมพระอาทิตย์ขึ้นและนอนพร้อมพระอาทิตย์ตก) ทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างร่างกายกับสภาพแวดล้อม นำไปสู่อายุที่สั้นลงและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ถึง 155,000 อาการ
ขณะเดียวกัน แม้หลายคนเชื่อว่า “พันธุกรรม” คือสิ่งกำหนดชะตาสุขภาพ แต่ท๊อปกลับย้ำว่า DNA มีผลเพียง 5-10% เท่านั้น ส่วนอีกกว่า 90% มาจากการเลือกใช้ชีวิตของเราเอง ตั้งแต่การเลือกว่าจะนอนกี่โมง เลือกว่าจะกินอะไร หรือออกกำลังกายหรือไม่
พูดง่ายๆ ก็คือ สุขภาพของเราคือ ผลลัพธ์จากการตัดสินใจรายวัน ไม่ใช่โชคชะตาที่เปลี่ยนไม่ได้
6 กฎเหล็ก Longevity 0 บาท ที่วัยทำงานต้องฝึกทำก่อนจะสายไป
ทั้งนี้ ซีอีโอบิทคับ ได้ให้คำแนะนำโดยสรุปออกมาเป็น “กฎเหล็ก 6 ข้อ” ของการดูแลสุขภาพแบบ Longevity 0 บาท ที่ใครก็ทำได้ดังนี้
1. การนอนหลับให้เพียงพอ และมีคุณภาพ
การนอนคือ “กระดุมเม็ดแรก” ของสุขภาพ ไม่ใช่เรื่องน่าอายหากนอนครบ 8 ชั่วโมง ในทางตรงกันข้าม คนที่นอนพอนั้นแหละคือคนที่กำลังลงทุนกับสุขภาพระยะยาว ทั้งนี้ในแต่ละคืน ต้องนอนได้อย่างมีคุณภาพด้วย คือต้องมีทั้ง REM Sleep (ช่วยเคลียร์ความจำและซ่อมสมอง) และ Deep Sleep (ซ่อมแซมร่างกาย)
อีกทั้งวัยทำงานควรใช้ชีวิตตาม Circadian Rhythm ตื่นพร้อมพระอาทิตย์ และพักผ่อนเมื่อพระอาทิตย์ตก บรรพบุรุษของเราเคยทำเช่นนั้น แต่ปัจจุบันเรามักไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกเลย ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สอดคล้องกับจังหวะธรรมชาติ
2. เลือกกินอาหารที่ดี
อาหารที่เรารับประทานคือ "ข้อมูล" ที่ป้อนเข้าสู่ร่างกาย ทุกคำที่กลืนเข้าไปเป็นการ "recode" ร่างกายแบบเรียลไทม์ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อเกิดโทษ ได้แก่ น้ำตาลและแป้ง (Starch and Sugar) แป้งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล บรรพบุรุษของเราบริโภคน้ำตาลเฉลี่ยเพียง 1 ช้อนชาตลอดทั้งปี ผิดกับเราที่ดื่มชานมไข่มุกหลายแก้วต่อวัน การกินน้ำตาลและแป้งมากเกินไปทำให้ร่างกายรวน และยังเพิ่มไขมันไม่ดี (LDL, ไตรกลีเซอไรด์) ซึ่งทำให้หลอดเลือดหัวใจอุดตัน
หลีกเลี่ยงน้ำมันพืชกลั่นเป็นน้ำมันปรุงแต่งรสที่ไม่ควรบริโภค, ลดบริโภคนมวัว 97% ของคนเอเชียแพ้นมวัว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะลำไส้รั่ว ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันในลำไส้, ลดอาหารแปรรูป ส่งผลให้ระบบสื่อสารในร่างกายรวน ทำให้ร่างกายไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและซ่อมแซมตัวเองได้ดี
ขณะเดียวกันก็ควรเพิ่มผักหลากสี เน้นและโภชนาการแบบ Whole Food และโปรตีนคุณภาพ โดยเฉพาะมื้อเช้าควรเป็นโปรตีนสูง เพื่อช่วยลดความอยากอาหารและขนมขบเคี้ยวระหว่างวัน เพียงแค่เปลี่ยนการกินอาหารก็สามารถ "รีเซ็ต" ร่างกายได้ภายใน 4-8 สัปดาห์
3. กล้ามเนื้อคือสกุลเงินของการชะลอวัย
การออกกำลังกายไม่ใช่ทางเลือก แต่คือสิ่งจำเป็นเหมือนการแปรงฟัน กล้ามเนื้อเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยย่อยน้ำตาลและดูดซึมกรดไขมันต่างๆ และเนื่องจากหลังอายุ 35 ปี เราจะสูญเสียกล้ามเนื้อปีละ 1% ดังนั้น การออกกำลังกายคือการให้ Hormetic Stress ความเครียดเชิงบวกที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น
แนะนำการสร้างกล้ามเนื้อที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธี Hypertrophy คือการยกน้ำหนักจนถึงเกือบหมดแรง (to almost failure set) ไม่ว่าจะด้วยน้ำหนักเบาหลายครั้ง หรือน้ำหนักมากแต่จำนวนครั้งน้อย ก็ให้ผลลัพธ์ในการสร้างกล้ามเนื้อเท่ากัน และควรเคลื่อนไหวร่างกายตลอดวัน มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาให้นั่งอยู่กับที่ ควรขยับตัวทุกๆ 45 นาที เช่น ลุกเดิน หรือทำ squat 10 ครั้ง จะดีกว่าการนั่ง 8 ชั่วโมงแล้วไปวิ่ง 10 กิโลเมตรตอนเย็นทีเดียว
4. มีเป้าหมายชีวิตและสังคมที่ดี
ความหมายของชีวิตและคนรอบข้างคือ “ยาอายุวัฒนะ” ที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว คนที่เป้าหมายในชีวิตหรือความหมายของชีวิต ช่วยให้อายุยืนขึ้นได้เฉลี่ย 7 ปี เป้าหมายอาจเป็นการอยากมีสุขภาพที่ดีเพื่อไม่เป็นภาระผู้อื่นเมื่อแก่ หรือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคม
อีกทั้งการมีสังคมที่ดี เพื่อนที่ดี คนที่เข้าใจ และใช้เวลากับคนที่รักทุกวัน จะช่วยให้อายุยืนขึ้นและมีสุขภาพที่ดีอย่างมีคุณภาพ ความเหงาและความโดดเดี่ยวทำให้อายุสั้นลง
5. ขยับร่างกายและดื่มน้ำให้เพียงพอ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ควรนั่งอยู่เฉยๆ เพราะการใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งๆ ทำให้มีอายุสั้นลงได้ นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อให้เซลล์ภายในร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
6. จัดการสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ
ต้องรู้จัก "ตัดสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ" ออกไป เช่น หลีกเลี่ยง PM 2.5 ตัวการเพิ่มโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย, หลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม เป็นตัวการก่อให้เกิดมะเร็ง, ลดการอยู่ในอากาศรีไซเคิล (Recycle air) และควรเปิดหน้าต่างระบายอากาศ หรือใช้เครื่องกรองอากาศที่มีคุณภาพ, งดการเข้าใกล้มลพิษในสภาพแวดล้อมที่มีแต่ตึกปูน อิฐ เหล็ก หิน หรือเรียกว่า "คอนกรีตจังเกิล" ซึ่งไม่เข้ากับ DNA ตามธรรมชาติของมนุษย์
Longevity 0 บาท คือการหันกลับมาดูแล “สุขภาพพื้นฐาน” ที่หลายคนอาจละเลยไป ซีอีโอบิทคับเชื่อว่า หากสังคมไทยไม่เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมวันนี้ อีกไม่นานประเทศไทยอาจต้องเผชิญวิกฤติสุขภาพครั้งใหญ่ในอนาคตอันใกล้ เพราะคนส่วนใหญ่กำลังป่วยโดยไม่รู้ตัว
หลักการทั้ง 6 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเริ่มทำได้ด้วยตัวเอง อาจต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่ต้องใช้เงินแพงๆ การตระหนักรู้และลงมือทำในวันนี้ ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังแข็งแกร่งในการพัฒนาประเทศต่อไป
Cr : Bangkok Biz News https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1196885?fbclid=IwdGRjcAMkifdleHRuA2FlbQIxMQABHgizEVYwOzJlfXh1w5yp-qcEGa7fcVhhsvGSDO0bc7BY-WsBaE20K7whWc91_aem_z_bOtsj2Fo5YYi8F35lKDQ
ภาพจากกรุงเทพธุรกิจ