เทรนด์ Longevity Tourism นิยามใหม่ของการเดินทางที่กลายเป็น “โอกาสทอง” ของไทยในอนาคต เมื่อการเดินทางเป็นมากกว่าการพักผ่อน

Longevity กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกการท่องเที่ยว

เมื่อโรงแรมไม่ได้มีแค่สปาอีกต่อไป แต่เริ่มใช้เทคโนโลยีช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แขกได้จริง

Longevity คืออะไร ทำไมคนทั่วโลกถึงพูดถึงมันมากขึ้น?

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ คำว่า Longevity หรือ “การยืดอายุอย่างมีคุณภาพ” กลายเป็นคำฮิตในแวดวงสุขภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ แต่ความหมายของมันไม่ใช่แค่ “อยากอายุยืน”

ในอดีต เวลาพูดถึง “อายุยืน” หลายคนมักคิดถึงแค่การมีชีวิตยาวขึ้น (Life Span) แต่แนวคิด Longevity ในปัจจุบันจะเน้นไปที่การยืดระยะเวลาที่มนุษย์มีสุขภาพแข็งแรง (Health Span) มีพลัง และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ

พูดง่าย ๆ คือไม่ใช่แค่ อยู่ได้นาน แต่ต้องมีสุขภาพกาย ใจ และสมองที่แข็งแรง ยืนยาวไปพร้อมกัน

แนวคิดนี้เองที่ทำให้ Longevity กลายเป็นหนึ่งในเทรนด์เศรษฐกิจใหม่ของโลก หรือที่เรียกว่า Longevity Economy อุตสาหกรรมที่มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีและบริการเพื่อให้มนุษย์มีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ

โดยตลาด Longevity ทั่วโลกอาจเติบโตสู่มูลค่ากว่า 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2578 จากกระแสเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI ด้านสุขภาพ เวชศาสตร์ฟื้นฟู และการแพทย์เชิงป้องกัน

และในปี 2568 นี้ แนวคิด Longevity กำลังขยายออกจากห้องแล็บและคลินิก สู่โลกของการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม

Longevity Tourism: เมื่อการเดินทางกลายเป็นพื้นที่ฟื้นฟูชีวิต

เดิมที การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) มักหมายถึงการไปสปา โยคะ หรือดีท็อกซ์ แต่ตอนนี้ โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า Longevity Tourism หรือการท่องเที่ยวที่ผสมผสานเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และการแพทย์เชิงฟื้นฟูเข้าด้วยกัน เราจะเริ่มเห็นโรงแรม หรือรีสอร์ต นำเทคโนโลยี ฟื้นฟูร่างกาย และการจัดการข้อมูลสุขภาพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริการ

รายงานจาก Copperwell Retreat ระบุว่าตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกจะเติบโตแตะ 1.35 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2571 และหนึ่งในกลุ่มที่ขยายตัวเร็วที่สุดคือการเดินทางที่เน้นการฟื้นฟูสุขภาพในเชิงลึก

เพราะในยุคที่คนทำงานหนัก เดินทางบ่อย และมีเวลาพักน้อย หลายคนเริ่มมองว่าการเดินทางคือโอกาสในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้พร้อมกลับไปใช้ชีวิตอย่างมีพลังอีกครั้ง

3 นวัตกรรมหลักที่ขับเคลื่อน Longevity Tourism

การฟื้นฟูร่างกายและจัดการความเครียด (Sleep & Stress Recovery)
ปัญหาการนอนไม่พอและเจ็ตแล็กคืออุปสรรคใหญ่สำหรับนักเดินทาง หลายโรงแรมเริ่มนำเทคโนโลยี เช่น ระบบแสงอัจฉริยะ (Circadian Lighting), AI ควบคุมอุณหภูมิและเสียง มาช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปรับสมดุล
อีกนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังมาแรงคือ Cryotherapy (การบำบัดด้วยความเย็นจัด) ผู้เข้ารับการบำบัดจะอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า -100 องศาเซลเซียสเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดการอักเสบในร่างกาย โดยมีงานวิจัยพบว่าการทำ Cryotherapy แบบทั้งร่างกาย สามารถลดการอักเสบ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นเมื่อเดินทางหนัก

การเพิ่มพลังงานและสมรรถนะของร่างกาย (Energy & Optimization)
นอกจากการพักผ่อน เทคโนโลยีบางประเภทก็เจาะจงไปที่การเติมพลังให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง ตัวอย่างเช่น IV Nutrient Drip Therapy หรือการให้สารอาหารทางเลือดโดยตรง ซึ่งช่วยเติมพลังงานให้ร่างกายโดยตรง และเป็นที่นิยมมากในหมู่นักธุรกิจและคนทำงานที่เดินทางข้ามทวีป
นอกจากนี้ยังมี NAD+ Therapy ช่วยกระตุ้นการทำงานของไมโทคอนเดรีย (ส่วนของเซลล์ที่ผลิตพลังงาน) และการออกกำลังกายในภาวะออกซิเจนต่ำ (Altitude Simulation) เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายทนต่อความเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น

สุขภาพเฉพาะบุคคลด้วยข้อมูลและ AI (Precision Health & Data)
อีกก้าวสำคัญของ Longevity Tourism คือการใช้ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล เพื่อออกแบบบริการที่เหมาะกับแต่ละคน
โรงแรมและรีสอร์ตบางแห่งในยุโรปและอเมริกาเริ่มใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพแบบเรียลไทม์
ร่วมกับ Biometric Tracking ระบบตรวจวัดชีพจร การหายใจ การนอน และระดับความเครียด พร้อมจัดทำ Health Dashboard รายงานผลการฟื้นฟูหลังจบทริป บางแห่งมีบริการให้คำปรึกษาระยะไกล (Telehealth Consult) ให้ผู้เข้าพักพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างสะดวกสบาย
ไทยกับโอกาสในการเป็น Longevity Hub

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพสูงในเอเชียสำหรับการพัฒนา Longevity Tourism เพราะเรามีทั้งระบบสาธารณสุขที่แข็งแกร่งและชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเดินทางเข้ามาใช้บริการในไทยมากกว่า 3.5 ล้านคนต่อปี ขณะที่รีสอร์ตและสถานที่พักระดับพรีเมียมในภูเก็ต สมุย และเชียงใหม่ ต่างก็มีโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพที่พร้อมต่อยอดสู่การให้บริการด้าน Longevity ได้ทันที

ในอนาคต ไทยสามารถต่อยอดแนวทางนี้ได้หลากหลาย เช่น การสร้าง Airport Recovery Lounge ที่สนามบินสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง เพื่อให้นักเดินทางต่างชาติได้ฟื้นฟูร่างกายระหว่างต่อเครื่อง รวมถึงการพัฒนา Longevity Hub ศูนย์รวมบริการสุขภาพ เทคโนโลยี และพื้นที่พักผ่อนในที่เดียว หรือแม้แต่การออกแบบแพ็กเกจฟื้นฟูสุขภาพระยะสั้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากขึ้น

อีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่จะช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของ Longevity Economy คือ EEC (Eastern Economic Corridor) หรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งมีการกำหนดให้อุตสาหกรรมการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมูลค่าสูงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ล่าสุด คณะกรรมการ EEC ได้อนุมัติแผนขยายศูนย์การแพทย์แห่งใหม่ในจังหวัดระยอง เพื่อรองรับการลงทุนด้านการแพทย์และนวัตกรรมสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองอัจฉริยะและอุตสาหกรรมสุขภาพครบวงจร สอดคล้องโดยตรงกับแนวคิด Longevity Tourism เพราะเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ที่ตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่

ด้วยจุดแข็งที่ไทยมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ หรือการบริการที่อบอุ่นเป็นกันเอง อาจพูดได้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นในภูมิภาค และมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็น Longevity Hub แห่งเอเชีย ที่เชื่อมโยงทั้งการแพทย์ การท่องเที่ยว และนวัตกรรมสุขภาพเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

CR https://www.bangkokbankinnohub.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่