หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (7)...ห้องนี้ที่พักใจ

กระทู้คำถาม
หัวใจสลายที่ปลายฟ้า (7)...ห้องนี้ที่พักใจ
 
            วันรุ่งขึ้นน้าวิวกับเพื่อนก็ออกเดินทางไปเที่ยวเท็กซัส โดยมีพี่โต้งเป็นคนขับ พี่โต้งท่าทางเหมือนทหาร ไหล่กว้าง สูง ตัดผมเกรียน พี่โต้งไม่หล่อนักแต่ดูดี ถือว่าอยู่ในเกรด B ของหนุ่มไทย อารมณ์ดี หัวเราะเสียงดัง
            “จนแล้วจนรอด...แกก็รอดเงื้อมมือสาว ๆ มาหลายครั้งหลายหน แกมันไม่มีน้ำยาว่ะ” น้าวิวเริ่มแต่เช้า  
            “อ๋อ!  หาว่าผมมีแต่น้ำพริกเหรอ” พูดแล้วยื่นหน้ามาเกือบชิดอย่างล้อเล่น น้าวิวมือไวมากฟาดเพี้ยะลงบนต้นแขนพี่โต้ง
            “โอ๊ย! ช่วยด้วย ผมโดนผู้หญิงทำร้ายร่างกาย” แล้วเพื่อน ๆ ที่รอส่งน้าวิวก็หัวเราะขำท่าทางพี่โต้ง 
            “นอนพักผ่อนก็ไม่เอา  ตื่นมาส่งแต่เช้ากับเขาด้วยเหรอดวงเนตร” หญิงสาวยิ้ม ตอบสั้น ๆ
            “ค่ะ”
           
            เมื่อน้าวิวออกรถ เธอก็โผล่ไปซุกใต้ปีกพี่น้อย น้าวิวสั่งการไว้เรียบร้อยก่อนวันเดินทาง พี่น้อยเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก พูดจาไพเราะเป็นคนตรง
ไปตรงมา ยิ้มง่ายและรู้จักผู้คนไปทั่ว นี่คงอาจเป็นวิธีหนึ่งที่จะอยู่รอดในดินแดนห่างไกลนี้ พี่น้อยพาดวงเนตรตะลอนไปทั่วเมืองคาร์บอนเดล...ทำแบบ
นี้อยู่สามวัน จนกระทั่งสาวน้อยรู้จักทุกที่ในเมือง บ่ายของวันที่สามดวงเนตรขอให้พาไปที่ไปรษณีย์เพื่อส่งจดหมายสองฉบับถึงเตี่ย จดหมายแจง
รายละเอียด ความเป็นอยู่ สภาพแวดล้อม และชีวิตของดวงเนตรในต่างแดน ฉบับแรกเขียนไปหาเตี่ย
            ฉบับที่ส่งถึงเตี่ย ดวงเนตรเขียนสองรอบจนแน่ใจว่าคำพูดจะไม่ทำให้เตี่ยและแม่เป็นห่วง และเขียนอย่างบรรจง แล้วจดหมายก็ถึงมือเตี่ย หลัง
จากดวงเนตรจากไปได้เกือบครึ่งเดือน
            จดหมายใช้เวลา10วันจึงถึงเมืองไทย เตี่ยกำลังยุ่งอยู่หน้าร้าน บุรุษไปรษณีย์ยื่นจดหมายให้เตี่ย เขาจำลายมือลูกสาวได้รีบคว้ามับ ดวงตาแดง
เรื่อ แม่หันมาเห็นพอดี ข่าวคราวดวงเนตรเป็นสิ่งที่เตี่ยเฝ้ารออย่างเป็นห่วง สิบห้าวัน...ที่ลูกสาวจากไป  มันนานเหมือนสิบห้าปีสำหรับเตี่ย
            
             ความลำบากที่เตี่ยเจอตอนไปเรียนที่เมืองจีน เตี่ยติดสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ที่นั่นนานหลายปีจนเริ่มหนุ่ม และกลับมาหาอาเตียกับอาแหมะ
อีกทีก็เริ่มเป็นหนุ่ม ความลำบากมากมายที่ดวงเนตรฟังอย่างตั้งใจทุกครั้งที่เตี่ยเล่า และคำว่าลำบากนี้ดวงเนตรมีไว้ให้เตี่ยใช้คนเดียว เตี่ยกลัวว่า
ดวงเนตรต้องเจอกับอุปสรรคต่าง ๆ คล้ายกับเตี่ย แม้เขาเลี้ยงลูกสาวมาอย่างทนทานกับทุกสภาพ แต่ดวงเนตรก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นในสายตา
เตี่ย เขาอ่านจดหมายฉบับแรก...ครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนช่วยให้คลายความคิดถึงลูกสาวได้ 
            ร้านปิดแล้ว...เตี่ยอาบน้ำกินข้าวอิ่มแล้วเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า แหงนมองท้องฟ้า ดวงดาวส่องแสงระยิบไสวดั่งดวงเนตรของเตี่ย
            เตี่ยสนิทกับดวงเนตรถึงจะเป็นลูกสาวไม่ใช่ลูกชาย แต่ลูกคนโตคนนี้ทำทุกอย่างดีที่สุดและห่วงเตี่ยที่สุด เตี่ยรักลูกทุกคนเท่ากัน ช่วงที่ดวงเนตร
และน้อง ๆ ไปเรียนที่เชียงใหม่ ทุกครั้งที่เตี่ยมาจะถามปัญหาของลูก ๆ เสมอ เตี่ยจะสอนหลายอย่างให้เพื่อดวงเนตรจะได้เป็นแบบที่ดีแก่น้อง ๆ
จดหมายของดวงเนตรถึงเตี่ยถูกเขียนอย่างชัดเจนและบรรจง เธอเข้าใจดีว่าเตี่ยไม่มีการศึกษา ต้องเรียน เขียน อ่านด้วยตนเอง  มันไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่เธอไม่เคยเห็นสีหน้าท้อแท้ของเตี่ยเลยแม้ครั้งเดียว
            บ่อยครั้งช่วงเรียนมหาวิทยาลัยและปิดเทอม ดวงเนตรชอบย่องมาดูว่าเตี่ยขึ้นนอนหรือยัง พอได้ยินเสียงบันไดลั่นเบา ๆ เตี่ยก็รู้ว่าป็นเธอ
            “เนตรยังไม่นอนอีกเหรอ”
            “เตี่ยก็ยังไม่นอน” เนตรพูด
            “จะเสร็จแล้ว เนตรลงมาก็ดีแล้วดูสองบรรทัดนี้ให้หน่อย...เตี่ยอ่านไม่ออก” บิลแต่ละใบ..แต่ละลายมืออ่านยากจริง ๆ ด้วย มิน่ากว่าจะทำบัญชี
เสร็จก็ดึกทุกคืน
            ตั้งแต่นั้นมา...ทุกครั้งที่ปิดเทอมเนตรจะคอยชงชาให้เตี่ย เตรียมผ้าขนหนูแช่น้ำจนเย็นไว้ให้เช็ดหน้าคลายร้อน และอ่านหนังสือเรียนใกล้ ๆ
เผื่อว่าเตี่ยจะอ่านบิลใบไหนไม่ออก

            วันที่เตี่ยได้จดหมายเนตรเขาอ่านซ้ำหลายเที่ยว จนแน่ใจว่าดวงเนตรถึงมหาวิทยาลัยเรียบร้อยแล้ว และได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากพี่และ
เพื่อน ๆ คนไทย ‘เตี่ยหน้าตาสดใสขึ้นตั้งแต่ได้จดหมายเนตร คงคลายความห่วงไปได้เยอะ’ แม่คิด 
     
            ณ อีกฝั่งฟ้า วันใหม่...วันที่พี่น้อยนัดหนอยหรือเจนศึก ให้มาหาตอนบ่ายเพื่อไปดูทีวีให้ดวงเนตร ข่าวดีอีกข่าวหนึ่งคือดวงเนตรกำลังจะมีห้อง
พักของตัวเองแล้ว ข่าวที่จะได้ห้องพักเป็นของตัวเองดูเหมือนว่าจะทำให้ดวงเนตรมีความสุขกว่าการซื้อทีวี แม้ว่าขณะที่น้าวิวไม่อยู่ ดวงเนตรอาศัย
อยู่คนเดียวในห้อง แต่การหยิบใช้ข้าวของ มักทำให้ดวงเนตรเกรงใจ เตี่ยเป็นคนสอนว่า... ‘อย่าเป็นคนมักง่ายเที่ยวหยิบฉวยของคนอื่นมาใช้’
วันนี้เป็นวันกลับจากเที่ยวของน้าวิวและเพื่อน กว่าจะถึงก็คงจะเป็นช่วงเย็น พี่น้อยเป็นคนแจ้งข่าวนี้เอง
            ช่วงเช้าพี่น้อยมาชวนไปกินข้าวที่ห้องเธอ แรก ๆ พี่น้อยก็มากินกับเนตรที่ห้องน้าวิว วันนี้ขอเปลี่ยนมากินข้าวที่ห้องพี่น้อยแทนซึ่งดวงเนตรไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เธอตรงมาที่ห้องพี่น้อย เคาะประตูเบา ๆ
            “เชิญเลยค่ะประตูไม่ได้ล็อก”เจ้าของห้องกำลังเตรียมจาน-ชามอยู่
            “ได้กลิ่นข้าวหอมจังเลยค่ะ” ดวงเนตรเอ่ยขึ้น
            “ข้าวหอมมะลิบ้านเราหอมอย่างนี้แหละ” ห้องพี่น้อยและน้าวิวขนาดเท่ากัน เพียงแต่ห้องพี่น้อยมีเครื่องใช้น้อยกว่า บริเวณใกล้หัวเตียงวางตำรา
เล่มหนาหลายเล่ม เข้าใจว่าคงยุ่งกับการทำวิทยานิพนธ์
            “เพิ่งยืมหนังสือเพิ่มมาจากห้องสมุด..รกหน่อยนะคะ”
            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
            “มีอะไรให้เนตรช่วยไหมคะ”  
            “มีค่ะ ต้องทานให้หมดนะคะ”
            “พี่น้อยเลี้ยงเนตรดีอย่างนี้ต้องอ้วนแน่เลย”
            “ไม่หรอกเนตรตัวบางขนาดนี้แถมยังสูงอีกต่างหาก อยากสูงเท่าเนตรแต่คุณแม่บอกว่าเสียใจเพราะพี่เกิดปีน้ำน้อย”
            “งั้นตอนเนตรเกิดน้ำต้องท่วมแน่เลย” ดวงเนตรรับมุกพี่น้อย
            “ เอ้า! นั่งลง ๆ กินข้าวเถอะ” พี่น้อยเปิดฝาหม้อ ตรงกลางอุ่นปลากระป๋องอยู่ ดวงเนตรใช้ผ้าสะอาดยกขึ้น แล้ววางกลางวงข้างถ้วยน้ำปลาพริก
ขี้หนู เป็นสิ่งที่คนไทยขาดไม่ได้ ในหม้อข้าวมีแท่งสีส้มอ่อนพี่น้อยกำลังใช้ส้อมเขี่ยขึ้นมาวางบนอีกจานหนึ่ง พอดูดี ๆ มันก็คือแครอทแท่งเท่าหัวแม่มือ
สุกแล้วและดูน่ากินด้วย พี่น้อยจะรอให้ข้าวเป็นเม็ดเกือบสุกแล้วเปิดฝาเอาหัวแครอทที่ล้างสะอาดเสียบลงไป พอข้าวสุกก็พอดีกับแครอทสุก เธอชอบกิน
มาก ดวงเนตรนึก ‘ถ้าอยู่กับพี่น้อยนาน ๆ คงกลายเป็นกระต่ายแน่’  
            นักศึกษาไทยชอบนั่งล้อมวง กินข้าวกับพื้น บางคนก็ปูด้วยผ้าพลาสติก บางคนก็ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่หยิบมาจากมหาวิทยาลัย  มันเป็นหนังสือพิมพ์ที่ออกเป็นรายสัปดาห์  แจ้งการเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวภายในมหาวิทยาลัย และคอลัมน์น่ารู้ต่าง ๆ หนังสือพิมพ์จะถูกวางไว้ตามจุดสำคัญทั่วมหาวิทยาลัย ใครสนใจอยากอ่านก็หยิบกันเอาเอง อาหารมื้อเช้าจบลงทั้งสองช่วยกันล้าง แล้วคว่ำจาน-ชามไว้ในตะแกรงขนาดเล็กในห้องน้ำ 
 
            พี่น้อยชวนเนตรไปหาผู้จัดการเพื่อกรอกเอกสาร จ่ายมัดจำและค่าห้อง
            “สวัสดีน้อย“ แล้วก็ถามว่าสบายดีไหม? เป็นแบบนี้ทุกวัน มันเป็นธรรมเนียม ดวงเนตรกรอกข้อความเสร็จเงยหน้าขึ้น แล้วส่งเอกสารให้ เจมส์อ่าน
ชื่อเธอ
            "ดวงเนตร...ออกเสียงยากมาก เธอไม่มีชื่อเล่นเหมือนคนไทยคนอื่น ๆ เหรอ” เขาหันไปถามพี่น้อย
            “เรียกเนตรก็ได้” พี่น้อยตอบแทน
            “Net…ok. "  
            “Yes” ดวงเนตรตอบ เจมส์มาเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านคอมพิวเตอร์ นักศึกษาต่างชาติทุกคนต้องลงเรียนภาษาอังกฤษเพื่อปรับฐานก่อนเข้า
เรียนวิชาหลัก  ตอนที่เรียนอังกฤษนี่เองที่พี่น้อยรู้จักเจมส์ เพราะนั่งเรียนติดกันทุกวัน นักศึกษาเอเชียส่วนใหญ่ถ้าลงได้นั่งเรียนตรงไหนก็ตรงนั้นจนจบ
คอร์ส ทั้งสองเลยค่อนข้างสนิทกัน พี่น้อยบอกว่ามาใหม่ ๆ จดอะไรไม่ทันก็อาศัยยืมจากเขา
            เจมส์เป็นคนอินเดีย ประเทศเขาเคยอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ ภาษากลางที่ใช้ทั่วไปจึงเป็นภาษาอังกฤษ ถือว่าได้เปรียบอยู่มาก เขายื่น
กุญแจให้ดวงเนตรก่อนจะลากันไป ทั้งสองสาวออกอาการตื่นเต้นกับห้องใหม่
            “ไปเปิดดูดีกว่านะคะ เพราะกว่าหนอยจะมารับเราก็อีกตั้งสองชั่วโมง”  พี่น้อยเสนอ ทั้งสองมาเปิดดู  ก้าวช้า ๆ เข้าไปด้านในของห้อง ดวงเนตร
ตื่นเต้นดีใจออกนอกหน้า
            “ห้องน้องเนตรกว้างกว่าทุกห้องเลยเพราะมันเป็นห้องหัวมุม” พี่น้อยเอ่ยก่อน
            “ค่ะ แต่ห้องน้ำนี่ทำไมมีสองประตูคะ”
            “เออ! แปลกนะไม่เหมือนฝั่งอื่น อ้อ! พี่รู้แล้วค่ะ เมื่อปีที่แล้วเขาปรับปรุงส่วนนี้ใหม่ ส่วนนี้เลยใช้ห้องน้ำรวมกับเพื่อนอีกคนที่อยู่ห้องติดกัน และฝั่ง
นี้อนุญาตให้ผู้ชายมาอยู่ปนได้ด้วย แต่ห้ามเอาใครมานอนด้วยไม่งั้นก็จะโดนเชิญออก”
            “อ๋อ! เป็นแบบสหศึกษาแต่ห้ามยุ่งกัน”
            “จ้า! หนูเนตรช่างเปรียบดีนัก”
            
            ตู้เสื้อผ้าอยู่ทางซ้ายมือทางเข้า สร้างแนบเป็นพื้นเรียบไปกับกำแพง...จะใช้ก็ไสลด์ประตูไปทางขวา มองเลยไปเป็นโต๊ะเขียนหนังสือติดกับกระจกหน้าต่าง ฝั่งขวามือเป็นเตียงเดียวตั้งชิดในสุดติดผนัง ปลายเตียงมีที่ว่างแล้วแต่จะวางอะไรประมาณเมตรครึ่งคูณสองเมตร จากจุดนั้นก็เป็นประตูห้องน้ำ  เตียงที่ตั้งอยู่มีแต่ที่นอน ไม่มีผ้าคลุมเตียง ไม่มีหมอน เหนือหัวเตียงทำไว้เป็นชั้นวางของยาวเท่าความกว้างของเตียง เป็นชั้นไม้สีโอ๊คอยู่สาม
ชั้น ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนริ้วขาวดูสว่างตา ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน “สวยมากเลย” ดวงเนตรมองอย่างคร่าว ๆ ว่าจะจัดห้องแบบไหน เผื่อว่าจะถือโอกาสตอน
ไปซื้อทีวีดูของและเครื่องใช้มาด้วยเลย ทั้งคู่ดูพอใจห้องและไปรอพี่หนอยที่ห้องน้าวิว ดวงเนตรดีใจที่หาห้องได้และต่อจากนี้ไปก็คือความสุขเล็ก ๆ
ของดวงเนตร
            “พี่น้อยคะ ทำไมไม่ซื้อทีวีคะ”
            “อ้อ! พี่น้อยเรียนหนักไม่มีเวลาดูเท่าไรหรอกและที่มาเรียนก็ใช้ทุนพ.ม.”
            “ทุนนี้ก็มีหรือคะ” ดวงเนตรถามด้วยความซื่อ เพราะไม่เคยเห็นพี่น้อยปล่อยมุก
            “ทุนพ่อ-แม่น่ะเลยต้องประหยัดมาก ๆ ”
            “ของเนตรก็ใช้ทุนเตี่ย เตี่ยมีร้านค้า เราไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย เนตรต้องเอาอย่างพี่น้อยจะได้ประหยัดค่าใช้จ่าย”
            “ดี ๆ ค่ะ”
            “มีอะไรพี่น้อยช่วยแนะนำด้วยนะคะ” ดวงเนตรฝากเนื้อฝากตัว
            “ได้เลย อยากรู้อะไรหรือจะให้ช่วยเรื่องไหนบอกได้ทุกเรื่องเลยค่ะ”
            “ขอบพระคุณมากค่ะ”  
            “ไม่เป็นไรเรามีกันแค่เจ็ดสิบคนเองต้องดูแลกัน” พี่น้อยยิ้ม ดวงเนตรรู้สึกอบอุ่นใจและซาบซึ้ง
             
            รอพี่หนอยจนบ่ายสองก็ยังไม่มา กลายเป็นว่าน้าวิวมาถึงก่อน เธอจัดเก็บของ อาบน้ำเสร็จก็ออกมาหาเนตรที่ห้องพี่น้อย
            “ได้ห้องแล้วเหรอเนตรดีใจจัง ไปดูมาหรือยัง แล้วไอ้หนอยยังไม่มาอีกเหรอ” น้าวิวถามรวดเดียวจบ
            “สวัสดีค่ะ ไปเที่ยวมาสนุกไหมคะ”
            “ไปเที่ยวสนุกทุกครั้งแหละ แต่กลับมาทีไรเสียดายเงินทุกที”
            “ไม่เป็นไรหรอกน้าวิว เงินไปเที่ยวประเดี๋ยวก็มา” พี่น้อยพูดแล้วยิ้มจนตาหยี
            “ไปห้องน้าวิวดีกว่า รู้นะไปซื้อทีวีกะจะขนซื้ออย่างอื่นด้วยสิ” ดวงเนตรโดนดักคอ เธอยิ้มสวยให้ ‘ช่างรู้ใจจริง ๆ ‘ เนตรคิด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่