หลายคนตั้งคำถามว่า จิต คือ เรา หรือไม่??
พระอาจารย์สุชาติ สอนเหมือนพระพุทธเจ้าเป๊ะ ว่าจิต คือ เรา
พระอรหันต์ไม่สอนธรรมคลาดเคลื่อนจากพระพุทธเจ้า
ใจ (จิต) ไม่ดับ
ร่างกายจะดับก็ดับไป แต่ใจยังเป็นอกาลิโกอยู่ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นธาตุรู้ ผู้รู้ แต่ขาดปัญญาไม่สามารถแยกแยะตนเองออกจากสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่ด้วย (ขันธ์ 5) เมื่อไปคลุกเคล้าอยู่กับสิ่งที่มีการเกิดดับ (ขันธ์ 5) ก็เลยคิดว่าตนเองเกิดดับไปด้วย
ทุกข์เพราะใจหลง ใจไม่ยอมรับความจริง
เรา แท้จริง คือ ธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ ใช้เรียกมันว่า จิตใจบ้าง เป็นดวงวิญญาณบ้าง กายทิพย์บ้าง คือ ธาตุรู้ทั้งนั้น
ธรรม = อสังขาร + สังขาร
อสังขาร = ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุและธาตุรู้ (จิตหรือใจ)
ธาตุ 4 นี้รวมกันแยกกันตามเหตุปัจจัย แต่ไม่เสื่อมจากความเป็นธาตุ จึงไม่เป็นอนิจจังแต่เป็นอนัตตา
สังขาร = สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุ 4 และอากาศธาตุ
สังขารถ้ามี “ธาตุรู้” (จิตหรือใจ) ไปครอบครอง ก็คือ คน สัตว์
สังขารนี้ไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทำให้เกิดทุกข์ในธาตุรู้ (ทุกขัง) และแตกสลายกลับกลายเป็นธาตุ 4 (อนัตตา)
เมื่อ ธรรม = อสังขาร + สังขาร ธรรมะทั้งปวงจึงเป็นอนัตตา
ธาตุรู้ ที่มีอวิชขาครอบงำ ก็มี “ความอยาก” (ตัณหา) ให้สังขารนี้เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา
ธาตุรู้ ที่ไม่มีอวิชชา คือ มีปัญญา ก็ไม่อยากให้สังขารเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อยากแล้วก็จะทุกข์
พอหยุดความอยากต่างๆ ที่อยู่ในใจหมดไป ธาตุรู้จะเป็นธาตุที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ธาตุรู้นี้เราจะเรียกว่า นิพพานธาตุ เป็นธาตุที่จะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป จะไม่ประกอบกับธาตุ 4 คือ ร่างกายอันใหม่เพราะมีร่างกายทีไร มันก็มีการแก่ การเจ็บ การตาย
ธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ธาตุรู้ของพระอรหันตสาวก ท่านอยู่ตามลำพัง ท่านไม่ต้องมีร่างกาย ไม่ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ มาให้ความสุขกับธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยบรมสุขนั่นเอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน
ที่มา หนังสือ ธาตุรู้
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้
“ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้ ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหาความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต คือ นิพพาน
หลายคนตั้งคำถามว่า จิต คือ เรา หรือไม่??
พระอาจารย์สุชาติ สอนเหมือนพระพุทธเจ้าเป๊ะ ว่าจิต คือ เรา
พระอรหันต์ไม่สอนธรรมคลาดเคลื่อนจากพระพุทธเจ้า
ใจ (จิต) ไม่ดับ
ร่างกายจะดับก็ดับไป แต่ใจยังเป็นอกาลิโกอยู่ เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นธาตุรู้ ผู้รู้ แต่ขาดปัญญาไม่สามารถแยกแยะตนเองออกจากสิ่งที่คลุกเคล้าอยู่ด้วย (ขันธ์ 5) เมื่อไปคลุกเคล้าอยู่กับสิ่งที่มีการเกิดดับ (ขันธ์ 5) ก็เลยคิดว่าตนเองเกิดดับไปด้วย
ทุกข์เพราะใจหลง ใจไม่ยอมรับความจริง
เรา แท้จริง คือ ธาตุรู้ หรือ ผู้รู้ ใช้เรียกมันว่า จิตใจบ้าง เป็นดวงวิญญาณบ้าง กายทิพย์บ้าง คือ ธาตุรู้ทั้งนั้น
ธรรม = อสังขาร + สังขาร
อสังขาร = ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุและธาตุรู้ (จิตหรือใจ)
ธาตุ 4 นี้รวมกันแยกกันตามเหตุปัจจัย แต่ไม่เสื่อมจากความเป็นธาตุ จึงไม่เป็นอนิจจังแต่เป็นอนัตตา
สังขาร = สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุ 4 และอากาศธาตุ
สังขารถ้ามี “ธาตุรู้” (จิตหรือใจ) ไปครอบครอง ก็คือ คน สัตว์
สังขารนี้ไม่เที่ยง (อนิจจัง) ทำให้เกิดทุกข์ในธาตุรู้ (ทุกขัง) และแตกสลายกลับกลายเป็นธาตุ 4 (อนัตตา)
เมื่อ ธรรม = อสังขาร + สังขาร ธรรมะทั้งปวงจึงเป็นอนัตตา
ธาตุรู้ ที่มีอวิชขาครอบงำ ก็มี “ความอยาก” (ตัณหา) ให้สังขารนี้เป็น นิจจัง สุขัง อัตตา
ธาตุรู้ ที่ไม่มีอวิชชา คือ มีปัญญา ก็ไม่อยากให้สังขารเป็น นิจจัง สุขัง อัตตา เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ อยากแล้วก็จะทุกข์
พอหยุดความอยากต่างๆ ที่อยู่ในใจหมดไป ธาตุรู้จะเป็นธาตุที่สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ธาตุรู้นี้เราจะเรียกว่า นิพพานธาตุ เป็นธาตุที่จะไม่มีร่างกายใหม่อีกต่อไป จะไม่ประกอบกับธาตุ 4 คือ ร่างกายอันใหม่เพราะมีร่างกายทีไร มันก็มีการแก่ การเจ็บ การตาย
ธาตุรู้ของพระพุทธเจ้า ธาตุรู้ของพระอรหันตสาวก ท่านอยู่ตามลำพัง ท่านไม่ต้องมีร่างกาย ไม่ต้องมีรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ต้องมีลาภ ยศ สรรเสริญ มาให้ความสุขกับธาตุรู้ เพราะธาตุรู้ที่สะอาดบริสุทธิ์นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยบรมสุขนั่นเอง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง ความสุขอันสูงสุด คือ ความสุขของพระนิพพาน
ที่มา หนังสือ ธาตุรู้
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้
“ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้ ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑
ขุททกนิกาย มหานิทเทส
อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหาความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต คือ นิพพาน