จิต มโน วิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร
“จิต” คือ ธาตุรู้ เป็น ภาวะที่รู้อารมณ์ หรือสภาวะรู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
จิต เป็น หัวหน้าของธรรมทั้งหลาย “มโนปุพพังคมา ธัมมา” ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
จิตเป็นเหมือน ตัวรู้ ตัวคิด ตัวจำ ตัวสุข ตัวทุกข์ ทั้งหมดเกิดจากจิตที่ปรุงแต่งขึ้น
มโน คือ ใจหรือมูลฐานของจิต
“มโน” หมายถึง ใจในฐานะที่เป็นรากหรือมูลของจิตทั้งหมด
มโน เป็น ฐานของวิญญาณ (มโนวิญญาณ) คือ การรู้ทางใจ
ในบางตำรา มโนคือ เครื่องปรุงแต่งของจิต ที่ทำให้เกิดความคิด ความจำ ความจงใจ
พระไตรปิฎกเรียกมโนว่า “อายตนะภายในที่ ๖” (คือใจ) ซึ่งรับอารมณ์จากธรรมารมณ์ เช่น ความคิด ความจำ ความรู้สึก
“วิญญาณ” คือ การรู้แจ้งจำแนกอารมณ์ ในขณะหนึ่ง ๆ ของจิต
เป็นหนึ่งใน ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ทำหน้าที่รู้เฉพาะอารมณ์ เช่น
เห็นรูป → จักขุวิญญาณ
ได้ยินเสียง → โสตวิญญาณ
ได้กลิ่น → ฆานวิญญาณ
ลิ้มรส → ชิวหาวิญญาณ
สัมผัสกาย → กายวิญญาณ
คิดรู้ธรรมารมณ์ → มโนวิญญาณ
วิญญาณเกิดดับเร็วมาก เหมือนกระแสไฟที่ไหลต่อเนื่อง
“วิญญาณ” คือ ภาวะรู้ในขณะหนึ่ง ๆ เช่น ขณะเห็น ขณะฟัง ขณะคิด
สรุป
“มโน” กับ “วิญญาณ” เป็นอาการของจิต หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ภาวะ” หรือ “ปรากฏการณ์” ที่จิตสร้างขึ้นเอง
จิตเป็น “ประธาน” มโนและวิญญาณเป็น “อาการ”
เมื่อจิต สงบตั้งมั่น → เห็นได้ว่า “มโน” และ “วิญญาณ” เป็นเพียงอาการที่เกิดแล้วดับ
“มโน” คือความคิดที่จิตปรุงขึ้น
“วิญญาณ” คือความรู้ที่จิตแสดงในขณะนั้น
ทั้งหมดนี้ อาศัยจิตเป็นฐาน จิตคือ “ธาตุรู้บริสุทธิ์” ส่วนมโนและวิญญาณเป็น “คลื่นของการรู้”
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้ ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้
จิต มโน วิญญาณ แตกต่างกันอย่างไร
“จิต” คือ ธาตุรู้ เป็น ภาวะที่รู้อารมณ์ หรือสภาวะรู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
จิต เป็น หัวหน้าของธรรมทั้งหลาย “มโนปุพพังคมา ธัมมา” ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า
จิตเป็นเหมือน ตัวรู้ ตัวคิด ตัวจำ ตัวสุข ตัวทุกข์ ทั้งหมดเกิดจากจิตที่ปรุงแต่งขึ้น
มโน คือ ใจหรือมูลฐานของจิต
“มโน” หมายถึง ใจในฐานะที่เป็นรากหรือมูลของจิตทั้งหมด
มโน เป็น ฐานของวิญญาณ (มโนวิญญาณ) คือ การรู้ทางใจ
ในบางตำรา มโนคือ เครื่องปรุงแต่งของจิต ที่ทำให้เกิดความคิด ความจำ ความจงใจ
พระไตรปิฎกเรียกมโนว่า “อายตนะภายในที่ ๖” (คือใจ) ซึ่งรับอารมณ์จากธรรมารมณ์ เช่น ความคิด ความจำ ความรู้สึก
“วิญญาณ” คือ การรู้แจ้งจำแนกอารมณ์ ในขณะหนึ่ง ๆ ของจิต
เป็นหนึ่งใน ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ทำหน้าที่รู้เฉพาะอารมณ์ เช่น
เห็นรูป → จักขุวิญญาณ
ได้ยินเสียง → โสตวิญญาณ
ได้กลิ่น → ฆานวิญญาณ
ลิ้มรส → ชิวหาวิญญาณ
สัมผัสกาย → กายวิญญาณ
คิดรู้ธรรมารมณ์ → มโนวิญญาณ
วิญญาณเกิดดับเร็วมาก เหมือนกระแสไฟที่ไหลต่อเนื่อง
“วิญญาณ” คือ ภาวะรู้ในขณะหนึ่ง ๆ เช่น ขณะเห็น ขณะฟัง ขณะคิด
สรุป
“มโน” กับ “วิญญาณ” เป็นอาการของจิต หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ภาวะ” หรือ “ปรากฏการณ์” ที่จิตสร้างขึ้นเอง
จิตเป็น “ประธาน” มโนและวิญญาณเป็น “อาการ”
เมื่อจิต สงบตั้งมั่น → เห็นได้ว่า “มโน” และ “วิญญาณ” เป็นเพียงอาการที่เกิดแล้วดับ
“มโน” คือความคิดที่จิตปรุงขึ้น
“วิญญาณ” คือความรู้ที่จิตแสดงในขณะนั้น
ทั้งหมดนี้ อาศัยจิตเป็นฐาน จิตคือ “ธาตุรู้บริสุทธิ์” ส่วนมโนและวิญญาณเป็น “คลื่นของการรู้”
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนในวิญญาณในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้”
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับสละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในวิญญาณ และอนุสัยคือความตั้งใจและความปักใจมั่นในวิญญาณได้ ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้