พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
“อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”
อานาปานสติ คือ การมีสติระลึกอยู่กับ “ลมหายใจเข้า–ลมหายใจออก” อย่างต่อเนื่อง
เป็นการตั้งสติไว้ที่ “กาย” ในเบื้องต้น เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ
เมื่อจิตตั้งมั่น ลมหายใจจะค่อย ๆ ละเอียดลงตามลำดับ
ขณิกสมาธิ สู่อุปจารสมาธิ และฌาน ๑ : สติตั้งมั่นที่กาย
ขณิกสมาธิ – จิตเริ่มตั้งมั่นสั้น ๆ ขณะหนึ่ง ๆ
เห็นลมหายใจเข้า เห็นลมหายใจออกอย่างชัดเจน
อุปจารสมาธิ – จิตแน่วแน่ต่อเนื่องมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่านออกนอก
ลมหายใจละเอียดลง จิตเริ่มสงบเย็น
ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) – สติตั้งมั่นที่กายอย่างบริบูรณ์
มีวิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาเกิดขึ้นพร้อมกัน
ผู้ปฏิบัติรู้ลมหายใจเข้า-ออก*หยาบ–ละเอียดได้โดยชัด
ฌานที่ ๒–๓ : สติตั้งมั่นที่เวทนา
ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) – วิตกวิจารดับ ปีติและสุขเด่นชัดขึ้น
จิตเป็นหนึ่ง มีความอิ่มเอิบและสุขจากสมาธิ เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั้งกาย
ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) – ปีติจางคลาย เหลือแต่สุขอันเกิดจากความตั้งมั่น เป็นบรมสุขในสมาธิที่หาสุขใดในโลกเทียบเท่า
สติเด่นชัดในเวทนา ลมหายใจละเอียดแทบดับลง
ฌานที่ ๔ : สติตั้งมั่นที่จิต
เมื่อจิตพัฒนาเข้าสู่ จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔)
กาย ลมหายใจ สุขและทุกข์ดับไป เหมือนไม่มีกายไม่มีลมหายใจ เหลือเพียง จิตตั้งมั่นเด่นดวงเป็นอุเบกขาและเอกัคคตา
สติไม่ต้องเพ่งสิ่งใด เหลือแต่ความตั้งมั่นของจิตที่บริสุทธิ์
เป็นภาวะที่กายและลมหายใจสงบสิ้น เหลือแต่ “จิตบริสุทธิ์” เด่นดวง
ในสภาวะนี้ ย่อมรู้จิต เห็นจิตได้โดยตรง เด่นชัดที่สุด
จากสมถะสู่ปัญญาโดยวิปัสสนา
เมื่อจิตเป็น สัมมาสมาธิ ตั้งแต่ฌาน ๑ ถึงฌาน ๔ แล้ว
ย่อมนำสมาธินั้นมาใช้ในทางปัญญา คือ วิปัสสนา
ผู้ปฏิบัติพิจารณา “ขันธ์ ๕” คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
โดยเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
เมื่อปัญญาแทงตลอด จิตย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากขันธ์ ๕
อุปาทานดับลง กิเลสดับสิ้น
จิตพ้นจากอวิชชา เข้าสู่วิมุตติ คือ “ความหลุดพ้น”
นั่นแหละคือการ เห็นธรรม ตามความเป็นจริง
อานาปานสติ → ตั้งสติที่ลมหายใจ
สติตั้งมั่น → เกิดสมาธิ (ฌาน ๑–๔)
สมาธิ → วิปัสสนาเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์
ปัญญา → นำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส
อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
“อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้”
อานาปานสติ คือ การมีสติระลึกอยู่กับ “ลมหายใจเข้า–ลมหายใจออก” อย่างต่อเนื่อง
เป็นการตั้งสติไว้ที่ “กาย” ในเบื้องต้น เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ
เมื่อจิตตั้งมั่น ลมหายใจจะค่อย ๆ ละเอียดลงตามลำดับ
ขณิกสมาธิ สู่อุปจารสมาธิ และฌาน ๑ : สติตั้งมั่นที่กาย
ขณิกสมาธิ – จิตเริ่มตั้งมั่นสั้น ๆ ขณะหนึ่ง ๆ
เห็นลมหายใจเข้า เห็นลมหายใจออกอย่างชัดเจน
อุปจารสมาธิ – จิตแน่วแน่ต่อเนื่องมากขึ้น ไม่ฟุ้งซ่านออกนอก
ลมหายใจละเอียดลง จิตเริ่มสงบเย็น
ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) – สติตั้งมั่นที่กายอย่างบริบูรณ์
มีวิตก วิจาร ปีติ สุข และเอกัคคตาเกิดขึ้นพร้อมกัน
ผู้ปฏิบัติรู้ลมหายใจเข้า-ออก*หยาบ–ละเอียดได้โดยชัด
ฌานที่ ๒–๓ : สติตั้งมั่นที่เวทนา
ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) – วิตกวิจารดับ ปีติและสุขเด่นชัดขึ้น
จิตเป็นหนึ่ง มีความอิ่มเอิบและสุขจากสมาธิ เกิดปีติแผ่ซ่านไปทั้งกาย
ตติยฌาน (ฌานที่ ๓) – ปีติจางคลาย เหลือแต่สุขอันเกิดจากความตั้งมั่น เป็นบรมสุขในสมาธิที่หาสุขใดในโลกเทียบเท่า
สติเด่นชัดในเวทนา ลมหายใจละเอียดแทบดับลง
ฌานที่ ๔ : สติตั้งมั่นที่จิต
เมื่อจิตพัฒนาเข้าสู่ จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔)
กาย ลมหายใจ สุขและทุกข์ดับไป เหมือนไม่มีกายไม่มีลมหายใจ เหลือเพียง จิตตั้งมั่นเด่นดวงเป็นอุเบกขาและเอกัคคตา
สติไม่ต้องเพ่งสิ่งใด เหลือแต่ความตั้งมั่นของจิตที่บริสุทธิ์
เป็นภาวะที่กายและลมหายใจสงบสิ้น เหลือแต่ “จิตบริสุทธิ์” เด่นดวง
ในสภาวะนี้ ย่อมรู้จิต เห็นจิตได้โดยตรง เด่นชัดที่สุด
จากสมถะสู่ปัญญาโดยวิปัสสนา
เมื่อจิตเป็น สัมมาสมาธิ ตั้งแต่ฌาน ๑ ถึงฌาน ๔ แล้ว
ย่อมนำสมาธินั้นมาใช้ในทางปัญญา คือ วิปัสสนา
ผู้ปฏิบัติพิจารณา “ขันธ์ ๕” คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
โดยเห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
เมื่อปัญญาแทงตลอด จิตย่อมเบื่อหน่าย คลายกำหนัดจากขันธ์ ๕
อุปาทานดับลง กิเลสดับสิ้น
จิตพ้นจากอวิชชา เข้าสู่วิมุตติ คือ “ความหลุดพ้น”
นั่นแหละคือการ เห็นธรรม ตามความเป็นจริง
อานาปานสติ → ตั้งสติที่ลมหายใจ
สติตั้งมั่น → เกิดสมาธิ (ฌาน ๑–๔)
สมาธิ → วิปัสสนาเกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์
ปัญญา → นำไปสู่ความหลุดพ้นจากกิเลส