พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “จักรวาล” (โลกธาตุ) คือ ขอบเขตของสังสารวัฏ
“นอกจักรวาล” คือ “อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ” ภาวะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีสังขาร ไม่มีเวลาและอวกาศ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ เป็นธาตุอันไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีขอบเขตแห่งโลก”
ซึ่งถ้าเทียบเชิงปรัชญาแล้ว นั่นคือ “ภาวะเหนือมิติทั้งหมด” ไม่ใช่ภายนอก แต่เป็น “นอกระบบการเกิดการดับ” โดยสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
”ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ (อมตธาตุ) ว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น“
ซึ่งอธิบาย “สมาธิและวิปัสสนาขั้นสูงสุด” ที่จิต หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง และเข้าถึง “อมตธาตุ” หรือ “นิพพานธาตุ”
“ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ”
หมายถึง จิตที่ผ่านการอบรมด้วยสมาธิและวิปัสสนาปัญญาอย่างเต็มที่ ย่อมน้อมจิตเข้าไปสู่ “ธรรมอันไม่เกิดไม่ดับ” คือ อมตธาตุ หรือ นิพพานธาตุ เมื่อจิตดับการปรุงแต่ง (สังขาร) ทั้งปวง ไม่เหลือแม้ความคิดปรุง “รู้” หรือ “เห็น” แบบโลกียะ ความสงบอย่างยิ่งจึงปรากฏ เป็น “วิมุตติสุข” ที่เหนือสุขทางกายและใจทั้งหมด
จิตผู้สิ้นอุปธิ คือ ไม่มีสิ่งใดให้ยึด ไม่มีเชื้อแห่งภพชาติหลงเหลือ “สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ ดับสนิท นิพพาน”
นี่คือการดับโดยสิ้นเชิงของ “เหตุแห่งทุกข์” ทั้งมวล
“จักรวาล” (โลกธาตุ) คือ ขอบเขตของสังสารวัฏ
“นอกจักรวาล” คือ “อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ” ภาวะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีสังขาร ไม่มีเวลาและอวกาศ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“อมตธาตุหรือนิพพานธาตุ เป็นธาตุอันไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีขอบเขตแห่งโลก”
ซึ่งถ้าเทียบเชิงปรัชญาแล้ว นั่นคือ “ภาวะเหนือมิติทั้งหมด” ไม่ใช่ภายนอก แต่เป็น “นอกระบบการเกิดการดับ” โดยสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
”ครั้นให้จิตดำเนินไปด้วยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ (อมตธาตุ) ว่านั้นมีอยู่ นั่นประณีต คือสงบสังขารทั้งปวง สละคืนอุปธิทั้งปวง สิ้นตัณหา ปราศจากราคะดับสนิท นิพพาน เธอตั้งอยู่ในฌานนั้น“
ซึ่งอธิบาย “สมาธิและวิปัสสนาขั้นสูงสุด” ที่จิต หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง และเข้าถึง “อมตธาตุ” หรือ “นิพพานธาตุ”
“ย่อมน้อมจิตเข้าหาธาตุอันเป็นอมตะ”
หมายถึง จิตที่ผ่านการอบรมด้วยสมาธิและวิปัสสนาปัญญาอย่างเต็มที่ ย่อมน้อมจิตเข้าไปสู่ “ธรรมอันไม่เกิดไม่ดับ” คือ อมตธาตุ หรือ นิพพานธาตุ เมื่อจิตดับการปรุงแต่ง (สังขาร) ทั้งปวง ไม่เหลือแม้ความคิดปรุง “รู้” หรือ “เห็น” แบบโลกียะ ความสงบอย่างยิ่งจึงปรากฏ เป็น “วิมุตติสุข” ที่เหนือสุขทางกายและใจทั้งหมด
จิตผู้สิ้นอุปธิ คือ ไม่มีสิ่งใดให้ยึด ไม่มีเชื้อแห่งภพชาติหลงเหลือ “สิ้นตัณหา ปราศจากราคะ ดับสนิท นิพพาน”
นี่คือการดับโดยสิ้นเชิงของ “เหตุแห่งทุกข์” ทั้งมวล