สัสสตทิฏฐิสูตรแตกต่างจากน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (นิพพาน) อย่างไร???

สัสสตทิฏฐิสูตรแตกต่างจากน้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (นิพพาน) อย่างไร???

ว่าด้วยความเห็นว่าโลกเที่ยง

[๔๓๓] พระนครสาวัตถี
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะถือมั่นอะไร? เพราะยึดมั่นอะไร? จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ‘โลกเที่ยง’?”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ”
(ความหมาย: ขอให้พระพุทธองค์ทรงอธิบายโดยตรง)


พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ‘โลกเที่ยง’
เมื่อเวทนามีอยู่ … เมื่อสัญญามีอยู่ … เมื่อสังขารมีอยู่ … เมื่อวิญญาณมีอยู่
เพราะถือมั่นวิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนี้ว่า ‘โลกเที่ยง’”


[๔๓๔] พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อ

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นอย่างไร—รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?”

ภิกษุตอบ:

“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”


พระองค์ตรัสถามต่อ

“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?”

ภิกษุตอบ:

“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”


พระองค์ตรัสถามอีก

“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นว่า ‘โลกเที่ยง’ บ้างหรือ?”

ภิกษุตอบ:

“ไม่พึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า”


ดำเนินเช่นเดียวกันกับ เวทนา … สัญญา … สังขาร … วิญญาณ
ทุกครั้งภิกษุตอบว่า “ไม่เที่ยง” → “เป็นทุกข์” → “ถ้าไม่ถือมั่น ก็จะไม่เกิดทิฏฐิว่าโลกเที่ยง”


พระองค์ตรัสถามต่อ

“สิ่งใดที่ได้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ได้ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว บรรลุแล้ว ค้นคว้าแล้วด้วยใจ แม้สิ่งนั้น—เที่ยงหรือไม่เที่ยง?”

ภิกษุตอบ:

“ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า”


พระองค์ตรัสถามต่อ

“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?”

ภิกษุตอบ:

“เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า”


พระองค์ตรัสถามอีก

“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น จะพึงเกิดทิฏฐิขึ้นว่า ‘โลกเที่ยง’ บ้างหรือ?”

ภิกษุตอบ:

“ไม่พึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า”


พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด อริยสาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหล่านี้ได้
ชื่อว่าได้ละความสงสัยแม้ในทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เมื่อนั้น อริยสาวกผู้นี้ เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา และจะตรัสรู้ในเบื้องหน้าอย่างแน่นอน”

จบ สูตรที่ ๙


ย่อมน้อมจิตไปในอมตธาตุว่า

ภิกษุน้อมจิตไปสู่ “อมตธาตุ” (นิพพาน) โดยพิจารณาว่า

ธรรมชาตินี้สงบ ธรรมชาตินี้ประณีต

ธรรมชาตินี้คือความสงบอันยิ่ง และมีความประณีตสูงสุด

คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง

เป็นสภาวะที่ความปรุงแต่งทั้งปวง (สังขาร) สงบระงับลง

เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง

เป็นที่ละและสละคืนเครื่องยึดมั่นทั้งหลาย

เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา

เป็นที่ดับสนิทแห่งความอยาก (ตัณหา)

เป็นที่สิ้นกำหนัด

เป็นที่ดับความกำหนัดยินดี

เป็นที่ดับสนิท เป็นที่ดับกิเลส และกองทุกข์

เป็นที่สิ้นไปของกิเลสทั้งมวล และเป็นการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง


เธอตั้งอยู่ในวิปัสสนา อันมีไตรลักษณ์เป็นอารมณ์นั้น ย่อมบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

ภิกษุนั้นตั้งมั่นอยู่ในวิปัสสนา มีไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุพระอรหัต (ดับอาสวะสิ้นเชิง)


ถ้ายังไม่บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย

แต่ถ้าภิกษุนั้นยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์

ย่อมเป็นโอปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

ย่อมเกิดเป็นโอปปาติกะ (ผู้เกิดผุดขึ้นในภพภูมิสูง) และดับขันธ์ในภพนั้น โดยไม่เวียนกลับมาโลกนี้อีก

เพราะความยินดี ความเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้ง ๕

เหตุเพราะมีความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้น และเพราะได้ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ (โอรัมภาคิยสังโยชน์)


ดูกรอานนท์ มรรคแม้นี้แล ปฏิปทาแม้นี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕

อานนท์เอ๋ย มรรคและปฏิปทานี้เอง เป็นทางเพื่อละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ


ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน…

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นบรรลุทุติยฌาน มีจิตผ่องใสจากภายใน ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบลงแล้ว มีปีติและสุขเกิดจากสมาธิ

ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่… บรรลุตติยฌาน…

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย (สุขทางใจ) เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข

ดูกรอานนท์ อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน…

อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้นบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทั้งทุกข์และสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์

เธอพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งมีอยู่ในภายในสมาบัตินั้น ฯลฯ เพื่อละสังโยชน์

ในสมาบัตินั้น เธอพิจารณารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ 5) ที่เกิดขึ้นอยู่ เพื่อใช้เป็นอารมณ์ในการละสังโยชน์

ฌาน → วิปัสสนา → การละสังโยชน์ → ผลการบรรลุ** ตามแนวพระไตรปิฎก

1. ลำดับขั้นฌาน (สมถะ)

ใช้เพื่อฝึกจิตให้ตั้งมั่น สงบ เป็นฐานให้เกิดปัญญา
    1.    ปฐมฌาน – มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา (จิตเป็นหนึ่ง)
    2.    ทุติยฌาน – วิตกวิจารระงับ เหลือเพียงปีติ สุข เอกัคคตา
    3.    ตติยฌาน – ปีติสิ้นไป เหลืออุเบกขา สุข สติสัมปชัญญะ
    4.    จตุตถฌาน – ไม่มีทั้งสุขและทุกข์ เหลืออุเบกขา และสติบริสุทธิ์

เป้าหมาย: ให้จิตมีกำลัง มีเอกัคคตา พร้อมสำหรับวิปัสสนา

2. วิปัสสนา

เมื่อจิตตั้งมั่นแล้ว ใช้พิจารณาธรรมตามความเป็นจริง
    เพ่ง ไตรลักษณ์ ของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ (ขันธ์ 5)
    อนิจจัง – ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงได้
    ทุกขัง – ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เป็นที่ตั้งแห่งความคับแค้น
    อนัตตา – ไม่ใช่ตัวตน บังคับไม่ได้
    เห็นการเกิด–ดับของสังขารชัดเจน
    จิตคลายกำหนัดและความยึดมั่น (อุปาทาน)

3. ละสังโยชน์

การเห็นตามจริงทำให้ละ “สังโยชน์” (เครื่องร้อยรัดใจ) ตามลำดับ
    สังโยชน์ 10 แบ่งเป็น
    โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 (ละได้ในอนาคามี)
    1.    สักกายทิฏฐิ – เห็นว่ามีตัวตน
    2.    วิจิกิจฉา – ความลังเลสงสัย
    3.    สีลัพพตปรามาส – ยึดติดลัทธิ/พิธี
    4.    กามราคะ – ความกำหนัดในกาม
    5.    ปฏิฆะ – ความขัดเคือง โทสะ
    อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 (ละได้ในอรหันต์)
6. รูปราคะ – ความกำหนัดในรูปฌาน
7. อรูปราคะ – ความกำหนัดในอรูปฌาน
8. มานะ – ความถือตัว
9. อุทธัจจะ – ความฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา – ความไม่รู้จริง

4. น้อมจิตไปสู่อมตธาตุ (นิพพาน)

ตั้งจิตให้มุ่งตรงสู่นิพพาน ด้วยการถอนจิตออกจากสังขารทั้งปวง ไม่ยึดมั่นในขันธ์ 5 แล้วเพ่งพิจารณาว่า “ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต เป็นที่ดับสังขารและอุปธิ เป็นที่สิ้นตัณหา กำหนัด กิเลส และทุกข์โดยสิ้นเชิง”

นี่คือภาวะที่จิตวางสิ้นเชิงต่อโลกธรรม และโน้มเข้าสู่ความดับเย็นอันไม่เกิดไม่ดับ — อมตธาตุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่