พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๑๔ - บทส่งท้าย

กระทู้สนทนา
จบแล้วจ้า
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เขียนเป็นซีรี่ส์ ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออำภัยมา ณ ที่นี้ด้วยเน่อ

ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๑๓ https://pantip.com/topic/40620190

###

บทที่ ๑๔

“จับพวกมันไว้” โอลีนสั่งพวกอินูเว

แต่ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเขา ตอนแรกเสียงนั้นอยู่ห่างไปค่อนข้างไกล จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา

ไม่นานนักก็ปรากฏฝุ่นฟุ้งเต็มทางเดินทางด้านหลัง พวกอินูเวพากันตื่นตระหนกก้าวถอยออกมาจากกลุ่มฝุ่น แต่โอลีนยังยืนสงบนิ่ง รอดูเหตุการณ์อยู่

ท่ามกลางฝุ่นควันที่เริ่มจาง ใครคนหนึ่งวิ่งฝ่าฝุ่นควันออกมา

...นิสเซ่!

เขาอยู่ในร่างกึ่งสัตว์ แสดงว่าต้องกำลังสู้กับใครอยู่อย่างแน่นอน และคนที่จะสู้กับเขาได้ก็ไม่มีคนอื่นอีกแล้วนอกจาก...

“แน่จริงก็อย่าหนีสิโว้ย!” เสียงคุ้นหูตะโกนมา พร้อมกับลมที่พัดฝุ่นฟุ้งกระจายมาทางเราจนทุกคนต้องยกมือขึ้นป้องหน้า กันฝุ่นเหล่านั้น

ยามฝุ่นเริ่มจาง ผมก็เห็นปีกสีขาวแผ่จรดทางเดินทั้งสองด้าน กำลังร่อนลงตรงหน้าเรา

“อะไรกัน เจ้ายังถูกจับอยู่อีกเรอะ” เอธร่ามองมาทางผม สีหน้าแปลกใจ “ไหนพวกอินูเวคุยกันว่ามีคนมาช่วยเจ้าแล้วไง”

ขณะนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามือที่ยึดกุมผมอยู่กำแน่นเข้า ปลายมีดที่ชี้ไปทางไหนก็ไม่รู้ระหว่างผจญพายุฝุ่นก็กลับมาจ่อที่คอผมอีก

ทำไมผมถึงไม่รู้ตัวแล้วฉวยโอกาสสะบัดหลุดตั้งแต่เมื่อครู่ละเนี่ย...

“นิสเซ่ ข้าบอกให้เจ้าเฝ้าไว้ไม่ใช่เรอะ!” โอลีนหันไปดุคนร่างกึ่งสัตว์

นิสเซ่กัดฟันกรอด สายตายังจ้องอยู่ที่เอธร่า “ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ มันจะฮึดสู้ขึ้นมา” ว่าแล้วเขาก็ชำเลืองมองผมทางหางตา “แต่ไม่ต้องห่วง จุดอ่อนมันยังอยู่ในกำมือเรา”

โอลีนชำเลืองมองผมแล้วเหยียดยิ้ม จากนั้นจึงหันไปเอ่ยกับเอธร่า “เจ้ามาแล้วจะทำอะไร อยากให้เพื่อนของเจ้าตายรึ”

เอธร่าคำรามในลำคอเบาๆ มือทั้งสองกำแน่นอยู่ข้างตัว ครั้นแล้วปีกสีขาวก็หดหายไป ร่างของเขาเปลี่ยนกลับเป็นมุส

ลมหายใจของผมแทบขาดช่วงไป ผมกวาดมองจากมุสมายังเวิร์น ชาเวียร์ เจ้าอิม แล้วมองกลับไปที่มุสอีก สีหน้าเขาในยามนั้นทำให้ผมตัวชา แขนขาไร้ความรู้สึก ร่างกายหนักอึ้ง...ผมเป็นตัวถ่วง ทำให้เขาสู้ไม่ได้ ทำให้ทุกคนหนีไม่ได้

ถ้าหากผม...แค่สะบัดหลุดจากอินูเวคนนี้ ทุกคนก็จะเป็นอิสระ...ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

นึกถึงตรงนี้แล้วมือผมก็กำเข้าหากัน ตอนนั้นเอง ผมพลันรู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่างอยู่ในมือ

แหวนของอินูเว...แหวนที่ชาเวียร์ยัดใส่มือผมก่อนหน้านี้

ถ้าผมเดาไม่ผิด มันเป็นแหวนที่ชาเวียร์ยึดมาจากอินูเวที่จับผมไว้นี้ ชาเวียร์บอกว่ามันใช้ไม่ยาก เธอไม่ใช่อินูเว ไม่น่าจะเคยใช้พลังจากแหวนแบบนี้มาก่อน แต่เธอก็ยังใช้มันพังห้องในฐานนี้ไปตั้งหลายห้อง ผมเองก็ต้องใช้มันได้เช่นกัน

พอคิดแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกว่าแหวนในมือร้อนวูบขึ้น

ผมตกใจคลายมือออกนิดหนึ่ง แต่พอนึกว่าจะทำแหวนหล่นไม่ได้ ผมจึงกำมันแน่นเข้า พยายามรวบรวมความคิด...ผมต้องใช้มัน...ต้องทำให้ตัวเองเป็นอิสระเสียก่อน

ความคิดพอบังเกิด แหวนก็ร้อนวูบขึ้นมาอีก คราวนี้ผมไม่ตกใจแล้ว ผมพยายามจดจ่ออยู่กับความคิด ทันใดนั้นมือข้างที่กำแหวนก็มีแสงสีแดงเรือง แสงนั้นขยายวงกว้างออกมาจนครอบทั้งตัวผม

“เฮ้ย!” อินูเวที่จับผมอยู่ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ แต่ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ไม่มีเวทมนตร์ที่จะตอบโต้ อึดใจนั้นร่างของเขาก็ถูกแสงสีแดงดีดกระเด็นออกไป มีดที่ถืออยู่หลุดจากมือ กระเด็นกระทบผนังด้านข้าง แล้วตกลงบนพื้นหินดังเคร้ง

ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วครู่

พอแสงสีแดงวูบหายไปจากร่างแล้ว ผมก็แบมือข้างที่กำแหวนไว้ หยิบมันขึ้นมาสวมนิ้วหัวแม่มือ ก้าวไปหยิบมีด แล้วหันไปหิ้วคออินูเวผู้โชคร้าย เอามีดจ่อคอเขาไว้ ตอนนั้นแหวนที่นิ้วหัวแม่มือเรืองขึ้นอีก มันขยายวงออกจนเกือบคลุมร่างอินูเวผู้โชคร้ายได้ แต่สุดท้ายก็สลายไป ผมส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจ

ลูกโป่งแสงที่เอาไว้ขังคนอื่นนี่สร้างยากกว่าที่คิดแฮะ

ครั้นแล้วผมก็เงยหน้ากวาดสายตาไปยังกลุ่มคนที่มองดูเหตุการณ์นั้นอย่างตื่นตะลึงราวกับลืมหายใจ

“ดูอะไรล่ะ รีบๆ สู้ รีบๆ ตัดสินกันเสียที” ผมตะโกนบอก

มุสเป็นคนแรกที่ตอบสนองคำพูดของผม เขาฉีกยิ้ม ลายพาดสีดำปรากฏขึ้นบนร่าง ปีกสีขาวแผ่กางออก กระพือจนเกิดเป็นลมแรง พัดพวกอินูเวกระทั่งยืนไม่ติดที่ พากันล้มระเนระนาด

นิสเซ่รีบสร้างข่ายเวทมนตร์ป้องกันลมนั้น เขาผลักข่ายนั้นให้ขยายกว้างขึ้น แผ่ไปยังเอธร่า แต่เอธร่าสะบัดปีกคราหนึ่ง แสงสีฟ้าวูบขึ้น ข่ายเวทมนตร์ก็สลายไป

เจ้าอิมโผบินสูงขึ้น มันพ่นไฟลงมาเป็นแนวเหมือนต้องการกันผมออกจากวงต่อสู้

ว่าแต่ มันรู้จักสั่งผมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

ขณะเดียวกันชาเวียร์ก็ปล่อยพลังจากแหวนของซาฮาร์ออกไป ผมไม่รู้ว่าเธอเล็งไปที่ไหน แต่แสงสีแดงพุ่งใส่อินูเวที่ยืนอยู่ระหว่างโอลีนกับเวิร์นในลูกโป่งคนหนึ่งล้มลง จากนั้นเธอก็ชักมือกลับ พึมพำบางอย่างอย่างขัดใจ

โอลีนได้โอกาสจึงปล่อยแสงสีแดงใส่ชาเวียร์ เธอก้มตัวหลบแล้วปล่อยพลังไปยังโอลีน แต่ลูกโป่งที่ขังเวิร์นกลับลอยมาขวางไว้

เวิร์นส่งเสียงร้องยามแสงสีแดงพุ่งใส่ แต่แล้วเขาก็กลับหันยิ้มให้กำลังใจภรรยาที่กำลังตื่นตระหนก

“ไม่ต้องห่วงข้า” เขาบอกเธอ “ทำลายฐานนี้เสีย”

ชาเวียร์ลังเลอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นสีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เธอผงกศีรษะรับคำสามี แล้วจึงปล่อยพลังออกอีกครั้ง

แสงสีแดงพุ่งเป็นลำขนาดใกล้เคียงกับที่โอลีนใช้ แต่คราวนี้มันพุ่งเฉียงขึ้นด้านบน กระแทกใส่เพดานหิน

เศษหินร่วงพรูลงใส่ศีรษะของโอลีนกับพวก ครู่ต่อมาเพดานตรงบริเวณนั้นก็ถล่มลง

โอลีนกับพวกสร้างข่ายเวทมนตร์คลุมเหนือศีรษะ ดันเพดานหินไม่ให้หล่นทับตัวเอง ข่ายเวทมนตร์ทรงครึ่งวงกลมครอบพวกเขา รวมทั้งเวิร์นไว้ด้วย

ชาเวียร์จู่โจมอีกรอบ เธอปล่อยพลังใส่ข่ายเวทมนตร์ เล็งลำแสงไม่ให้พุ่งตรงใส่เวิร์น แล้วก็ไม่ให้ห่างมากเกินไป ผมเดาว่าเธอยังพยายามหาโอกาสช่วยเขาแต่ก็ยังลังเล ลำแสงสีแดงที่เธอปล่อยออกไปจึงเล็กกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา มันสลายไปทันทีที่สัมผัสข่ายเวทมนตร์

ระหว่างนั้นร่างสีดำจำนวนหนึ่งก็กระโดดลงมาจากเพดานที่ถล่มลงมา...

ดูเหมือนข้างบนนั้นจะเป็นห้องที่โอลีนขังพวกนาร์คูลไว้พอดี พอพวกเขาลงมายืนบนพื้นแล้วได้พวกเขาก็งุนงงทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่

“นาร์คูล พาเวิร์นออกมา เร็วเข้า!” ผมตะโกน ไม่รู้หรอกว่านาร์คูลที่ผมรู้จักคือคนไหนและอยู่ในกลุ่มนั้นรึเปล่า แต่ถึงเวลานี้แล้วคงต้องเสี่ยงกัน

ซึ่งการเสี่ยงของผมก็ไม่สูญเปล่า พวกนาร์คูลหันไปทางโอลีนโดยพร้อมเพรียง แต่มีสามคนก้าวมาทางผม...

ผมงุนงง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร นาร์คูลคนหนึ่งดึงมือผมข้างที่ถือมีดไว้ อีกสองกระชากตัวอินูเวผู้โชคร้ายไป แล้วรุมเตะต่อยจนน่วมไปทั้งตัว...

“พอแล้วๆ” ผมห้ามพวกนาร์คูล “ไม่เห็นหรือ เขาสลบไปแล้วน่ะ”

อินูเวผู้โชคร้ายแน่นิ่งไม่ได้สติแล้วจริงๆ พวกนาร์คูลจึงยอมปล่อยเขา แล้วก้าวไปสมทบกับคนอื่นๆ ที่กำลังพยายามทุบถองข่ายเวทมนตร์ ถึงโอลีนจะบังคับพวกเขาไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีพลังแล้ว ดังนั้นจึงต้องอาศัยกำลังกายเข้าสู้ เพียงแต่กำลังกายอย่างเดียวทำลายข่ายเวทมนตร์ไม่ได้

“ชาเวียร์” เวิร์นเรียกภรรยา​ “พลังของเจ้ากับเจ้าอิมน่าจะทะลวงข่ายเวทมนตร์ได้ เร็วเข้า ไม่ต้องห่วงข้า”

ชาเวียร์ละล่ำละลัก จากนั้นจึงหันไปผงกศีรษะให้เจ้าอิม

“พวกเจ้าถอยออกมาก่อน” เธอร้องบอกพวกนาร์คูล พอพวกนั้นทำตาม เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยลำแสงสีแดงขนาดใหญ่กว่าตอนที่พังเพดานลงมาเสียอีก

เจ้าอิมพ่นไฟออกไป ไฟของมันวนเป็นเกลียวรอบลำแสงสีแดงของชาเวียร์ แล้วผสานกันพุ่งตรงไปยังข่ายเวทมนตร์ ตรงตำแหน่งที่เฉียดเวิร์นไปนิดหนึ่ง

“พวกเจ้าดันหินนี่ออกไป” เวิร์นตะโกนบอกพวกอินูเว “ข้าจะจัดการกับพวกมันเอง!”

ข่ายเวทมนตร์เปลี่ยนรูปร่าง กลายเป็นครึ่งวงกลมสองวงเหลื่อมกัน วงหนึ่งค้ำเพดานหินไว้ อีกวงหนึ่งครอบเวิร์นกับโอลีนอยู่ มันค่อยๆ ขยายออกต้านทานพลังของชาเวียร์และเจ้าอิม

พลังของพวกเขายื้อยุดกันไปมา ที่ด้านหลังของพวกเขา แสงสีฟ้าจากพลังของเอธร่าและนิสเซ่ก็สว่างวูบวาบให้เห็นเป็นระยะ

ตอนนั้นเอง แสงสีฟ้าสว่างวูบขึ้นทางด้านหลังของข่ายเวทมนตร์ ได้ยินเสียงดังตุบ แล้วแสงสีฟ้าก็สว่างวาบขึ้นอีก ตามมาด้วยเสียงระเบิดโครมใหญ่ เพดานหินที่หล่นลงมาแตกกระจายเป็นเศษฝุ่น ข่ายเวทมนตร์ก็พลอยสลายไปด้วย...

“ยอมรับเสียเถอะ เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก เจ้าของปลอม” เอธร่าตะโกนขึ้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะ

นิสเซ่ที่เพิ่งหลบการโจมตีของเอธร่าได้อย่างหวุดหวิด พลันกระโดดขึ้นจากพื้น ดีดเท้ากับผนังที่ด้านข้าง กระโจนเข้าใส่เอธร่าพร้อมพุ่งพลังออกไป

พวกเขาต่างคนต่างแลกพลังกันโดยไม่ได้สนใจคนอื่นเลยสักนิด...

ข่ายเวทมนตร์สลายไปแล้ว ใบหน้าของนาร์คูลทั้งฝูงพลันปรากฏรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมขึ้นโดยพร้อมเพรียง

พวกเขากระโจนเข้าใส่เหล่าอินูเว อีกฝ่ายพยายาปล่อยพลังตอบโต้ป้องกันตัว แต่คงเพราะเปลืองพลังในการสร้างข่ายเวทมนตร์มากเกินไป แสงสีแดงที่ปล่อยออกมาจึงมีขนาดเล็ก และทำได้แค่ดีดนาร์คูลกระเด็นไปทีละคนสองคน

นาร์คูลบางส่วนหลบเลี่ยงแสงสีแดงเหล่านั้นได้ ถึงพวกเขาจะไม่มีพลัง แต่ทักษะในการต่อสู้ก็ไม่ได้ลดน้อยลง พวกเขายังมีความเร็วและกำลังกายเป็นอาวุธ

อินูเวหลายคนถูกพวกนาร์คูลรุมเตะต่อย บางคนสร้างข่ายเวทมนตร์ป้องกันตัวเองไว้ได้ทัน แต่จะทนได้อีกนานสักเท่าใด...

โอลีนกับเวิร์นอยู่ท่ามกลางวงต่อสู้ โอลีนสร้างข่ายเวทมนตร์ขนาดเล็กครอบร่างตัวเอง แล้วดึงลูกโป่งแสงที่ขังเวิร์นอยู่ให้ลอยมาบังตรงหน้า สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ชาเวียร์ เขารู้ว่าหากยังมีเวิร์นเป็นตัวประกัน ชาเวียร์ต้องไม่กล้าทำอะไรรุนแรง

ชาเวียร์หันไปพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าอิมแต่ผมจับความไม่ได้ เสียงต่อสู้ระหว่างนาร์คูลกับอินูเวกลบเสียงของเธอไปหมด

ครั้นแล้วเจ้าอิมก็บินสูงขึ้นจนแทบจรดเพดาน (ที่หายไปแล้ว) จากนั้นก็พ่นไฟใส่ข่ายเวทมนตร์ของโอลีน

แน่นอน แค่ไฟของเจ้าอิมทำอะไรโอลีนไม่ได้ แต่ชาเวียร์ไม่ได้ต้องการให้เจ้าอิมทะลวงข่ายเวทมนตร์ เธอต้องการให้มันหันเหความสนใจของโอลีนเท่านั้น

ขณะที่โอลีนละสายตาจากเธอ หันไปมองเจ้าอิมนั่นเอง ชาเวียร์ก็วิ่งตรงไปตรงหน้าเขา ประทับมือข้างหนึ่งกับข่ายเวทมนตร์ แล้วระเบิดพลังใส่เขา

แรงระเบิดทำให้ร่างของเธอลอยลิ่วกระเด็นจากตรงนั้น แม้แต่เจ้าอิมที่บินอยู่ห่างๆ ยังต้องกระพือปีกประคองตัวไว้ ข่ายเวทมนตร์ของโอลีนสั่นไหว เหมือนกับภาพที่เลือนไปชั่วขณะ แล้วก็กลับมาชัดเจนดังเดิม

“ถึงเจ้าจะมีแหวนของซาฮาร์ แต่ก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้!” โอลีนประกาศ

ชาเวียร์ชันแขนดันตัวเอง แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีแรงลุกขึ้นยืน เธอเหยียดยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นอะไรหรือไม่” นางว่าแล้วเหลือบมองไปด้านข้าง รอยยิ้มเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “ปลอดภัยแล้วนะสามี”

คนที่กระเด็นออกมาเพราะแรงระเบิดไม่ได้มีแค่ชาเวียร์ ตอนที่เธอวางมือข้างหนึ่งบนข่ายเวทมนตร์ของโอลีน มืออีกข้างก็ประทับบนลูกโป่งที่ขังเวิร์นอยู่ ดังนั้นยามที่เธอระเบิดพลัง เวิร์นก็ถูกผลักกระเด็นออกมาด้วย แม้แต่แสงสีแดงที่ครอบร่างเขาก็สลายไปในตอนนั้นเอง

เวิร์นพลิกตัวลุกยืนขึ้น แล้วก้าวไปทางภรรยา ขาของเขายังไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่พอถึงตัวภรรยาแล้วเขาก็ยื่นมือให้เธอจับ แล้วกึ่งฉุดกึ่งประคองเธอขึ้นจากพื้น

“ขอบคุณนะภรรยา เจ้าทั้งสวยทั้งเก่งที่สุดในโลกเลย”

ชาเวียร์ยิ้มให้กับคำพูดนั้น พวกเขาต่างโอบประคอง ต่างมองตากันและกัน ดูเหมือนจะลืมไปว่าตัวเองยังอยู่ในระหว่างต่อสู้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่