พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๑

สวัสดีปีใหม่ค่ะ ไอดินกับมุสภาคห้ามาแล้ว สำหรับภาคนี้เป็นภาคจบแล้วนะคะ

###

บทที่ ๑

เอธร่าบินโฉบอยู่เหนือกลุ่มควันและเขม่าหนาทึบซึ่งปกคลุมท้องฟ้า

ผมไม่เห็นเขา แต่ผมได้ยินเสียงขนปีกที่กระพืออยู่ในอากาศ

ผมกำลังนั่งกอดเข่าหลบอยู่ใต้แผ่นหินซึ่งเป็นซากอาคารหลังหนึ่ง รอบตัวผมเป็นซากตึกที่เหลือเพียงเหล็กและหิน เป็นซากเมืองที่พังพินาศ ไร้ชีวิต

ผมต้องหลบเขา หลบให้พ้นจากเขา ต้องไม่ให้เขาหาผมพบ

เสียงปีกในอากาศหายไปแล้ว มันถูกแทนที่ด้วยอีกเสียงหนึ่ง เสียงใครคนหนึ่งที่กำลังเหยียบย่างบนซากอิฐหิน ใครคนหนึ่งกำลังพลิกรื้อเศษซากปรักหักพัง

เสียงนั้นดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา ผมนั่งกอดเข่าตัวเองแน่นเข้า พยายามบีบตัวให้เล็กที่สุด พยายามไม่ให้ถูกพบเห็น...

แต่แล้วแผ่นหินที่กำบังผมอยู่กลับพลิกหงายขึ้นด้วยแสงสีฟ้าเรือง

“อยู่ที่นี่เอง” เอธร่าเอ่ยเสียงเยียบเย็น ริมฝีปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันโหดร้าย

แล้วแสงสีฟ้าก็พุ่งใส่ผม พุ่งใส่กลางหน้าอกผม ร่างของผมก็ค่อยๆ สลาย ความรู้สึกทั้งมวลล้วนดับวูบลง

---

“ตายแล้วเรอะ!” เสียงใครคนหนึ่งตวาดอยู่ข้างหู

ผมปรือตาลืมขึ้นด้วยความงัวเงีย ทุกอย่างดูเลือนรางไปหมด รอบตัวล้วนมืดทึม เห็นเพียงแสงสลัวทางหางตาด้านซ้าย ใครคนหนึ่งโผล่หน้ามาบังแสงสลัวนั้นจนเห็นเป็นเงาสีดำ

“ไม่ตายนี่ ฟื้นแล้วก็ลุกขึ้นสิโว้ย!” เสียงนั้นตะโกนใส่หน้าผมอีก ใบหน้าที่เห็นเพียงเงาในตอนแรกก็ปรากฏชัดขึ้น

“ว้าก! อย่าฆ่าฉัน อย่า!” ผมร้องอย่างตื่นตระหนก พลางผุดลุกขึ้นนั่ง มือปัดป่ายพัลวัน

“ใครจะฆ่าใครรึ” ได้ยินอีกเสียงเอ่ยจากที่ห่างออกไปเล็กน้อย เป็นเสียงทุ้มสุขุมของชายคนหนึ่ง ทว่าไม่คุ้นหูเลยสักนิด

ผมค่อยๆ ลืมตามองไปทางต้นเสียงนั้น ก็เห็นชายคนหนึ่งแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเนื้อหยาบสีน้ำตาลไม่มีปก กับกางเกงขายาว

“ไอดินขอรับ ไอดินร้องว่ามีคนจะฆ่า” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น เสียงนี้คล้ายกับเคยได้ยินที่ไหนเมื่อไม่นานมานี้ ผมหันตามเสียงนั้นไปอีกก็เห็นนาร์คูลนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่ดูคล้ายผู้หญิงนั้นมองมาทางผมอย่างสงสัย “เจ้าอ่อนแอ”

เฮ้ย! อยู่ดีๆ ทำไมมาว่ากันอย่างนี้ล่ะ

“ไอดินมันอ่อนอยู่แล้ว” มุสที่ยืนกอดอกมองผมอยู่ร่วมผสมโรง

ชายแปลกหน้าหัวเราะขบขันเล็กน้อยพร้อมกับเดินเข้ามาทางผม “เป็นอย่างไรบ้าง หายใจสะดวกรึเปล่า” เขาถาม ผมจึงค่อยรู้สึกตัวว่าอากาศที่นี่อึดอัดนัก ครู่ต่อมาจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองอยู่ในมิติของนาร์คูล...มิติต้นกำเนิดของมุส

“ครับ” ผมรับด้วยความเกรงใจ ชายแปลกหน้าก็ยิ้มอย่างใจดี จากนั้นจึงยื่นกระบอกอะไรบางอย่างมาตรงหน้าผม นิ้วหัวแม่มือของเขาสวมแหวนสีดำมีลวดลายคล้ายๆ กำไลของนาร์คูล คงเป็นรูปแบบที่นิยมกันในมิตินี้กระมัง

“ดื่มสิ จะได้หายคอแห้ง”​ เขาบอก ผมจึงรับกระบอกนั้นมา เห็นข้างในมีน้ำอยู่ก็ยกขึ้นดื่มโดยไม่คิดอะไร ทว่าพออึกแรกผ่านเข้าไปในปากผมก็ต้องขมวดคิ้ว แต่ไม่กล้าถมทิ้ง ต้องจำใจกลืนน้ำรสฝาดนั้นลงคอ

“เห็นนาร์คูลบอกว่าเจ้าไม่เคยมามิตินี้” เขาถามพลางรับกระบอกน้ำที่ผมยื่นส่งคืนให้หลังจากดื่มไปได้เพียงอึกเดียว

“ครับ” ผมตอบพร้อมกับกระแอมเล็กน้อย รสฝาดนั้นยังติดอยู่ที่โคนลิ้น

“มิติของเจ้าคงต่างจากที่นี่มากกระมัง ดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่ชินกับ...” เขาหยุดแล้วก็มองไปรอบๆ ห้องอันมืดทึม “...ฝุ่น”

ผมผงศีรษะรับนิดหนึ่ง รู้สึกสากในลำคอจนไม่อยากพูดอะไร

“ข้าก็ไม่เคยมาที่นี่ ไม่เห็นสลบเหมือดแบบเจ้าเลย” มุสแย้ง ผมจึงนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ผมหมดสติไป...

จำได้ว่าตอนที่ข้ามมายังมิตินี้กับมุส เขาบอกว่าตัวเองก็ไม่เคยมาเหมือนกัน จึงต้องมีผู้นำทาง และผู้นำทางนั้นก็คือนาร์คูล

มุสบอกว่าเขาทำข้อตกลงกับคนชุดดำ (ที่พูดไม่รู้เรื่อง) คนนั้นว่า จะให้เขาช่วยหาคำตอบเกี่ยวกับความเป็นมาของมุสให้ (มุสไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ความทรงจำของเขานับย้อนไปได้เพียงห้าปีเท่านั้น)

หลังจากนั้นนาร์คูลก็พาเราเดินฝ่ากลุ่มควันและเถ้าถ่านที่หนาทึบขึ้นเรื่อย ผ่านภูมิประเทศที่มีแต่ต้นไม้แห้งตาย มีแต่ซากอาคารและยานยนต์ ซึ่งน่าจะเคยมีสภาพคล้ายมมิติของผม แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกทิ้งร้าง ถูกกลบใต้ฝุ่นเถ้าถ่านหนาจนทำให้เห็นเพียงรูปร่างของสิ่งเหล่านั้นเท่านนั้น

ยิ่งเดินผมก็ยิ่งหายใจไม่ออก ลมหายใจที่สูดเข้าแต่ละครั้งราวกับเต็มไปด้วยเข็มแหลมคม ทิ่มตำตั้งแต่โพรงจมูก ลำคอ ลงไปจนถึงปอด ผมพยายามกลั้นหายใจ แต่ยิ่งกลั้นก็ยิ่งแสบจมูก ตาพร่าเพราะแสบเคืองหรือเพราะอะไรก็ไม่ทราบ สุดท้ายผมก็เดินต่อไปไม่ได้ ทรุดกายลงท่ามกลางฝุ่นควัน

มุสกับนาร์คูลที่เดินนำผมอยู่ในตอนแรกหันกลับมาดูผม แต่พวกเขาไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่มองหน้ากัน ระหว่างนั้นเปลือกตาของผมก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดสติของผมก็หลุดลอย

“ผมสลบไปนานไหมครับ”

“ข้าก็ไม่รู้”​ ชายหน้าตาใจดีบอก “แต่นิสเซ่แบกเจ้าเข้ามาเมื่อสามชั่วโมงก่อน”

นิสเซ่...ผมคิดอยู่เป็นครู่จึงนึกขึ้นได้ นาร์คูลก็เรียกมุสว่านิสเซ่ คนในมิตินี้คงรู้จักเขาในนามนิสเซ่กระมัง

ผมหันไปมองเพื่อนต่างมิติที่ยืนกอดอกอยู่ข้างเตียง คิดว่าจะขอบคุณเขาเสียหน่อย แต่หมอนั่นกลับเสมองไปทางอื่น พลางพึมพำ “เจ้าอ่อน”

หนอย คำก็อ่อน สองคำก็อ่อน ใช่สิ ฉันไม่อึดถึกแบบพวกนายนี่ ว่าแล้วก็น่าจะขนยาฆ่าเชื้อใส่เป้มาด้วย...จริงสิ เป้

“เอ่อ มีใครเห็นเป้ของผมไหมครับ”

“เป้” คนฟังทำหน้าประหลาดใจ จากนั้นจึงส่งเสียงอ้อออกมา “หมายถึงถุงย่ามนี่น่ะหรือ” เขาว่าแล้วก้าวไปที่ปลายเตียง ก้มหยิบเป้ของผมส่งให้

ผมรับเป้มาพร้อมกับถอนหายใจ จำได้ว่าตอนกลับจากมิติของคนกระปุ๊กลุก ผมยังไม่ได้เอาเครื่องผลิตน้ำกับอาหารเม็ดออกจากกระเป๋าก็ถูกนำตัวไปขังที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแล้ว ที่สำคัญอีกอย่าง นอกจากน้ำกับอาหาร ในเป้ยังมียาแก้แพ้ที่นำมาจากมิตินั้นด้วย

อย่างน้อยของพวกนี้ก็คงทำให้ผมอยู่ในมิตินี้ได้สักสองสามสัปดาห์...หากไม่ถูกฆ่าตายเสียก่อนนะ

นึกถึงตรงนี้ผมยังรู้สึกขนพองกับความฝันเมื่อครู่ไม่หาย...เอธร่าจะฆ่าผม เป็นไปไม่ได้

“จริงสิ ลืมแนะนำตัวไป ข้าชื่อ เวิร์น” เขาบอก ผมจึงแนะนำตัวเองบ้าง แต่มุสกลับตัดบทว่า เขาแนะนำผมกับเวิร์นไปแล้ว

“สามี แขกของเราเป็นอย่างไรบ้าง” ได้ยินเสียงหญิงสาวคนหนึ่งร้องถาม พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็เปิดประตู ก้าวเข้ามาในห้อง พอเธอเห็นผมนั่งอยู่บนเตียงก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก “ตื่นแล้ว คงไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง”

เวิร์นก้าวไปยืนข้างหญิงสาว มือข้างหนึ่งแตะบ่าเธอเบาๆ “นี่คือชาเวียร์ ภรรยาแสนสวยของข้า”

ผมทักทายเธอตามมารยาท ชาเวียร์ก็ทักตอบ จากนั้นเวิร์นจึงหันไปถามภรรยา “เตรียมอาหารเป็นอย่างไรบ้าง เหนื่อยไหม” พลางยกมือเช็ดเหงื่อ (ซึ่งไม่น่าจะมี) บนหน้าผากภรรยา ชาเวียร์สั่นศีรษะปฏิเสธ แต่ก็ยังเรียกสามีไปช่วยเตรียมโต๊ะอยู่นั่นเอง

ดูๆ แล้วก็ทำให้คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่จะรู้หรือเปล่าว่าผมถูกมุสลักพาตัวมา

แล้วยังเจ้าอิมอีก ไม่รู้ว่าป้องหล้าจะทำอะไรกับมันบ้าง...

ครั้นเหลือกันสามคนแล้วมุสก็ก้มกายนั่งลงบนเตียงข้างตัวผม “จะกลับไหม” น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ แต่ให้ความรู้สึกจริงจัง

ผมยังรู้สึกแปลกใจจึงไม่ทันได้ตอบ นาร์คูลจึงเป็นคนเอ่ยประโยคต่อมา

“ถ้าไอดินกลับ ก็ไม่มีคนช่วย...”

“ช่างเหอะน่า” มุสตัดบท แล้วจึงหันมาทางผมอีก “ตกลงว่าอย่างไร จะกลับไหม”

ผมนิ่งไปนิดหนึ่ง มุสต้องการให้ผมช่วยหรือ ช่วยอะไร...ช่วยเป็นตัวถ่วงรึ

“ถ้านายมีเรื่องให้ฉันช่วย” ผมอ้อมแอ้มเอ่ยออกมา “ฉันก็จะอยู่ช่วย แล้วก็...” หยุดคิดอีกนิดจึงกล่าวต่อ “ขอบใจนะที่ช่วยฉัน ทั้งตอนที่แบกฉันมาที่นี่ แล้วก็ตอนพาฉันออกจากห้องสอบสวนนั่นด้วย”

“เฮอะ นั่นมันแผนเกล็ดแก้วต่างหาก”

“ว่าแต่...นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันถูกจับ เกล็ดแก้วบอกหรือ นายไปเจอเกล็ดแก้วได้อย่างไร”

“ถามมากจริง” หมอนั่นบ่น แต่ก็ยอมเล่าออกมา เขาว่าหลังจากตกลงกับนาร์คูลเรียบร้อยและปล่อยเขาจากเรือนประดิษฐ์แล้ว (สรุปว่าพวกเขาคุยกันรู้เรื่องด้วยแฮะ) มุสก็มาหาผมที่บ้าน แต่ไม่พบ เขามาหาผมอีกสองสามครั้งจึงเจอพ่อกับแม่ พ่อกับแม่เล่าให้เขาฟังว่าผมถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ และบอกอีกว่าเจ้าหน้าที่รู้เรื่องการข้ามมิติแล้ว ยังควบคุมตัวพ่อกับแม่แล้วก็เกล็ดแก้วไปสอบสวนด้วย หมอนั่นร้อนใจจึงไปหาเกล็ดแก้ว ยายผงซิลิก้าจึงเสนอแผนช่วยผม

“ยายนั่นบอกให้นายพาฉันมาที่นี่หรือ”

“เปล่า นางแค่บอกให้ข้าพาเจ้าออกมาจากที่นั่นด้วยการข้ามมิติ” มุสว่าอย่างหน้าตาเฉย “ข้าพาเจ้ามาที่นี่เอง”

เฮ้ย! นี่มันลักพาตัวกันนี่

นาร์คูลคงเห็นสีหน้าเจื่อนของผม เขาจึงพยายามอธิบาย “พวกอินูเวมีเวทมนตร์ ก็เลยต้องให้เจ้าช่วย”

“อินูเวมีเวทมนตร์น่ะ ฉันรู้แล้ว แต่จะให้ช่วยอะไร”

“ไปหาโอลีน”

“ไปหาทำไม” (ไปให้เขายิงแสงใส่เรอะ!)

“เจ้าหุบปากไปเถอะ นาร์คูล ข้าบอกเขาเอง” มุสบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วจึงหันมาทางผม “เวิร์นบอกว่าฐานของอินูเวมีเขตเวทมนตร์ซึ่งสามารถจับกระแสเวทมนตร์ได้ ถ้าหากเราจะลอบไปสืบที่ฐานของพวกมัน ก็ต้องให้คนไม่มีเวทมนตร์ไป ซึ่งก็คือ...” เขาชี้นิ้วมาทางผม “...เจ้า”

ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดในลำคอ นึกถึงตอนลอบเข้าไปในฐานใต้น้ำของชาวมาเซปา เมื่อตอนอยู่ในมิติของปราบแดน ขนาดตอนนั้นมีมุสอยู่ ผมยังแทบเอาตัวเองไม่รอด

“ขอผู้ช่วยสักคนได้รึเปล่า” ผมถามละล่ำละลัก

มุสกับนาร์คูลมองหน้ากัน “ข้ากับนาร์คูลไปกับเจ้าไม่ได้ พวกนั้นจะรู้ตัว”

“แต่...นาร์คูลเป็นคนในอยู่แล้วไม่ใช่เรอะ”

“ใช่ แต่พรุ่งนี้เขาต้องกลับฐาน”

ผมเอียงคอมองคนที่ดูเหมือนอยากจะพูดแต่ถูกสั่งให้หุบปาก “ถ้านายต้องกลับฐานอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่สืบเรื่องของโอลีนมาเลยเล่า” ผมถามด้วยความงุนงง

“ข้าออกมาปฏิบัติภารกิจ กลับไปแล้วก็ถูกขัง”

คำตอบเรียบๆ ของนาร์คูลทำเอาผมชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะอ้อมแอ้มถามออกมา “ทำไมล่ะ”

หมอนั่นชี้ไปที่ปลอกคอ...เอ้ย ห่วงคอของตัวเอง ผมจึงพอเข้าใจ เขาคงเป็นเหมือนทาสกระมัง

“ว่าแต่ภารกิจที่เจ้าว่าคืออะไร” มุสถามขึ้นบ้าง

“ไปต่างมิติ”

“ไปทำอะไรละโว้ย”

“เก็บข้อมูล”

ผมกะพริบตาพร้อมกับถามเขาอย่างสงสัย “เก็บไปทำไมล่ะ” คงไม่ใช่เพื่อการท่องเที่ยวแน่ๆ

หมอนั่นสั่นศีรษะเป็นคำตอบ ผมกับมุสจึงถอนหายใจเกือบพร้อมกัน ถามตอบอยู่ตั้งนาน สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร

เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง ผมจึงวกกลับมาคุยเรื่องเดิมอีก “เวิร์นเล่า เวิร์นไปกับฉันไม่ได้หรือ”

“ก็ไม่ได้เหมือนกัน เขามีเวทมนตร์”

“ภรรยาเขา ชาเวียร์ล่ะ”

“ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ชาเวียร์จะมายุ่งเรื่องนี้ไม่ได้”

“ทำไมรึ”

คราวนี้มุสไม่ตอบ แต่หันไปทางนาร์คูล “ชาเวียร์ไม่รู้ว่าเวิร์นเป็นใคร”

“แล้วเป็นใครล่ะ”

“เคยเป็นหนึ่งในอินูเว”

“ฮ้า!” ผมอุทาน “แล้วทำไมเขาถึงมาช่วยเราล่ะ”

“ไม่รู้” นาร์คูลบอก

“ไม่รู้แล้วจะเชื่อเขาได้หรือ”

คนพูดไม่รู้เรื่องผงกศีรษะ

“ได้ยังไง”

“เขาเป็นคนบอกให้ข้าไปตามหานิสเซ่”

---
[ต่อข้างล่างนะคะ]
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่