พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๔

ไฮซานโผล่มาได้ยังไงนะ ติดตามอ่านต่อได้เลยค่ะ

ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๓ https://pantip.com/topic/40470376

###

บทที่ ๔

ผมกับไฮซานถูกโยนกลับเข้ามาในห้องขังแคบๆ

พอพวกคนชุดดำปล่อยเราออกจากลูกโป่งแสงและปิดประตูแล้ว ไฮซานก็เริ่มคึกขึ้นมาอีก

มันกระโดดไปมาในห้องแคบๆ นั้น ชนผนังโครมครามจนผมกลัวว่าตึกจะพังลงมา (หากพังก็ดี ผมจะได้หนีออกไป) แต่มันไม่ได้มีท่าทางดุร้าย ไม่ได้ต้องการต่อสู้ มันแค่โลดเต้นด้วยความดีใจ ซึ่งผมเห็นว่า มันดูผิดจริต จำได้ว่าอราคัสของลุงราชาค่อนข้างสง่า หล่อเลิศ และดุดัน ไม่ใช่ม้าดีดเด้งแบบนี้

ผมรีบหลบไปอยู่มุมห้องเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง จากนั้นจึงส่งเสียงเรียกมัน “ไฮซาน”

เจ้าม้าอุ้งเท้าสิงโตหยุดดีด หันมาเอียงคอมองผม ครู่ต่อมาร่างสูงใหญ่แข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้ามก็ค่อยๆ แบนลง กล้ามหายไป ขนสีดำเป็นมันก็หดหายไปใต้ผิวหนังสีชมพูเข้ม กลายเป็นสัตว์หน้าตาอึดถึดคล้ายสลามานเดอร์

“เจ้า!...” ผมรีบตะครุบปากตัวเอง ...เจ้าอิมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!

หัวใจผมแทบหล่นหายไปในทันที ...เกิดอะไรขึ้นในมิติของผมกันแน่ ใครส่งเจ้าอิมมา แล้ว...มันมาในร่างไฮซานอย่างนั้นหรือ...

ผมชำเลืองมองไปที่ลำโพงอย่างหวาดระแวง ใครก็ตามที่พูดผ่านลำโพงนั้นมาอาจจะยังไม่รู้ว่ามันคือเจ้าอิม และผมจะให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาด

เจ้าซาลามานเดอร์อึดถึดได้ยินเสียงผมแล้วก็พลอยตกใจไปด้วย ผิวสีชมพูเกือบแดงที่บ่งบอกว่ามันกำลังดีใจพลันเปลี่ยนเป็นซีดเทาไปทันที ผมจึงก้มลงลูบหัวปลอบมัน ผิวของมันจึงเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มขึ้นมาอีก

“ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงแกจริงๆ” ผมบอกพลางลูบไปตามตัวมัน ผิวหนังของมันแห้งผาก บางแห่งเป็นสะเก็ดขาว แสดงว่ามันอยู่ในร่างนี้โดยขาดน้ำนานเกินไป

ผมลุกไปหยิบเครื่องผลิตน้ำ เทน้ำออกมาพรมๆ ตัวมัน ผิวของมันก็ยิ่งแดง ผมก้มลงลูบหัวมันอีก แล้วกระซิบที่ ‘หู’ มันเบาๆ

“ที่นี่ไม่ค่อยมีน้ำ แกอยู่ในร่างไฮซานไปก่อนก็แล้วกัน” ผมพยายามลดเสียงลงให้เบาที่สุด ระวังไม่ให้ใครก็ตามที่อยู่อีกด้านหนึ่งของลำโพงได้ยิน

เจ้าอิมเปลี่ยนร่างกลับเป็นไฮซาน แล้วก้มหัวมาคลอเคลียผม

...น่าเสียดาย ผมน่าจะให้มันเลียโคชานก่อนหน้านี้ มันจะได้เปลี่ยนร่างเป็นหมอนั่นได้ (เจ้าอิมเปลี่ยนร่างเป็นใครก็ได้ แต่มันจะต้องเลียคนหรือสัตว์ตัวนั้นมาก่อน) หากเป็นหมอนั่น ต้องแหกคุกหนีไปได้แน่ๆ

พอนึกอย่างนี้แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ หมอนั่นยังรออยู่นอกฐานรึเปล่า หรือถูกจับเข้ามาแล้ว

ผมแหงนหน้ามองไปทางลำโพง แล้วถอนหายใจยาว ไฮซานจึงอิมกะพริบมองผมตาแป๋ว มันพับขาหน้าทั้งสอง ตามด้วยขาหลัง หมอบตัวลง แล้วยื่นหัวมาวางบนตัก ผมจึงลูบแผงคอมันเบาๆ

จริงสิ เจ้าอิมยังเปลี่ยนเป็นอราคัสตัวอื่นได้อีกนี่นา... ผมพยายามนึกไล่ดูว่านอกจากไฮซานแล้ว ยังมีอราคัสตัวไหนจะพอช่วยได้บ้าง

บาเจียเป็นนกไฟ ตอนที่เจ้าอิมเลียมันครั้งแรก มันยังเป็นลูกเจี๊ยบอ่อนแอ เจ้าอิมก็เลยได้ร่างลูกเจี๊ยบอ่อนแอที่ทำอะไรไม่ได้ แต่พอซีครีตยอมรับมันแล้วมันก็ได้อาหารเป็นความรัก ทำให้ตัวโตและพ่นไฟได้ เจ้าอิมเคยเลียมันตอนที่มุสพามันข้ามกลับไปเยี่ยมมิติเดิมของมันเหมือนกัน ซึ่งก็แปลว่าเจ้าอิมต้องพ่นไฟได้

อีกตัวคือเจ้าปุย จิ้งจอกล่องหนของท่านตาทีแนร์ ท่านตาของมุส...เอ แต่ล่องหนแล้วจะช่วยอะไรได้

นอกจากนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นผม...เอ่อ ยิ่งช่วยไม่ได้เข้าไปใหญ่

เอาเถอะ มันต้องมีวิธี ค่อยๆ คิด...ค่อยๆ คิด

---

ไฮซานอิมหมอบอยู่ข้างๆ ผมในระหว่างที่มีเสียงคนพูดคุยกันดังมา

ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันเรื่องอะไร ฟังไม่ได้ศัพท์ ได้ยินแต่ว่า ‘จับยาก’ ‘เวทมนตร์’ แล้วก็ ‘ความลับ’

พวกเขาคง...ไม่ได้จับโคชานมาแล้วหรอกนะ

ผมถลาไปเกาะลูกกรงตรงประตู พยายามมองหาคนที่กำลังคุยกัน ทว่าพวกเขาไม่อยู่ในละแวกนั้น

ใจผมเริ่มเต้นแรง ความไม่แน่นอนยิ่งทำให้รู้สึกกังวล

แต่ความกังวลไม่ได้ทำให้ผมหนีออกไปได้ และหากหนีออกไปไม่ได้ผมก็จะไม่มีวันได้รู้เลยว่าโคชานถูกจับหรือไม่ ตอนนี้ผมต้องทำตามแผนที่คิดไว้ ต้องออกไปให้ได้เสียก่อน

ผมหันกลับมาทางไฮซานอิมที่ยืนอยู่ด้านหลัง ผงกศีรษะเป็นสัญญาณ

ร่างไฮซานพลันหดลงกลายเป็นจิ้งจอกขนฟูสีน้ำตาล ที่มีปลายหาง หน้า และเท้าเป็นสีดำ พอเปลี่ยนร่างเป็นเจ้าปุยอย่างสมบูรณ์แล้ว ร่างมันก็กลับค่อยๆ เลือนหายไป

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยที!” ผมร้องตะโกนอย่างตื่นตระหนก คนชุดดำสามคนก็วิ่งตึกตักมาทางห้องขังของผม “ไฮซาน ไฮซานหายไปครับ” ผมบอกเสียงละล่ำละลัก “ผมหลับไป ตื่นมาก็ไม่เห็นมันแล้ว”

คนชุดดำมองหน้ากันอย่างงุนงง จากนั้นคนหนึ่งก็ใช้เวทมนตร์เปิดประตู ก้าวเข้ามาในห้องขัง

“อย่างที่บอกละครับ มันหายไป” ผมว่าขณะที่พวกเขาสำรวจดูในห้องอันคับแคบ ผมรอให้คนชุดดำทั้งสามเข้ามาในห้องกันหมดแล้วก็แอบคว้ากระเป๋าเป้ ขยับก้าวไปทางประตู จากนั้นก็ให้สัญญาณกับเจ้าปุยอิม “ตอนนี้ละ!”

เจ้าปุยอิมปรากฏตัว พร้อมกันนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นไฮซาน กระโดดตะปบคนสุดท้ายที่เข้ามาในห้องให้ล้มลง สองคนแรกพลันหันกลับมาด้วยสีหน้าแตกตื่น ไฮซานก็ตะกุยขาหน้าข่วนคนแรก แล้วหันหลังดีดเท้าเตะคนที่สอง

“ไปเร็ว!” ผมเรียกให้มันรีบตามผมออกมาจากห้องขัง แต่ผมไม่ได้ขี่มันหนีไป (ตัวมันสูงใหญ่ กว่าผมจะปีนขึ้นไปขี่มันได้คงถูกจับก่อน) ผมบอกให้มันเปลี่ยนร่างเป็นบาเจีย นกไฟขนสีแดงเหลือบทองเหมือนเปลวเพลิง เพื่อให้มันพ่นไฟสกัดคนที่ตามมาเอาไว้

ผมวิ่งไปตามทางเดินโดยไม่รู้เหนือใต้ วิ่งไประยะหนึ่งก็มีคนชุดดำห้าคนดักอยู่เบื้องหน้า ที่แขนของพวกเขามีแสงสีแดงพันรอบ พอพวกเขายกแขนขึ้น แสงสีแดงก็พุ่งมาทางผม!

ผมรีบย่อตัวกลิ้งหลบไปทางหนึ่ง ขณะเดียวกัน บาเจียอิมก็พ่นไฟใส่พวกเขา บังเกิดเป็นม่านเพลิงแผ่ขวางทางเดินไว้

โชคดีที่ฐานแห่งนี้มีระบบป้องกันอัคคีภัย ก็มีไฟปุ๊บ น้ำก็พ่นลงมาดับปั๊บ

น่าเสียดายที่นกไฟแพ้น้ำ บาเจียอิมรีบเปลี่ยนร่างกลับเป็นไฮซาน ตรงเข้าไปโรมรันพันตูกับคนชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งมาใหม่ เปิดโอกาสให้ผมหนีจากตรงนั้นได้

วิ่งต่อไปอีกสักพักไฮซานอิมก็ตามมาทัน สองข้างทางเดินก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่มีประตูห้องขังติดลูกกรงเหล็กเรียงรายอยู่สองด้านก็กลายเป็นผนังหินยาวกว่าจะเห็นประตูสักบานหนึ่ง ทางเดินก็กว้างขึ้นจนพอจะให้ยานร่อนในมิติของผมร่อนผ่านได้

ทางออก...ผมต้องหาทางออก ประตูอยู่ที่ไหน

ถ้าผมจำแผนที่ไม่ผิด ประตูบานคู่ที่เป็นทางออกต้องอยู่ตรงกลางด้านหน้าของฐาน แต่ปัญหาคือ...ผมไม่รู้ว่าตรงไหนหน้าตรงไหนหลัง แล้วตอนนี้ผมอยู่ที่ส่วนไหนกันแน่

ระหว่างนั้นเอง ผมกับไฮซานอิมก็วิ่งผ่านประตูบานคู่บานหนึ่ง บานประตูมีขนาดใหญ่จนทำให้ผมต้องชะงักเท้า...บางทีอาจจะเป็นบานนี้

เวลานั้นน้ำที่พ่นลงมาดับไฟหยุดแล้ว ตัวผมเปียกชุ่มโชก แต่บริเวณที่ผมยืนอยู่ไม่มีรอยน้ำเลยสักนิด

ผมก้าวตรงไปทางบานประตู ไฮซานอิมตามมาทางด้านหลัง ผมเดินสำรวจรอบๆ บานประตู เห็นมันเป็นบานเรียบไม่มีที่จับ ไม่มีกลอน ไม่มีอะไรเลย...หรือมันจะเป็นเหมือนประตูในมิติของผม ต้องเปิดด้วยคำสั่ง

แต่...ประตูที่บ้านของเวิร์นยังมีที่จับเลย...

เอาเถอะ ลองดูก็แล้วกัน

“เปิด” ผมออกคำสั่งแล้วรออยู่สักครู่ ทว่าทุกอย่างเงียบสนิท

“เปิดประตู” ผมเอ่ยเสียงดังขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ประตูก็ยังนิ่ง

คงไม่ได้เปิดด้วยคำสั่งกระมัง... ผมหันหลังกลับ คิดหาทางอื่นหลบหนี บางทีผมอาจจะปีนออกทางหน้าต่างเหมือนตอนที่เข้ามาก็ได้

ตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออก

ผมหันขวับกลับไป แสงสีขาวจากด้านในทำให้แสงสีนวลภายนอกดูมืดไปถนัด คนชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่กลางแสงสีขาวนั้น

“นาร์คูล” ผมครางยามเห็นว่าผู้ที่ก้าวออกมาจากแสงนั้นเป็นใคร ทว่านาร์คูลกลับมีสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวก็ยกแขนขึ้น แสงสีดำพลันปรากฏขึ้นที่ข้อมือ แล้วพุ่งมาทางผมอย่างรวดเร็ว

แสงนั้นกระแทกหน้าอกผมจนกระเด็นไปกระแทกผนังทางเดินด้านหลัง ผมตะเกียกตะกายลุกขึ้น ในขณะที่ไฮซานอิมกระโดดมาขวางหน้า ทว่ามันยังไม่ทันทำอะไร แสงสีดำอีกสายหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังของนาร์คูล กระแทกไฮซานอิมไปอีกด้านหนึ่ง

ด้านหลังนาร์คูลมีใครอีกคน... ไม่ใช่...มีอีกสองคน พวกเขาก้าวออกมายืนข้างนาร์คูล

ผมตระหนกจนอ้าปากค้าง สองคนที่ก้าวออกมาก็เป็นนาร์คูล ตรงหน้าผมมีนาร์คูลสามคน!

ไม่ใช่เพียงสามคน ยังมีนาร์คูลอีกคู่หนึ่งก้าวออกมาจากห้องนั้น แล้วก็อีกคู่ แล้วก็อีกคู่

ผมไม่ได้นับแล้วว่ามีนาร์คูลอีกคนกันแน่ พวกเขาก้าวมายืนล้อมรอบผมกับไฮซานอิม ต่างคนต่างยกแขนทั้งสองขึ้น บังเกิดแสงสีดำสานกันไปมา กลายเป็นกรงที่สร้างจากแสงสีดำคลุมขังพวกเราไว้

ไฮซานอิมพยายามวิ่งชนกรงแสงสีดำออกไป แต่ยามที่ขนมันสัมผัสกรงแสงเท่านั้น ประกายสีดำก็ลั่นเปรี๊ยะขึ้น มันส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ล้มตัวกลับเข้ามา

“เท่านี้ก็สิ้นฤทธิ์แล้วหรือ” เสียงเดิมดังขึ้นในอากาศ จากนั้นพวกนาร์คูลก็เอาตัวผมกับไฮซานไป

###

ติดตามตอนต่อไปสัปดาห์หน้านะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่