โอลีนต้องการข้ามมาจากมิติของไอดิน แล้วเขาเป็นใครกันแน่ ติดตามได้ข้างล่างนี้เลยค่ะ
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๑๑
https://pantip.com/topic/40592034
###
บทที่ ๑๒
โอลีนต้องการข้ามมิติ...
ไม่ใช่ข้ามไปต่างมิติ แต่ต้องการข้ามกลับมา...จากมิติของผม
“ได้ เอายาให้ไอดินก่อน แล้วข้าจะพาเจ้ากลับมา” เอธร่าบอกเสียงขรึม
โอลีนไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับถามขึ้น “พวกเจ้าจับไอดินไว้แล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับท่านโอลีน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอายาให้เขา”
อินูเวที่จับผมไว้ส่งกระเป๋าเป้เข้ามาในลูกโป่งแสงที่ครอบตัวผมอยู่ ผมเปิดกระเป๋า ล้วงเอากระบอกยาฉีดแก้แพ้ออกมากระบอกหนึ่ง มันเป็นเหมือนกระบอกซ้อนกระบอก ปลายด้านหนึ่งมีกลไกและสปริง และมีเข็มแหลมซ่อนอยู่ ผมหันปลายกระบอกด้านนั้นลงที่ต้นขาตัวเอง แทงลงอย่างรวดเร็ว ปลายกระบอกด้านนั้นหดลง เข็มที่ซ่อนอยู่แทงเข้าในขาผมทำให้รู้สึกเจ็บนิดหนึ่ง ยาที่บรรจุอยู่ในกระบอกค่อยๆ ไหลเข้าสู่ผิวหนัง
ไม่นานนักผมก็รู้สึกดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น มือเท้าที่บวมค่อยๆ ลดลง ผื่นแดงก็เลือนหายไป
“ไอดินอาการดีขึ้นแล้วขอรับ” อินูเวคนเดิมรายงานต่อโอลีน
“ต้นแบบนิสเซ่ จงทำตามคำของเจ้า พาข้ากลับไป”
“รู้แล้วล่ะน่า” ว่าแล้วเขาก็สร้างโพรงสีดำขึ้นในอากาศ แล้วกระโดดหายเข้าไปในนั้น
ทุกอย่างเงียบสงัดไปชั่วครู่ แม้แต่นิสเซ่ก็เปลี่ยนกลับเป็นร่างเด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนมุส ยืนรออยู่ด้วยความอดทน
ครู่ใหญ่ต่อมา อุโมงค์แสงพลันปรากฏขึ้น ณ จุดเดิม คนสองคนหลุดออกมาจากอุโมงค์นั้น
คนหนึ่งคือเอธร่าอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนอีกคน...
ผมตระหนกจนพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
“แปลกใจมากหรือ ไอดิน” สายตาจับผิดมองมาทางผม มุมปากมีรอยยิ้ม
“คุณเจ้าหน้าที่...ป้องหล้า...”
“ใช่ ฉันเอง” ป้องหล้า...โอลีนบอก “ข้าอยู่ในมิติของเจ้ามาสิบกว่าปี ตอนนี้ได้กลับมาเสียที”
“แต่ว่า...”
“เดี๋ยวก่อนๆ” เพื่อนผมตัดบท “พวกเจ้ารู้จักกันด้วยเรอะ”
ผมผงกศีรษะ “เขาคือเจ้าหน้าที่ที่จับฉันไปขัง”
“หนอย แก!”
“ข้ามีเหตุผล” โอลีนยกมือห้ามเอธร่าที่กำลังเงื้อหมัดจะต่อยเขา “ที่ข้าต้องจับเจ้าขังนั้นเป็นหน้าที่ของข้าจริงๆ ข้อมูลของเจ้าหายไป ใครๆ ก็ต้องสงสัย ดีที่ข้าเสนอตัวสืบสวนเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เจ้าข้ามมิติคงกลายเป็นคดีใหญ่โตเหมือนคดีอื่นๆ ที่ข้าเคยให้เจ้าดูนั่นละ”
ผมนึกถึงตอนที่ป้องหล้าเอาคดีเก่าของคนซึ่งโผล่มาในมิติของผมโดยไม่มีประวัติ เขาให้ผมดูอยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นคือปราบแดน แต่ในคดีเหล่านั้นมีป้องหล้าด้วยหรือไม่
“แต่...คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ข้ามไปยังมิติของผม ทำไมถึงมีประวัติ”
โอลีนส่งเสียงขึ้นจมูก “เพราะเทคโนโลยีในมิติของเจ้าคล้ายคลึงกับที่นี่น่ะสิ” เขาอธิบาย “ข้ารู้จักเทคโนโลยีในมิติของเจ้า ระบบเครือข่ายของพวกเจ้ารัดกุมดี การเจาะเข้าระบบและเปลี่ยนข้อมูลแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่...” เขาหยุด ผายมือไปรอบตัว “พวกเจ้าไม่รู้จักเวทมนตร์ ระบบของพวกเจ้าไม่มีการป้องกันเวทมนตร์ ข้าจึงใช้เวทมนตร์เจาะเข้าระบบ แล้วเปลี่ยนข้อมูล เพิ่มเติมตัวตนของข้าได้โดยไม่มีใครสงสัย”
เวทมนตร์มันดีอย่างนี้นี่เอง
“ข้ายังโชคดีอีกอย่าง” เขาเอ่ยต่อไป “ลักษณะทางกายภาพของคนในมิติเจ้ากับข้าแทบไม่ต่างกัน แม้แต่ภาษากับคำพูดยังเกือบเหมือนกัน ข้าแค่เรียนรู้สรรพนามกับคำศัพท์อีกนิดหน่อยก็ใช้ชีวิตอยู่ในมิติของเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร”
“แต่คุณข้ามกลับมาไม่ได้ ส่งมาได้แต่เสียง...อย่างนั้นหรือ” ผมถามอีก
“ใช่” เขาบอกแล้วชำเลืองมองคนหน้าเหมือนมุส “จริงอยู่ ข้ายังเสี่ยงให้นิสเซ่พาข้าข้ามมิติไม่ได้ แต่เขาก็ช่วยให้ข้าติดต่อกับคนมิตินี้ได้ด้วยเสียง การส่งคลื่นเสียงข้ามมิติ ง่ายกว่าการส่งอนุภาคเป็นไหนๆ”
“แล้ว...” ผมกำลังจะถามอะไรอีก โอลีนก็ตัดบทเสียก่อน
“วิ่งไล่พวกเจ้าจนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนเสียเถอะ” เขาว่า แล้วก็โบกมือให้อินูเวที่ถือลำโพง (และโยนลำโพงทิ้งแล้ว) เข้ามาพาตัวเอธร่าไป
“เจ้ากล้ารึ!” แสงสีฟ้าเรืองรอบตัวเอธร่า อินูเวคนนั้นชะงักเท้า หดมือกลับ
“แล้วเจ้าล่ะ กล้ารึ” โอลีนถามเสียงเย็น ตอนนั้นเองลูกโป่งแสงที่ครอบตัวผมอยู่พลันบีบเล็กลง ร่างกายผมก็เหมือนถูกบีบจนเจ็บไปทั้งตัว
เอธร่ากัดฟันกรอด เปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส แล้วปล่อยให้อินูเวคนนั้นคร่ากุมตัวแต่โดยดี
“นิสเซ่ เก็บกวาดเสียด้วย” โอลีนหันไปสั่งนิสเซ่ คนหน้าเหมือนมุสรับคำ แล้วก้าวไปทางนาร์คูลที่บาดเจ็บและไร้พลัง
“อย่า! เขายังมีประโยชน์” ผมตะโกนออกไป
โอลีนหันกลับมาทางผม เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เขา...แค่ไม่มีพลัง เพราะแหล่งพลังงานเสีย เอ่อ...จริงๆ ก็ไม่ได้เสียมาก มันแค่ดับ ถ้าซ่อมนิดหน่อยก็น่าจะใช้ได้ เขาก็จะมีพลังอีก”
โอลีนนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วก้าวไปชะโงกดูในห้องแหล่งพลังงาน “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตัวไป” เขาสั่งนิสเซ่ระหว่างที่เดินกลับมาสมทบกับคนอื่นๆ โดยไม่ได้ชำเลืองดูนาร์คูลเลยแม้แต่น้อย
---
พวกเขาเอาผมกลับไปขังไว้ในห้องขังแคบๆ ซึ่งมีลูกกรงเหล็กอยู่ที่ประตู ห้องที่ผมถูกขังไว้ตอนแรก ก่อนจะพบเจ้าอิมนั่นละ
ส่วนคนอื่นๆ ถูกนำตัวไปไว้ที่ไหนบ้าง ผมเองก็ไม่รู้
ผมนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมห้องด้านหนึ่ง สายตามองไปยังกระเป๋าเป้ที่วางกองอยู่บนพื้น...ยังดีที่พวกนั้นไม่ยึดเป้ช่วยชีวิตกลับไป
ผมถอนหายใจยาว นึกถึงตอนที่เอธร่าพาโอลีนกลับมาแล้วพบว่าเป็นป้องหล้าแล้ว ผมก็ยังงุนงงไม่หาย เขาไปที่นั่นได้อย่างไร เอธร่าพาไปหรือ ถ้าเอธร่าพาไป แล้วทำไมจึงไม่พากลับมาเล่า
แต่ก็นั่นละ หมอนั่นก็เคยไปติดอยู่ในมิติของผมเหมือนกัน
จะว่าไป ดูเหมือนทุกคนจะชอบไปติดอยู่ในมิตินั้น ไปแล้วก็กลับไม่ได้
ความรู้สึกของคนที่ติดอยู่ต่างมิติ ก็คงคล้ายกับผมไว้ในเวลานี้กระมัง
เสียงฝีเท้าก้าวมาตามพื้นหิน แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องผม ได้ยินเสียงดังกริก แล้วประตูก็เปิดออก
“ท่านโอลีนต้องการพบเจ้า” หนึ่งในอินูเวสองคนที่มารับผมเอ่ยขึ้น
ผมพ่นลมออกจากปากโดยแรง ลุกขึ้นปัดตัวเล็กน้อย แล้วฉวยกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ก้าวตามเขาออกไป
---
ต่อข้างล่างนะคะ
พันมิติ ภาคห้า (The Parallel Dimensions 5) บทที่ ๑๒
ความเดิม
ภาคห้า บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/40438663
ภาคห้า บทที่ ๑๑ https://pantip.com/topic/40592034
###
บทที่ ๑๒
โอลีนต้องการข้ามมิติ...
ไม่ใช่ข้ามไปต่างมิติ แต่ต้องการข้ามกลับมา...จากมิติของผม
“ได้ เอายาให้ไอดินก่อน แล้วข้าจะพาเจ้ากลับมา” เอธร่าบอกเสียงขรึม
โอลีนไม่ได้ตอบในทันที แต่กลับถามขึ้น “พวกเจ้าจับไอดินไว้แล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับท่านโอลีน”
“ถ้าอย่างนั้นก็เอายาให้เขา”
อินูเวที่จับผมไว้ส่งกระเป๋าเป้เข้ามาในลูกโป่งแสงที่ครอบตัวผมอยู่ ผมเปิดกระเป๋า ล้วงเอากระบอกยาฉีดแก้แพ้ออกมากระบอกหนึ่ง มันเป็นเหมือนกระบอกซ้อนกระบอก ปลายด้านหนึ่งมีกลไกและสปริง และมีเข็มแหลมซ่อนอยู่ ผมหันปลายกระบอกด้านนั้นลงที่ต้นขาตัวเอง แทงลงอย่างรวดเร็ว ปลายกระบอกด้านนั้นหดลง เข็มที่ซ่อนอยู่แทงเข้าในขาผมทำให้รู้สึกเจ็บนิดหนึ่ง ยาที่บรรจุอยู่ในกระบอกค่อยๆ ไหลเข้าสู่ผิวหนัง
ไม่นานนักผมก็รู้สึกดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น มือเท้าที่บวมค่อยๆ ลดลง ผื่นแดงก็เลือนหายไป
“ไอดินอาการดีขึ้นแล้วขอรับ” อินูเวคนเดิมรายงานต่อโอลีน
“ต้นแบบนิสเซ่ จงทำตามคำของเจ้า พาข้ากลับไป”
“รู้แล้วล่ะน่า” ว่าแล้วเขาก็สร้างโพรงสีดำขึ้นในอากาศ แล้วกระโดดหายเข้าไปในนั้น
ทุกอย่างเงียบสงัดไปชั่วครู่ แม้แต่นิสเซ่ก็เปลี่ยนกลับเป็นร่างเด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนมุส ยืนรออยู่ด้วยความอดทน
ครู่ใหญ่ต่อมา อุโมงค์แสงพลันปรากฏขึ้น ณ จุดเดิม คนสองคนหลุดออกมาจากอุโมงค์นั้น
คนหนึ่งคือเอธร่าอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนอีกคน...
ผมตระหนกจนพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น
“แปลกใจมากหรือ ไอดิน” สายตาจับผิดมองมาทางผม มุมปากมีรอยยิ้ม
“คุณเจ้าหน้าที่...ป้องหล้า...”
“ใช่ ฉันเอง” ป้องหล้า...โอลีนบอก “ข้าอยู่ในมิติของเจ้ามาสิบกว่าปี ตอนนี้ได้กลับมาเสียที”
“แต่ว่า...”
“เดี๋ยวก่อนๆ” เพื่อนผมตัดบท “พวกเจ้ารู้จักกันด้วยเรอะ”
ผมผงกศีรษะ “เขาคือเจ้าหน้าที่ที่จับฉันไปขัง”
“หนอย แก!”
“ข้ามีเหตุผล” โอลีนยกมือห้ามเอธร่าที่กำลังเงื้อหมัดจะต่อยเขา “ที่ข้าต้องจับเจ้าขังนั้นเป็นหน้าที่ของข้าจริงๆ ข้อมูลของเจ้าหายไป ใครๆ ก็ต้องสงสัย ดีที่ข้าเสนอตัวสืบสวนเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เจ้าข้ามมิติคงกลายเป็นคดีใหญ่โตเหมือนคดีอื่นๆ ที่ข้าเคยให้เจ้าดูนั่นละ”
ผมนึกถึงตอนที่ป้องหล้าเอาคดีเก่าของคนซึ่งโผล่มาในมิติของผมโดยไม่มีประวัติ เขาให้ผมดูอยู่สองสามคน หนึ่งในนั้นคือปราบแดน แต่ในคดีเหล่านั้นมีป้องหล้าด้วยหรือไม่
“แต่...คุณเองก็เป็นคนหนึ่งที่ข้ามไปยังมิติของผม ทำไมถึงมีประวัติ”
โอลีนส่งเสียงขึ้นจมูก “เพราะเทคโนโลยีในมิติของเจ้าคล้ายคลึงกับที่นี่น่ะสิ” เขาอธิบาย “ข้ารู้จักเทคโนโลยีในมิติของเจ้า ระบบเครือข่ายของพวกเจ้ารัดกุมดี การเจาะเข้าระบบและเปลี่ยนข้อมูลแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่...” เขาหยุด ผายมือไปรอบตัว “พวกเจ้าไม่รู้จักเวทมนตร์ ระบบของพวกเจ้าไม่มีการป้องกันเวทมนตร์ ข้าจึงใช้เวทมนตร์เจาะเข้าระบบ แล้วเปลี่ยนข้อมูล เพิ่มเติมตัวตนของข้าได้โดยไม่มีใครสงสัย”
เวทมนตร์มันดีอย่างนี้นี่เอง
“ข้ายังโชคดีอีกอย่าง” เขาเอ่ยต่อไป “ลักษณะทางกายภาพของคนในมิติเจ้ากับข้าแทบไม่ต่างกัน แม้แต่ภาษากับคำพูดยังเกือบเหมือนกัน ข้าแค่เรียนรู้สรรพนามกับคำศัพท์อีกนิดหน่อยก็ใช้ชีวิตอยู่ในมิติของเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร”
“แต่คุณข้ามกลับมาไม่ได้ ส่งมาได้แต่เสียง...อย่างนั้นหรือ” ผมถามอีก
“ใช่” เขาบอกแล้วชำเลืองมองคนหน้าเหมือนมุส “จริงอยู่ ข้ายังเสี่ยงให้นิสเซ่พาข้าข้ามมิติไม่ได้ แต่เขาก็ช่วยให้ข้าติดต่อกับคนมิตินี้ได้ด้วยเสียง การส่งคลื่นเสียงข้ามมิติ ง่ายกว่าการส่งอนุภาคเป็นไหนๆ”
“แล้ว...” ผมกำลังจะถามอะไรอีก โอลีนก็ตัดบทเสียก่อน
“วิ่งไล่พวกเจ้าจนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไปพักผ่อนเสียเถอะ” เขาว่า แล้วก็โบกมือให้อินูเวที่ถือลำโพง (และโยนลำโพงทิ้งแล้ว) เข้ามาพาตัวเอธร่าไป
“เจ้ากล้ารึ!” แสงสีฟ้าเรืองรอบตัวเอธร่า อินูเวคนนั้นชะงักเท้า หดมือกลับ
“แล้วเจ้าล่ะ กล้ารึ” โอลีนถามเสียงเย็น ตอนนั้นเองลูกโป่งแสงที่ครอบตัวผมอยู่พลันบีบเล็กลง ร่างกายผมก็เหมือนถูกบีบจนเจ็บไปทั้งตัว
เอธร่ากัดฟันกรอด เปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส แล้วปล่อยให้อินูเวคนนั้นคร่ากุมตัวแต่โดยดี
“นิสเซ่ เก็บกวาดเสียด้วย” โอลีนหันไปสั่งนิสเซ่ คนหน้าเหมือนมุสรับคำ แล้วก้าวไปทางนาร์คูลที่บาดเจ็บและไร้พลัง
“อย่า! เขายังมีประโยชน์” ผมตะโกนออกไป
โอลีนหันกลับมาทางผม เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เขา...แค่ไม่มีพลัง เพราะแหล่งพลังงานเสีย เอ่อ...จริงๆ ก็ไม่ได้เสียมาก มันแค่ดับ ถ้าซ่อมนิดหน่อยก็น่าจะใช้ได้ เขาก็จะมีพลังอีก”
โอลีนนิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วก้าวไปชะโงกดูในห้องแหล่งพลังงาน “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตัวไป” เขาสั่งนิสเซ่ระหว่างที่เดินกลับมาสมทบกับคนอื่นๆ โดยไม่ได้ชำเลืองดูนาร์คูลเลยแม้แต่น้อย
---
พวกเขาเอาผมกลับไปขังไว้ในห้องขังแคบๆ ซึ่งมีลูกกรงเหล็กอยู่ที่ประตู ห้องที่ผมถูกขังไว้ตอนแรก ก่อนจะพบเจ้าอิมนั่นละ
ส่วนคนอื่นๆ ถูกนำตัวไปไว้ที่ไหนบ้าง ผมเองก็ไม่รู้
ผมนั่งกอดเข่าอยู่ในมุมห้องด้านหนึ่ง สายตามองไปยังกระเป๋าเป้ที่วางกองอยู่บนพื้น...ยังดีที่พวกนั้นไม่ยึดเป้ช่วยชีวิตกลับไป
ผมถอนหายใจยาว นึกถึงตอนที่เอธร่าพาโอลีนกลับมาแล้วพบว่าเป็นป้องหล้าแล้ว ผมก็ยังงุนงงไม่หาย เขาไปที่นั่นได้อย่างไร เอธร่าพาไปหรือ ถ้าเอธร่าพาไป แล้วทำไมจึงไม่พากลับมาเล่า
แต่ก็นั่นละ หมอนั่นก็เคยไปติดอยู่ในมิติของผมเหมือนกัน
จะว่าไป ดูเหมือนทุกคนจะชอบไปติดอยู่ในมิตินั้น ไปแล้วก็กลับไม่ได้
ความรู้สึกของคนที่ติดอยู่ต่างมิติ ก็คงคล้ายกับผมไว้ในเวลานี้กระมัง
เสียงฝีเท้าก้าวมาตามพื้นหิน แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องผม ได้ยินเสียงดังกริก แล้วประตูก็เปิดออก
“ท่านโอลีนต้องการพบเจ้า” หนึ่งในอินูเวสองคนที่มารับผมเอ่ยขึ้น
ผมพ่นลมออกจากปากโดยแรง ลุกขึ้นปัดตัวเล็กน้อย แล้วฉวยกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ก้าวตามเขาออกไป
---
ต่อข้างล่างนะคะ