พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๑๔ - บทส่งท้าย

กระทู้สนทนา
เอาบทที่ ๑๔ กับบทส่งท้ายของภาคสี่มาส่งก่อนนะคะ เพราะศุกร์นี้คนเขียนไม่อยู่ค่ะ

จบภาคแล้วก็ขอแว่บไปพักก่อนนะคะ ภาคห้าจะเป็นภาคสุดท้ายแล้วค่ะ ^^

ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๓ https://pantip.com/topic/40263973

###

บทที่ ๑๔

อาคารสำนักงานของศูนย์รักษาความปลอดภัยเป็นกระจกทั้งหลัง

ผมยืนมองพ่อกับแม่ แล้วก็เกล็ดแก้วขึ้นยานร่อนของศูนย์รักษาความปลอดภัยผ่านทางกระจกอาคาร ยานร่อนสีดำค่อยๆ ลอยขึ้นจากลานจอด ไม่นานนักก็เคลื่อนหายลับไปในขอบฟ้า

“เอาละ คราวนี้ก็ได้เวลาคุยเรื่องของเพื่อนเธอแล้ว” ป้องหล้าซึ่งยืนอยู่ข้างผมเอ่ยขึ้น

“ยังครับ” ผมบอก “คุณยังไม่ได้ปล่อยเจ้าอิมเลย”

ป้องหล้ายกมือกอดอก หันหลังพิงกระจกอาคารแล้วจึงเอ่ยตอบ “เราจะปล่อยมันไปพร้อมกับเธอหลังจากที่เธอบอกข้อมูลทั้งหมดแล้ว”

ตัวประกันอย่างนั้นหรือ... คิดเช่นนั้นแล้วมือผมก็กำชายเสื้อแน่น “ถ้าอย่างนั้นผมขอเจอเจ้าอิมก่อน” ผมต่อรอง หากเขายอมปล่อยพ่อแม่ของผมเพื่อแลกกับข้อมูลที่ผมมีแล้วละก็ มันคงต้องเป็นข้อมูลที่สำคัญมากแน่ๆ ถึงผมจะไม่รู้ว่าข้อมูลที่เขาต้องการคืออะไรก็เถอะ

เขาเงียบไป อาจจะลังเลหรืออาจจะกำลังชั่งใจ เขาไม่ได้แสดงสีหน้าให้เห็นชัดเจนนัก

“ก็ได้” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุด แล้วจึงเดินนำผมไปตามทางเดินของอาคาร ก้าวผ่านทางเชื่อมอาคาร ลงลิฟต์ไปอีกหลายชั้น จนมาถึงห้องสีขาวที่เขาขังผมไว้ในตอนแรก เขาให้ผมกลับเข้าไปในห้องนั้น แล้วจึงเรียกหุ่นผู้ช่วยซึ่งเฝ้าอยู่ด้านหน้ามา

มันมีขนาดใหญ่กว่าหุ่นผู้ช่วยนักวิจัย มันไม่มีขา ตัวของมันลอยต่ำๆ อยู่เหนือพื้น ผิวด้านนอกของหุ่นเป็นโลหะมันวาวทั้งตัวจนดูเหมือนไม่มีรอยต่อ ทว่าตอนที่ป้องหล้าออกคำสั่งให้มันแสดงปุ่มคำสั่ง ส่วนอกของมันก็เปิดออก ด้านในเหมือนมีภาพโฮโลแกรมของปุ่มจำนวนมาก ซึ่งผมไม่รู้ว่าป้องหล้าแตะปุ่มไหนบ้าง เพราะเขาขยับมายืนบังเสีย

พอบอกให้หุ่นเก็บปุ่มคำสั่งและกลับไปยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างเดิมแล้ว ป้องหล้าเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ สายรัดข้อมือสีชมพูของเกล็ดแก้วกับเป้สัมภาระของผมยังวางอยู่บนโต๊ะนั้น

ผ่านไปชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินสัญญาณข้อความเข้าจากสายรัดข้อมือของเขา “ฉายภาพจากห้องกักกันตัวเชื้อโรค” เขาออกคำสั่งกับสายรัดข้อมือ ภาพโฮโลแกรมก็ปรากฏขึ้นที่กลางห้อง

ไม่มีเจ้าอิม...

ห้องนั้นเป็นห้องสีขาวว่างเปล่า ผมไม่เห็นสิ่งมีชีวิตในนั้นเลยสักตัวหนึ่ง

“ไหนละครับ” ผมถามออกไป ป้องหล้าก็หัวเราะเบาๆ

“เธอไม่รู้ว่าตัวเชื้อโรคนั่นล่องหนได้หรอกหรือ”

“มันไม่ใช่ตัวเชื้อโรค มันชื่อเจ้าอิม แล้วผมก็รู้ว่ามันล่องหนได้” ผมตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“นั่นละ ถ้ามันล่องหนอยู่แล้วเธอจะเห็นมันได้อย่างไร”

ผมฟังดูแล้วก็มีเหตุผล แต่ยังไม่อยากแสดงออกว่าเห็นด้วยกับเขา ผมจึงไม่พูดอะไรอีก

“ฉันทำตามที่เธอขอทั้งหมดแล้ว” ป้องหล้าหมุนกายมาเผชิญหน้ากับผม “ถึงเวลาที่เธอต้องเล่าเรื่องของเพื่อนเธอให้ฉันฟังตามสัญญา”

ผมก้มหน้าหลบตาเขา ยังรู้สึกลังเลอยู่ แต่ก็รู้ว่าเลี่ยงไม่ได้ สุดท้ายผมจึงเล่าให้เขาฟัง ตั้งแต่ผมพบมุสได้อย่างไร ซ่อนเขาไว้อย่างไร บอกว่าผมต้องให้เขาหลบอยู่ในชุดกันเชื้อเพื่อไม่ให้ถูกรมยาฆ่าเชื้อตายเสียก่อน และว่าเขามีอยู่สามร่าง คือร่างโคชาน มุส และเอธร่าซึ่งเป็นร่างที่ข้ามมิติได้

ป้องหล้านั่งฟังอยู่เงียบๆ พร้อมกับผงกศีรษะตามอย่างตั้งใจ แต่เขาไม่มีทีท่าแปลกใจหรือเห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์เลยสักนิด ดูเหมือนเขาจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าที่ผมคิดไว้

“เธอว่าเขาแพ้ยาฆ่าเชื้อหรือ”

“ครับ ถ้าโดนยาฆ่าเชื้อแล้วจะทำให้พลังหาย เปลี่ยนร่างไม่ได้ บางทีก็สลบไปเลย”

“แล้ว ‘พลัง’ ที่ว่านั่นคืออะไร พลังงานประเภทไหนหรือ” ผมสั่นศีรษะ เขาจึงเปลี่ยนคำถาม “เขาฟื้นพลังได้ยังไงล่ะ”

“ผมไม่แน่ใจ แต่ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ถ้าอยู่ในสวนจำลองแล้วพลังจะกลับคืนมาได้เร็ว”

เขาส่งเสียงรับในลำคอ สีหน้าครุ่นคิด แต่ไม่ได้ถามอะไรต่อ

---

ป้องหล้ายังไม่ปล่อยผมกลับบ้าน และผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

สองวันหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้มาสอบสวนผมอีก แล้วก็ไม่ได้ส่งใครมาแทนด้วย ผมถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวภายในห้องสีขาวแคบๆ ไม่ต่างอะไรจากตอนที่นาร์คูลจับผมไปขังไว้ในถ้ำ

ไม่สิ ตอนนั้นผมก็ยังมองเห็นทิวทัศน์อันเป็นป่ากว้างได้จากหน้าผา แล้วก็ยังหาทางหนีออกมาได้ ถึงจะต้องอยู่ในความมืดชั่วระยะหนึ่งก็เถอะ

ตอนนั้นผมต้องสู้กับความขลาดของตัวเองเพื่อหาทางหนีออกมา แต่ตอนนี้เล่า ผมต้องต่อสู้กับอะไร

ผมนั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นริมผนังห้องด้านหนึ่ง ไม่นานนัก ความคิดของผมก็ไพล่ไปถึงเจ้าอิม ไม่ทราบว่าเวลานี้พวกเขาปล่อยเจ้าอิมไปแล้วหรือยัง แต่ในเมื่อป้องหล้าไม่มา ผมก็ไม่รู้จะถามใคร

ผ่านไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมจึงได้ยินเสียงประตูเลื่อนเปิดออก หุ่นผู้ช่วยตัววาววับก็ลอยหวือเข้ามาในห้อง พอลอยมาตรงหน้าผมแล้วมันก็ฉายภาพโฮโลแกรมสามมิติขึ้นข้างตัวผม

“เกล็ดแก้ว!” ผมร้องอย่างตระหนก ยายนั่นก็รีบยกนิ้วแตะปากเป็นเชิงให้ผมเงียบเสียง

“ฉันแฮกค์เข้ามาในระบบของศูนย์ฯ” ยายผงซิลิก้ากระซิบ “เดี๋ยวมุสจะเข้าไปช่วยนาย ระหน่อยนะ”

“มุสเนี่ยนะ” ผมถามกลับไป ถ้าเขามาจริงๆ จะทำเอ็ดตะโรจนเจ้าหน้าที่ทั้งศูนย์ต้องมาไล่จับเขาหรือ

“ใช่ ฉันบอกแผนกับเขาไปแล้ว นายก็ทำตามเขาแล้วกัน” เธอว่า แล้วทำท่าจะตัดสัญญาณไป

“เดี๋ยวก่อน เจ้าอิมล่ะ เจ้าหน้าที่ปล่อยเจ้าอิมกลับบ้านรึยัง”

ยายเกล็ดแก้วสั่นศีรษะ “ฉันไม่รู้ว่ามันถูกขังอยู่ที่ไหน”

“ฉันก็รู้แค่ว่ามันอยู่ในห้องกักกันตัวเชื้อโรค” ผมพึมพำเบาๆ

“ฉันจะลองค้นดูในระบบของศูนย์ ระหว่างนี้ถ้ามุสมาก็อย่าลืมทำตามที่เขาบอกละ” ยายนั่นว่าแล้วก็ตัดสัญญาณไป

ใจผมเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น เหงื่อออกชุ่มฝ่ามือ ผมลุ้นรอเวลาที่เพื่อนต่างมิติของผมจะโผล่มาตรงหน้าประตู ลุ้นว่าเขาจะทำเสียแผนยายเกล็ดแก้วรึเปล่า อีกอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้ว่ายายเกล็ดแก้วแฮกค์ระบบของศูนย์รักษาความปลอดภัยได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าระบบของศูนย์ฯ ต้องมีการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและแน่นหนามากแน่ๆ แต่ยายนั่นก็แฮกค์เข้ามาได้

ระหว่างที่กำลังรอยู่นั้น ผมก็เดินวนไปวนมาทั่วห้อง พอชำเลืองเห็นเป้กับสายรัดข้อมือที่อยู่บนโต๊ะผมก็ฉวยมาสะพายแล้วก็สวมไว้ นัยว่าหากมุสมาผมจะได้หนีออกไปได้ทันที

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับเป็นปี แต่ผมก็ไม่เห็นวี่แววว่ามุสจะพังประตูเข้ามาเลย

ผ่านไปอีกสักพักหนึ่ง ผมก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นทางหางตา พอหันกลับไปก็พบเอธร่าอยู่ที่นั่น

“รีบไปเถอะ เร็วเข้า” หมอนั่นเร่ง ซึ่งอันที่จริงไม่จำเป็นเลย ผมแทบจะกระโจนเข้าโพรงมิติที่เขาสร้างในทันทีนั้นอยู่แล้ว

ตอนที่กระโดดเข้าโพรงมิติมา ผมไม่ได้คิดว่าเขาจะพาผมไปที่ไหน คิดแต่จะออกจากห้องสีขาวนั่นเท่านั้น แต่ตอนที่ผมโผล่ออกมาจากอุโมงค์แห่งแสง ผมก็พบว่าตัวเองหลุดมาในมิติอันแปลกประหลาด

บรรยากาศที่นั่นมืดครึ้ม เต็มไปด้วยหมอกควันและเถ้าถ่าน รอบตัวเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิต

ผมยกมือปิดปากปิดจมูกด้วยสัญชาตญาณ รู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก พอเงยหน้ามองไปรอบด้านผมก็ยิ่งตื่นตระหนก ...ดวงอาทิตย์...น่าจะเป็นดวงอาทิตย์ แต่กลับเห็นเป็นแค่จุดสีส้มสลัวหลังกลุ่มควันและเถ้าถ่านนั้น

นี่หรือแผนของยายเกล็ดแก้ว ให้เอธร่าพาผมข้ามมิติไปที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ

“อยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งไปไหน” เอธร่าซึ่งเปลี่ยนร่างเป็นมุสแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เคยมามิตินี้ เราต้องให้คนนำทาง”

ฮ้า! มุสเองก็ไม่เคยมามิตินี้ น่าตื่นเต้นดีแท้

ครู่ต่อมาผมก็รู้สึกคอแห้งและอยากไอขึ้นมา พอดีตอนนั้นเงาสีดำเลือนรางปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกควัน เงานั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามา พอเข้ามาใกล้จนเห็นหน้าชัดเจนแล้วผมก็ต้องอุทานออกมา

“นาร์คูล!”

###

บทส่งท้าย

ในมิติของผมเคยมีสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์...

พวกมันคือสัตว์...สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัย บ้างสูญพันธุ์ไป บ้างกลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ทว่าสัตว์ที่เล่าขานกันในเทพนิยายและตำนาน ล้วนไม่เคยมีอยู่ในมิตินี้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตกาลเนิ่นนานปานใดก็ตาม

จนกระทั่งผมพบกับมุส จึงได้รู้ว่าสัตว์เหล่านั้นมีอยู่ในมิติอื่น เขาพาผมข้ามไปยังมิติต่างๆ ได้พบเห็นสัตว์แปลกๆ มากมาย

ทว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แม้แต่มุสเองก็ยังไม่รู้ ความทรงจำของเขานับย้อนกลับไปได้เพียงห้าปี คือตั้งแต่ตอนที่ท่านตาทีแนร์พบเขาในป่าเท่านั้น

แต่นาร์คูลผู้ซึ่งมีความสามารถในการข้ามมิติเช่นกัน บอกว่ารู้จักเขา ทั้งยังรู้จักผู้ให้กำเนิดเขา

“ยินดีต้อนรับสู่มิติของข้า” นาร์คูลบอก พร้อมกับผายมือทั้งสองไปด้านข้าง ราวกับภูมิใจในสภาพมิติของตนเองที่เต็มไปด้วยเถ้าถ่าน

“ที่นี่คือ...” ผมไม่อาจต่อประโยคจนจบ คำพูดสุดท้ายกลายเป็นเสียงสำลักค่อกแค่ก

มุสวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ผม “มิติที่ข้าจากมา” เขาบอกด้วยน้ำเสียงเครียดขรึม พอผมหันกลับไปมองก็พบว่าสายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นาร์คูล แต่แววตากลับดูเวิ้งว้างพิกล

“นายว่ายังไงนะ”​ ผมถามเสียงแห้งผาก แต่คำพูดของเขาเมื่อครู่ชัดเจนอยู่แล้ว

มุสพยักเพยิดไปทางคนนำทางของเรา “เจ้านั่นบอกว่า หากข้าต้องการคำตอบทั้งหมดก็ให้กลับมาที่มิตินี้ เขาว่าข้ามาจากมิตินี้”

“แล้วนายก็เชื่อเรอะ”

หมอนั่นยักไหล่ “เขาบอกว่าจะช่วยข้าหาคำตอบ ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าก็แค่จับมันใส่ถุงไปให้วาร์ดาฝึกเวทมนตร์ก็ได้”

แต่...ทำไมต้องหิ้วผมมาด้วย มิตินี้มันน่ากลัว...

“รีบมาเถิด” นาร์คูลตัดบท “ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ” ว่าแล้วเขาก็หันหลัง นำทางพวกเราเขาสู่กลุ่มควันและเถ้าถ่าน

###
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่