มาดูกันนะคะว่ายาแก้แพ้จะช่วยอะไรไอดินได้บ้าง แล้วเงาของใครนะ ที่หลบอยู่หลังต้นไม้ในตอนนั้น
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๗
https://pantip.com/topic/40099797
###
บทที่ ๘
“ฮ้า! ในมิติของเพื่อนใหม่ก็มีจ้าวโหดหินทมิฬชาติด้วยเหรอ” ซาร้องถามด้วยความประหลาดใจ
ตอนนั้นเรากำลังเดินกลับจากเรือนรักษา ก่อนออกมาท่านบาบาให้แผ่นยาแก้แพ้ซึ่งบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษมาอีกเยอะแยะ ซาช่วยผมถือกล่องไว้ แล้วผมก็เอาแผ่นยาหย่อนใส่ชุดกันเชื้อ เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงอีกส่วนหนึ่ง
ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นผมกับซาหาเรื่องคุยกันเรื่อยเปื่อย ในขณะที่มุสเดินทำหน้าเบื่ออยู่ข้างๆ ผมเล่าให้ซาฟังว่าสัตว์ดุร้ายที่ไล่กินผมเมื่อวานนี้เหมือนไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ที่เคยมีชีวิตอยู่ในมิติของผมเมื่อหกสิบหกล้านปีก่อน เขาฟังแล้วก็เบิกตาตื่นเต้น แต่มุสกลับอ้าปากหาว
“แค่เคยน่ะ พวกมันสูญพันธุ์ไปนับล้านๆ ปีแล้ว”
“นับล้านๆ ปี!” ซาร้องขึ้นอีก มุสก็อ้าปากหาวอีก
ผมผงกศีรษะให้ซา “ไม่ใช่แค่ทีเร็กซ์นะ ยังมีฮิปเซโลซอรัสที่ตัวโตอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วก็สัตว์ที่เขาแล้วก็มีแผงคอเรียกว่าไทรเซราท็อปส์ด้วย”
ซาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เราว่าในมิติของเราก็มีตัวแบบนั้นนะ”
“จริงเหรอ” ผมร้องออกไปบ้าง “พวกมันดุรึเปล่า จะโผล่มากินเราเหมือนทีเร็กซ์รึเปล่า”
ซาส่ายศีรษะ “ไม่หรอก พวกนี้กินพืชอยู่ที่ทุ่งนอกหมู่บ้านนี้อีก”
“ถ้าอย่างนั้นพาฉันไปดูหน่อยสิ” ผมบอกอย่างตื่นเต้น อีกใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะบันทึกภาพไว้ให้ยายเกล็ดแก้วได้ดูบ้าง
ซารับคำ แล้วก็พยักเพยิดไปทางมุส หมอนั่นยังทำหน้าเบื่อไม่รู้จบ
“นายไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ” ผมบอกเขา หมอนั่นส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอ แต่แล้วก็ยังคงเดินตามมาอยู่ดี
ในทุ่งกว้างนอกป่าโปร่งที่เป็นหมู่บ้านของคนกระปุ๊กลุกนั้นมีฝูงไดโนเสาร์ตัวโตและเล็มพืชใบเขียวต่างๆ อยู่ นอกจากฝูงไดโนเสาร์แล้ว คนกระปุ๊กลุกจำนวนหนึ่งก็ออกมาเก็บหาอาหารในทุ่งนั้นด้วย
ซาทักทายคนกระปุ๊กลุกสองสามคนในทุ่งนั้น แต่ละคนก็ทักทายกลับแล้วก็โบกมือให้ผม จากนั้นซาก็ชี้ให้ผมดูฝูงไดโนเสาร์นั้นอยู่ห่างๆ เขาว่าหากเข้าใกล้เกินไปอาจถูกเหยียบเอาได้
“นั่นไง นั่นเรียกว่าหน้าสามเขา” ซาชี้ไปยังไดโนเสาร์ที่มีแผงคอ มีเขาสองเขาบนหัวกับหนึ่งเขาบนจมูก
“ใช่ๆ ตัวนั้นละ ในมิติฉันเรียกว่าไทรเซราท็อปส์” ผมบอกซา
“ส่วนนั่น เรียกว่ายักษ์ใหญ่เหินฟ้า” ซาชี้ขึ้นไปบนฟ้า เห็นสัตว์มีปีกเป็นพังผืดสี่ห้าตัวกำลังบินร่อนวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ผมจำได้ว่าในหนังสือสารานุกรมไดโนเสาร์ที่เกล็ดแก้วให้ผมดูมีสัตว์ประเภทนี้อยู่ ทว่ามันไม่ได้ถูกจัดหมวดหมู่อยู่ในกลุ่มไดโนเสาร์ แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ที่เรียกว่าเทอโรซอร์
ครู่ต่อมาเทอโรซอร์ตัวหนึ่งก็โฉบลงมา...
แล้วคนกระปุ๊กลุกที่โบกมือให้ผมเมื่อครู่ก็ถูกคาบไปคนหนึ่ง
“ว้าก! ว้าก! ว้าก!” ได้ยินเสียงคนกระปุ๊กลุกนั้นร้อง ผมก็พาลตระหนกไปด้วย แต่ซากับมุสกลับยืนมองอยู่เฉยๆ
“นายไม่ช่วยเขาเหรอ เพื่อนนายกำลังจะถูกกินนะ” ผมถามซาอย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นเป็นเพื่อนกัน” ซาบอกเสียงเนิบ พลางมองไปที่คนกระปุ๊กลุกซึ่งถูกโยนเล่นไปมาระหว่างเทอโรซอร์ทั้งสี่ห้าตัว “พอดี จา กลัวความสูง พวกยักษ์ใหญ่เหินฟ้าเลยชอบแหย่เขาเล่น เดี๋ยวก็เอามาคืนเองละ”
“แต่...” ผมยังรู้สึกไม่ดี พอมองไปยังคนกระปุ๊กลุกที่ชื่อจาอีกครั้ง ท่าทางเขากลัวจริงจัง ผมจึงหันไปทางมุส “นายช่วยเขาหน่อยสิ” ผมขอร้อง “ดีกว่าให้จาหัวใจวายตายนะ”
หมอนั้นกลอกตาตลบหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจออกมา “เจ้านี่มันยุ่งจริงๆ” เขาบ่น แต่แล้วก็เปลี่ยนร่างเป็นโคชาน พร้อมกับทำตัวให้ใหญ่ขึ้น (ตอนนั้นตัวผมยังขนาดเท่าซาอยู่) แล้วกระพือปีกโผพุ่งขึ้นไปหาเทอโรซอร์เหล่านั้น
ซาเห็นท่าทางสนุกจึงวิ่งออกไปกลางทุ่งเพื่อมองใกล้ๆ ทิ้งผมให้ยืนอยู่คนเดียว
ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้น...
แต่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มือใหญ่โตข้างหนึ่งก็ยื่นมาปิดปากปิดจมูกผมไว้ทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก ได้ยินแต่เสียงกรอบแกรบของชุดกันเชื้อที่ถูกขยำยู่ยี่
ผมพยายามส่งเสียงร้องแต่ไม่มีใครได้ยิน แล้วคนที่ลักพาตัวผมก็อุ้มผมวิ่งลัดเลาะเนินไปทางป่าด้านตรงข้ามกับป่าโปร่ง เข้าไปในป่าทึบอันเป็นถิ่นหากินของจ้าวโหดหินทมิฬชาตินั่นเอง
---
คนที่ลักพาผมไม่ได้ทิ้งผมไว้ในป่าให้ทีเร็กซ์กิน พอเข้ามาในป่าทึบแล้วเขาก็จับผมใส่ย่าม แล้วเดินทางต่อไป
ตอนแรกผมดิ้นพล่านอยู่ในย่าม พยายามหาทางออกจากความมืดที่ครอบคลุมตัวเองอยู่ ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลัวหรือไม่ แต่พอเริ่มหมดแรงและรู้ว่าดิ้นไปก็ทำอะไรไม่ได้ผมจึงหยุดดิ้น ตอนนั้นเองผมจึงรู้ว่าตัวเองกลัว...กลัวจะถูกทำร้าย กลัวจะไม่ได้กลับมิติของตัวเอง กลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง คิดพล่านไปสารพัด
ผมอยู่ในย่ามนั้นนานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่พอคนที่ลักพาตัวผมเปิดย่ามออก แสงอาทิตย์ก็หายไปแล้ว
คนที่ลักพาตัวผมอุ้มผมออกจากย่าม ตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นว่าเขาเป็นใคร
พอเห็นการแต่งกายของเขาเท่านั้นผมก็สะดุ้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตระหนก “คนชุดดำ” ผมครางเสียงสั่น เขาต้องการอะไร จะทำร้ายผมเหมือนคราวที่อยู่ในมิติของมุสอีกหรือ!
ผมไม่ทราบว่าคนชุดดำนั้นได้ยินเสียงผมหรือไม่ แต่ถึงได้ยินก็คงไม่สนใจ เขาวางผมลงบนพื้นหินอันเย็นเยียบ แล้วก็จ้องหน้าผม
“ไอดิน” เขาเอ่ย พลางเปลี่ยนจากที่นั่งชันเข่าในตอนแรกเป็นเหยียดขาออกเล็กน้อย “ช่วยข้า” เขาบอกสั้นๆ
ผมเอียงคอด้วยความสงสัย ความรู้สึกหวาดกลัวค่อยคลายลงไปบางส่วน แต่มือยังไม่หยุดสั่น “ช่วย...ช่วยอะไร” ผมถามพร้อมกับขยับตัวห่างออกมา
เขาก้มหน้าครุ่นคิด แล้วก็อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเม้มปากลงไปอีก เปลี่ยนเป็นฉวยตัวผม ก้าวเข้าไปในโพรงที่ด้านข้าง (ซึ่งภายหลังผมจึงรู้ว่ามันเรียกว่าถ้ำ)
“อยู่นี่” เขาบอก แล้วก็ผละจากไป
อ้าว...เฮ้ย! เดี๋ยวสิ
พอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วความกลัวอีกชนิดหนึ่งก็เข้ามาครอบงำจิตใจผม เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในย่าม ความกลัวที่เกิดจากความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ผมแหงนหน้ามองไปรอบๆ โพรง (ถ้ำ) อันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางปากโพรง (ถ้ำ) ทำให้มองเห็นเงาหินซึ่งระเกะระกะอยู่ปากถ้ำนั้นเลือนราง
เวลานี้มุสกับพวกคนกระปุ๊กลุกคงรู้แล้วว่าผมหายไป พวกเขาต้องตามหาผมแน่ๆ มุสต้องมาช่วยผม
“มุส!” ผมป้องปากตะโกนออกไป ทว่าเสียงผมกลับถูกเสียงลมแรงที่พัดผ่านปากถ้ำกลบเสียหมด ผมจึงค่อยๆ ก้าวออกจากถ้ำ
“มุส!” ผมตะโกนอีก แต่เสียงลมที่พัดอู้พาเสียงผมหายไปจนแม้แต่ตัวผมเองยังแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ผมก้าวออกไปยืนบนชะง่อนหินหน้าปากถ้ำ ตรงบริเวณที่คนชุดดำปลดผมออกมาจากย่อมนั่นละ ตอนนั้นเองผมรู้สึกมีลมกรรโชก พัดจนผมต้องยกแขนป้องหน้า หลับตา แล้วก้มลงคลานเพื่อลดแรงปะทะของลม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องถูกลมพัดหอบไปแน่ๆ
ทว่าพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงพบว่าที่ใต้ชะง่อนหินหน้าปากถ้ำนั้นเป็นหน้าผา!
หัวผมถึงกับมึนงง ตาพร่าลาย เงาป่ามืดทึบด้านล่างกลับกลายเป็นหมุนติ้วจนผมต้องคลานถอยหลัง กลับเข้าไปหลบในถ้ำอีกครั้ง
ผมกอดตัวเอง ร่างกายสั่นสุดระงับ เมื่อครู่หากผมถูกลมพัดทรงตัวไม่อยู่ พลัดตกลงจากหน้าผาแล้วละก็ ผมคงไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่แน่ๆ
ผมนั่งตัวสั่นอยู่นานเท่าไรไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ได้ยินเสียงขยุกขยิกดังมาจากในถ้ำ ผมสะดุ้ง สะบัดหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร
ตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงขยุกขยิกดังมาจากในถ้ำ ผมสะดุ้ง แต่พอสะบัดหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร
“นั่นอะไรน่ะ” ผมถามโดยไม่ได้หวังว่าจะได้คำตอบ อย่างน้อยแค่มีเสียงตัวเองเป็นเพื่อนก็ยังรู้สึกดีกว่าไม่มีอะไรเลย “นั่นใคร คนหรือสัตว์”
...เงียบ...
ผมรอสักครู่หนึ่งก็เริ่มพูดขึ้นอีก “จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง แกกินฉันไม่ได้หรอก” ผมปลอบใจตัวเอง “มุสต้องมาช่วยฉันแน่ ถึงตอนนั้นแกจะต้องถูกมุสตบหัวแตก” บอกไปอย่างนั้น แต่น้ำตาผมกลับเริ่มไหลออกมา “ใช่ มุสต้องมาช่วยฉัน เขาไม่ปล่อยให้ฉันตายหรอก ยังมีพวกซาอีก พวกนั้นอยู่ในมิตินี้ รู้จักที่นี่ดี เดี๋ยวพวกเขาก็หาฉันเจอ แกกินฉันไม่ได้หรอก”
ผมพูดอะไรออกไปอีกมากมาย พูดวนไปวนมาเหมือนคนเพ้อ พูดอยู่คนเดียวโดยไม่มีเสียงใครตอบมาเลย นอกจากเสียงลมที่พัดกรรโชกอยู่ข้างนอก
“มุสต้องมาช่วยฉัน มุสต้องมา...” สุดท้ายคำพูดของผมก็เหลือเพียงแค่นั้น ก่อนที่สติของผมจะค่อยๆ เลือนราง และหลับลงไปในที่สุด
---
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๘
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๗ https://pantip.com/topic/40099797
###
บทที่ ๘
“ฮ้า! ในมิติของเพื่อนใหม่ก็มีจ้าวโหดหินทมิฬชาติด้วยเหรอ” ซาร้องถามด้วยความประหลาดใจ
ตอนนั้นเรากำลังเดินกลับจากเรือนรักษา ก่อนออกมาท่านบาบาให้แผ่นยาแก้แพ้ซึ่งบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษมาอีกเยอะแยะ ซาช่วยผมถือกล่องไว้ แล้วผมก็เอาแผ่นยาหย่อนใส่ชุดกันเชื้อ เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงอีกส่วนหนึ่ง
ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้นผมกับซาหาเรื่องคุยกันเรื่อยเปื่อย ในขณะที่มุสเดินทำหน้าเบื่ออยู่ข้างๆ ผมเล่าให้ซาฟังว่าสัตว์ดุร้ายที่ไล่กินผมเมื่อวานนี้เหมือนไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ที่เคยมีชีวิตอยู่ในมิติของผมเมื่อหกสิบหกล้านปีก่อน เขาฟังแล้วก็เบิกตาตื่นเต้น แต่มุสกลับอ้าปากหาว
“แค่เคยน่ะ พวกมันสูญพันธุ์ไปนับล้านๆ ปีแล้ว”
“นับล้านๆ ปี!” ซาร้องขึ้นอีก มุสก็อ้าปากหาวอีก
ผมผงกศีรษะให้ซา “ไม่ใช่แค่ทีเร็กซ์นะ ยังมีฮิปเซโลซอรัสที่ตัวโตอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วก็สัตว์ที่เขาแล้วก็มีแผงคอเรียกว่าไทรเซราท็อปส์ด้วย”
ซาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เราว่าในมิติของเราก็มีตัวแบบนั้นนะ”
“จริงเหรอ” ผมร้องออกไปบ้าง “พวกมันดุรึเปล่า จะโผล่มากินเราเหมือนทีเร็กซ์รึเปล่า”
ซาส่ายศีรษะ “ไม่หรอก พวกนี้กินพืชอยู่ที่ทุ่งนอกหมู่บ้านนี้อีก”
“ถ้าอย่างนั้นพาฉันไปดูหน่อยสิ” ผมบอกอย่างตื่นเต้น อีกใจหนึ่งก็คิดว่าน่าจะบันทึกภาพไว้ให้ยายเกล็ดแก้วได้ดูบ้าง
ซารับคำ แล้วก็พยักเพยิดไปทางมุส หมอนั่นยังทำหน้าเบื่อไม่รู้จบ
“นายไม่ต้องไปด้วยก็ได้นะ” ผมบอกเขา หมอนั่นส่งเสียงคำรามเบาๆ ในลำคอ แต่แล้วก็ยังคงเดินตามมาอยู่ดี
ในทุ่งกว้างนอกป่าโปร่งที่เป็นหมู่บ้านของคนกระปุ๊กลุกนั้นมีฝูงไดโนเสาร์ตัวโตและเล็มพืชใบเขียวต่างๆ อยู่ นอกจากฝูงไดโนเสาร์แล้ว คนกระปุ๊กลุกจำนวนหนึ่งก็ออกมาเก็บหาอาหารในทุ่งนั้นด้วย
ซาทักทายคนกระปุ๊กลุกสองสามคนในทุ่งนั้น แต่ละคนก็ทักทายกลับแล้วก็โบกมือให้ผม จากนั้นซาก็ชี้ให้ผมดูฝูงไดโนเสาร์นั้นอยู่ห่างๆ เขาว่าหากเข้าใกล้เกินไปอาจถูกเหยียบเอาได้
“นั่นไง นั่นเรียกว่าหน้าสามเขา” ซาชี้ไปยังไดโนเสาร์ที่มีแผงคอ มีเขาสองเขาบนหัวกับหนึ่งเขาบนจมูก
“ใช่ๆ ตัวนั้นละ ในมิติฉันเรียกว่าไทรเซราท็อปส์” ผมบอกซา
“ส่วนนั่น เรียกว่ายักษ์ใหญ่เหินฟ้า” ซาชี้ขึ้นไปบนฟ้า เห็นสัตว์มีปีกเป็นพังผืดสี่ห้าตัวกำลังบินร่อนวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ผมจำได้ว่าในหนังสือสารานุกรมไดโนเสาร์ที่เกล็ดแก้วให้ผมดูมีสัตว์ประเภทนี้อยู่ ทว่ามันไม่ได้ถูกจัดหมวดหมู่อยู่ในกลุ่มไดโนเสาร์ แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ที่เรียกว่าเทอโรซอร์
ครู่ต่อมาเทอโรซอร์ตัวหนึ่งก็โฉบลงมา...
แล้วคนกระปุ๊กลุกที่โบกมือให้ผมเมื่อครู่ก็ถูกคาบไปคนหนึ่ง
“ว้าก! ว้าก! ว้าก!” ได้ยินเสียงคนกระปุ๊กลุกนั้นร้อง ผมก็พาลตระหนกไปด้วย แต่ซากับมุสกลับยืนมองอยู่เฉยๆ
“นายไม่ช่วยเขาเหรอ เพื่อนนายกำลังจะถูกกินนะ” ผมถามซาอย่างร้อนรน
“ไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นเป็นเพื่อนกัน” ซาบอกเสียงเนิบ พลางมองไปที่คนกระปุ๊กลุกซึ่งถูกโยนเล่นไปมาระหว่างเทอโรซอร์ทั้งสี่ห้าตัว “พอดี จา กลัวความสูง พวกยักษ์ใหญ่เหินฟ้าเลยชอบแหย่เขาเล่น เดี๋ยวก็เอามาคืนเองละ”
“แต่...” ผมยังรู้สึกไม่ดี พอมองไปยังคนกระปุ๊กลุกที่ชื่อจาอีกครั้ง ท่าทางเขากลัวจริงจัง ผมจึงหันไปทางมุส “นายช่วยเขาหน่อยสิ” ผมขอร้อง “ดีกว่าให้จาหัวใจวายตายนะ”
หมอนั้นกลอกตาตลบหนึ่ง แล้วก็ถอนหายใจออกมา “เจ้านี่มันยุ่งจริงๆ” เขาบ่น แต่แล้วก็เปลี่ยนร่างเป็นโคชาน พร้อมกับทำตัวให้ใหญ่ขึ้น (ตอนนั้นตัวผมยังขนาดเท่าซาอยู่) แล้วกระพือปีกโผพุ่งขึ้นไปหาเทอโรซอร์เหล่านั้น
ซาเห็นท่าทางสนุกจึงวิ่งออกไปกลางทุ่งเพื่อมองใกล้ๆ ทิ้งผมให้ยืนอยู่คนเดียว
ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้น...
แต่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มือใหญ่โตข้างหนึ่งก็ยื่นมาปิดปากปิดจมูกผมไว้ทำให้ผมแทบหายใจไม่ออก ได้ยินแต่เสียงกรอบแกรบของชุดกันเชื้อที่ถูกขยำยู่ยี่
ผมพยายามส่งเสียงร้องแต่ไม่มีใครได้ยิน แล้วคนที่ลักพาตัวผมก็อุ้มผมวิ่งลัดเลาะเนินไปทางป่าด้านตรงข้ามกับป่าโปร่ง เข้าไปในป่าทึบอันเป็นถิ่นหากินของจ้าวโหดหินทมิฬชาตินั่นเอง
---
คนที่ลักพาผมไม่ได้ทิ้งผมไว้ในป่าให้ทีเร็กซ์กิน พอเข้ามาในป่าทึบแล้วเขาก็จับผมใส่ย่าม แล้วเดินทางต่อไป
ตอนแรกผมดิ้นพล่านอยู่ในย่าม พยายามหาทางออกจากความมืดที่ครอบคลุมตัวเองอยู่ ตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกลัวหรือไม่ แต่พอเริ่มหมดแรงและรู้ว่าดิ้นไปก็ทำอะไรไม่ได้ผมจึงหยุดดิ้น ตอนนั้นเองผมจึงรู้ว่าตัวเองกลัว...กลัวจะถูกทำร้าย กลัวจะไม่ได้กลับมิติของตัวเอง กลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วง คิดพล่านไปสารพัด
ผมอยู่ในย่ามนั้นนานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่พอคนที่ลักพาตัวผมเปิดย่ามออก แสงอาทิตย์ก็หายไปแล้ว
คนที่ลักพาตัวผมอุ้มผมออกจากย่าม ตอนนั้นเองผมจึงได้เห็นว่าเขาเป็นใคร
พอเห็นการแต่งกายของเขาเท่านั้นผมก็สะดุ้ง หัวใจเต้นแรงด้วยความตระหนก “คนชุดดำ” ผมครางเสียงสั่น เขาต้องการอะไร จะทำร้ายผมเหมือนคราวที่อยู่ในมิติของมุสอีกหรือ!
ผมไม่ทราบว่าคนชุดดำนั้นได้ยินเสียงผมหรือไม่ แต่ถึงได้ยินก็คงไม่สนใจ เขาวางผมลงบนพื้นหินอันเย็นเยียบ แล้วก็จ้องหน้าผม
“ไอดิน” เขาเอ่ย พลางเปลี่ยนจากที่นั่งชันเข่าในตอนแรกเป็นเหยียดขาออกเล็กน้อย “ช่วยข้า” เขาบอกสั้นๆ
ผมเอียงคอด้วยความสงสัย ความรู้สึกหวาดกลัวค่อยคลายลงไปบางส่วน แต่มือยังไม่หยุดสั่น “ช่วย...ช่วยอะไร” ผมถามพร้อมกับขยับตัวห่างออกมา
เขาก้มหน้าครุ่นคิด แล้วก็อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับเม้มปากลงไปอีก เปลี่ยนเป็นฉวยตัวผม ก้าวเข้าไปในโพรงที่ด้านข้าง (ซึ่งภายหลังผมจึงรู้ว่ามันเรียกว่าถ้ำ)
“อยู่นี่” เขาบอก แล้วก็ผละจากไป
อ้าว...เฮ้ย! เดี๋ยวสิ
พอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วความกลัวอีกชนิดหนึ่งก็เข้ามาครอบงำจิตใจผม เป็นความรู้สึกแบบเดียวกับตอนที่อยู่ในย่าม ความกลัวที่เกิดจากความไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ผมแหงนหน้ามองไปรอบๆ โพรง (ถ้ำ) อันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางปากโพรง (ถ้ำ) ทำให้มองเห็นเงาหินซึ่งระเกะระกะอยู่ปากถ้ำนั้นเลือนราง
เวลานี้มุสกับพวกคนกระปุ๊กลุกคงรู้แล้วว่าผมหายไป พวกเขาต้องตามหาผมแน่ๆ มุสต้องมาช่วยผม
“มุส!” ผมป้องปากตะโกนออกไป ทว่าเสียงผมกลับถูกเสียงลมแรงที่พัดผ่านปากถ้ำกลบเสียหมด ผมจึงค่อยๆ ก้าวออกจากถ้ำ
“มุส!” ผมตะโกนอีก แต่เสียงลมที่พัดอู้พาเสียงผมหายไปจนแม้แต่ตัวผมเองยังแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ผมก้าวออกไปยืนบนชะง่อนหินหน้าปากถ้ำ ตรงบริเวณที่คนชุดดำปลดผมออกมาจากย่อมนั่นละ ตอนนั้นเองผมรู้สึกมีลมกรรโชก พัดจนผมต้องยกแขนป้องหน้า หลับตา แล้วก้มลงคลานเพื่อลดแรงปะทะของลม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องถูกลมพัดหอบไปแน่ๆ
ทว่าพอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงพบว่าที่ใต้ชะง่อนหินหน้าปากถ้ำนั้นเป็นหน้าผา!
หัวผมถึงกับมึนงง ตาพร่าลาย เงาป่ามืดทึบด้านล่างกลับกลายเป็นหมุนติ้วจนผมต้องคลานถอยหลัง กลับเข้าไปหลบในถ้ำอีกครั้ง
ผมกอดตัวเอง ร่างกายสั่นสุดระงับ เมื่อครู่หากผมถูกลมพัดทรงตัวไม่อยู่ พลัดตกลงจากหน้าผาแล้วละก็ ผมคงไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่แน่ๆ
ผมนั่งตัวสั่นอยู่นานเท่าไรไม่ทราบ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ได้ยินเสียงขยุกขยิกดังมาจากในถ้ำ ผมสะดุ้ง สะบัดหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร
ตอนนั้นเอง ผมได้ยินเสียงขยุกขยิกดังมาจากในถ้ำ ผมสะดุ้ง แต่พอสะบัดหันกลับไปมองก็ไม่เห็นอะไร
“นั่นอะไรน่ะ” ผมถามโดยไม่ได้หวังว่าจะได้คำตอบ อย่างน้อยแค่มีเสียงตัวเองเป็นเพื่อนก็ยังรู้สึกดีกว่าไม่มีอะไรเลย “นั่นใคร คนหรือสัตว์”
...เงียบ...
ผมรอสักครู่หนึ่งก็เริ่มพูดขึ้นอีก “จะเป็นตัวอะไรก็ช่าง แกกินฉันไม่ได้หรอก” ผมปลอบใจตัวเอง “มุสต้องมาช่วยฉันแน่ ถึงตอนนั้นแกจะต้องถูกมุสตบหัวแตก” บอกไปอย่างนั้น แต่น้ำตาผมกลับเริ่มไหลออกมา “ใช่ มุสต้องมาช่วยฉัน เขาไม่ปล่อยให้ฉันตายหรอก ยังมีพวกซาอีก พวกนั้นอยู่ในมิตินี้ รู้จักที่นี่ดี เดี๋ยวพวกเขาก็หาฉันเจอ แกกินฉันไม่ได้หรอก”
ผมพูดอะไรออกไปอีกมากมาย พูดวนไปวนมาเหมือนคนเพ้อ พูดอยู่คนเดียวโดยไม่มีเสียงใครตอบมาเลย นอกจากเสียงลมที่พัดกรรโชกอยู่ข้างนอก
“มุสต้องมาช่วยฉัน มุสต้องมา...” สุดท้ายคำพูดของผมก็เหลือเพียงแค่นั้น ก่อนที่สติของผมจะค่อยๆ เลือนราง และหลับลงไปในที่สุด
---