ไอดินอยู่ที่มิติคนกระปุ๊กลุก จะเป็นอย่างไรบ้างนะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๖
https://pantip.com/topic/40068622
###
บทที่ ๗
ท้องผมส่งเสียงคร่ำครวญจนผมนอนไม่หลับ
ผมพักอยู่ในบ้านบนต้นไม้ของซา (บ้านหลังที่ผมถูกโยนเข้าไปในตอนแรกนั่นละ) บ้านนี้มีห้องอยู่ สามสี่ห้อง ห้องที่ผมพักอยู่เป็นห้องว่าง ซาบอกว่าทุกบ้านที่นี่จะมีห้องว่างที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือน นัยว่าชอบผูกมิตรกับคนแปลกหน้ากันทั้งหมู่บ้าน
มุสพักอยู่กับผมด้วย เขาเปลี่ยนร่างเป็นโคชานแล้วนอนหมอบอยู่ด้านหนึ่งของห้อง แต่เพราะผมอยู่ในชุดกันเชื้ออยู่แล้วจึงไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้ขนมันอีก
ผมลุกขึ้นมาจากที่นอนเด้งดึ๋ง แล้วก้าวไปทางหน้าต่างไม้ซึ่งเป็นบานพับเปิดออกไปข้างนอก (ที่นั่งที่นอนของที่นี่เป็นเบาะเด้งดึ๋งกันหมด ดูเหมือนซาจะบอกว่าเบาะพวกนี้บุด้วยขนตัวอะไรสักอย่างทำให้นุ่มเด้ง) ผมค่อยๆ ผลักบานหน้าต่างออกไป แสงจันทร์สีนวลส่องเข้ามาในห้อง และคงแยงตาเพื่อนขนฟูของผมนิดหน่อย ผมได้ยินมันขยับจึงหันไปมองและเห็นมันลุกขึ้น หมุนตัวหลบแสงจันทร์แล้วจึงหมอบลงนอนใหม่
พอแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ปลุกเขาขึ้นมาอาละวาด ผมก็หันมองออกไปข้างนอกอีก บรรยากาศข้างนอกมืดสลัว แต่ยังมองเห็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดลอดระหว่างกิ่งไม้ แมลงและสัตว์อื่นต่างส่งเสียงร้องแข่งกัน นอกนั้นทุกอย่างก็ดูสงบเงียบ ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดจากบ้านบนต้นไม้เลยสักหลัง
ซาบอกว่าพวกเขาไม่ได้ประหยัด แต่ไม่ต้องการให้แสงไฟไปรบกวนแสงจากธรรมชาติเช่นแสงจันทร์แสงดาว ซึ่งจะกระทบต่อวิถีชีวิตของพืชและแมลงที่อาศัยแสงเหล่านั้นในกิจกรรมต่างๆ เช่นการนำทางเป็นต้น และอาจจะกระทบต่อระบบนิเวศน์โดยรวม
ผมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ที่มิติของผมไม่มีสัตว์ให้รบกวนอยู่แล้ว แต่ผมก็เคารพความคิดของพวกเขา
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ท้องของผมก็ประท้วงขึ้นอีก ผมจึงก้าวไปคว้ากระเป๋าเป้ซึ่งวางอยู่ข้างที่นอน หย่อนตัวนั่งลงกับพื้นแล้วเปิดเอาขวดอาหารเม็ดออกมา (ตอนที่มุสทำให้ตัวผมเล็กลง มันก็พลอยทำให้เป้และของในเป้ของผมหดเล็กลงด้วย) อาหารเม็ดนั้นกินง่ายมาก แค่เอาใส่ปากแล้วกลืน แต่เพราะมันอัดแน่นด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในหนึ่งวัน ผมจึงไม่จำเป็นต้องกินบ่อยๆ
ผมหยิบอาหารเม็ดขนาดประมาณครึ่งข้อนิ้วชี้ของผมออกจากขวดมาเม็ดหนึ่ง แล้วหยิบเครื่องผลิตน้ำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋า น้ำในกระบอกที่มีสายโยงกับเครื่องผลิตเหลืออีกสองสามอึก ผมจึงเขย่าๆ เครื่องผลิตน้ำจนได้ยินเสียงฟู่และมีน้ำหยดเข้ามาในกระบอกใส่ รออีกสักครู่หนึ่งน้ำก็เพิ่มมาอีกสามสี่อึก ผมจึงเอากระบอกน้ำกับอาหารเม็ดใส่เข้ามาในชุดกันเชื้อ หย่อนอาหารเม็ดเข้าปากแล้วดูดน้ำจากกระบอกตามเพื่อให้กลืนได้ง่าย
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเก็บของเข้ากระเป๋าเป้ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างอีก
ตอนนั้นเอง เงาอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตหมู่บ้าน (บ้านของซาอยู่สูงพอที่จะมองเห็นพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านได้) เงานั้นขยับวูบไปหลบอยู่ที่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ท่าทางมันปราดเปรียว และดูคล้าย...
คล้ายเงาคน!
คนตัวโตเสียด้วย ไม่ใช่ร่างเล็กกระปุ๊กลุกอย่างคนในหมู่บ้านนี้
ผมขบริมฝีปากด้วยความรู้สึกหวั่นใจ หันไปมองโคชานที่ยังนอนอยู่ ไม่แน่ใจว่าควรเสี่ยงปลุกหมอนั่นขึ้นมาดีหรือไม่ หากปลุกขึ้นมาดูแล้วพบว่าเงานั่นกลายเป็นสัตว์ธรรมดาในมิตินี้ หมอนั่นคงกินหัวผมแน่ แต่หากเงานั้นเป็นอันตรายเล่า...ผมจะทำอย่างไรดี
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจได้...เอาวะ ตายเป็นตาย!
ผมเดินกลับไปทางเพื่อนขนฟูของผม ย่อกายลงแล้วยื่นนิ้วจิ้มเข้าไปในขนตรงไหล่มันนิดหนึ่ง มันยังไม่รู้สึก ผมเปลี่ยนเป็นตบไหล่มัน มันก็พลิกตัวนิดหนึ่งแล้วนอนต่อ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงลุกขึ้น ก้าวกลับไปที่หน้าต่าง ชะโงกมองออกไปทางหลังต้นไม้อีก
เงานั้นไม่อยู่แล้ว หรือมันจะเป็นแค่สัตว์ในมิตินี้จริงๆ
นั่นสินะ สัตว์เขี้ยวแหลมตัวโตนั่นก็วิ่งด้วยสองเท้าเหมือนกัน บางทีผมอาจจะตาฝาดไปจริงๆ ก็ได้
นึกถึงสัตว์น่ากลัวนั้นแล้วกายผมก็สยิวขึ้นมาอีก เมื่อตอนกลางวันซาบอกกับผมว่ามันคือ จ้าวโหดหินทมิฬชาติ เป็นสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุดในแถบป่าทึบแล้ว แต่พอมานึกดูอีกที ผมว่าผมเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน...
ผมถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก้มลงมองที่มือตัวเอง เห็นสายรัดข้อมือสีชมพูหวานฉาบด้วยแสงจันทร์
จริงสิ ลักษณะมันคล้ายอัลโลซอรัสที่เกล็ดแก้วเคยให้ผมดู แต่พอคิดอีกที ไดโนเสาร์ที่เกล็ดแก้วชี้ให้ดูก็มีลักษณะคล้ายๆ แบบนี้หลายตัว หัวโต เขี้ยวเรียงเป็นตับ ขาหลังแข็งแรง ในขณะที่ขาหน้าสั้นเล็กเหมือนพิการ
อา...นึกออกแล้ว มันเหมือนไทรันโนซอรัส เร็กซ์!
แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมมิตินี้ ถึงมีสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยอยู่ในมิติของผมได้เล่า
---
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ พอตื่นขึ้นมาก็พบแดดส่งเข้ามาในห้องแล้ว
ซามาปลุกผม บอกว่าจะพาไปหาท่านบาบา ผมจึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้น แล้ววิ่งลงบันไดตามซาไป จากนั้นจึงเห็นมุสยืนกอดอกรออยู่ข้างล่าง หรี่ตาเงยหน้ามองมาที่ผม เท้าข้างหนึ่งแตะกระทบพื้นด้วยความขัดใจ
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนเป็นโคชานแล้วเข้าไปโฉบเจ้าออกมาโยนเล่นกลางอากาศ” เขาบอกในระหว่างที่ผมก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย
ผมถอนหายใจนิดหนึ่ง “ฉันตื่นแล้ว” ผมบอกเสียงเบา ไม่อยากทุ่มเถียงกับเขา
จากนั้นซาก็พาผมกับมุสเดินตัดผ่านลานกลางหมู่บ้านที่จัดงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืน ผ่านต้นไม้อีกสี่ห้าต้น พลางทักทายคนกระปุ๊กลุกที่เดินผ่านไปมา คนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็ทักทายเขา แล้วหันมาทักผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าเดิม
ซาพามาถึงต้นไม้ใหญ่ลำต้นหนาต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้ใหญ่โตกว่าต้นอื่นที่ผมเดินผ่านมา บนต้นไม้ก็ไม่มีบ้าน แต่มีโพรงอยู่ที่โคนต้น ซึ่งเปิดให้คนเดินผ่านเข้าออกได้สะดวก
“ที่นี่เรียกว่าเรือนรักษา” ซาบอกผม เขายังบอกอีกว่ามันเป็นที่ที่ท่านบาบากับผู้ช่วยจำนวนหนึ่ง ผลัดกันมาอยู่ดูแลรักษาคนที่เจ็บป่วยจนกว่าจะกลับไปดูแลตัวเองที่บ้านได้ ผมคิดว่าคงคล้ายๆ กับโรงพยาบาลในมิติของผมนั่นเอง
พอก้าวเข้าไปในโพรงไม้แล้ว บรรยากาศกลับดูต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ข้างในนั้นแบ่งเป็นชั้นจำนวนเท่าใดไม่ทราบ ผมแหงนหน้าดูจนตาลายแล้วก็ยังนับไม่ถ้วน ตรงกลางเป็นโถงโล่งกว้างสำหรับลิฟต์โดยสารเจ็ดแปดตัว (ใช่ ในต้นไม้มีลิฟต์ด้วย) รอบๆ โถงกว้างในแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องและมีระเบียงทางเดินอยู่โดยรอบ ซึ่งเชื่อมต่อมายังลิฟต์ตรงกลาง
หญิงกระปุ๊กลุกคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเราพร้อมกับรอยยิ้ม ซาก็บอกเธอไปว่าเพื่อนใหม่มีนัดกับท่านบาบา หญิงกระปุ๊กลุกคนนั้นจึงเดินนำพวกเราขึ้นลิฟต์ตัวหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าขึ้นมากี่ชั้นแต่มันทำให้ผมหูอื้อไปเล็กน้อย ครั้นออกจากลิฟต์แล้วหญิงกระปุ๊กลุกก็เดินนำเราไปตามทางบนระเบียง แล้วจึงหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่ง เขายื่นนิ้วป้อมๆ ไปกดปุ่มบนอุปกรณ์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ข้างประตูบานนั้น สักครู่ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังจากอุปกรณ์ที่ข้างประตู
“ซามาแล้วรึ เปิดประตูเข้ามาเลย” เสียงนั้นบอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังคลิ๊ก แล้วหญิงกระปุ๊กลุกก็ประตูให้เราก้าวเข้าไป
บรรยากาศในห้องนั้นดูคล้ายกับห้องของโรงพยาบาลในสมัยโบราณที่ผมเคยเห็นในรูป คือมีเตียงคนไข้วางอยู่ริมผนังด้านขวา ข้างๆ มีอ่างล้างมือกับตู้เก็บของทรงสูง ส่วนริมผนังทางซ้ายด้านในนั้นมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับผู้ทำการรักษา
ท่านบาบานั่งคิ้วดกอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น พอเห็นพวกเขาเข้ามาในห้องแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ พลางชี้มือไปที่เตียงคนไข้ บอกให้ผมนั่งลงบนนั้น จากนั้นจึงหันบอกหญิงกระปุ๊กลุกที่ยืนรออยู่ว่าไม่ต้องรอ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเธอต้องรออะไร มารู้จากซาภายหลังว่าปกติแล้วเธอจะต้องคอยอำนวยความสะดวกให้คนไข้จนกระทั่งส่งคนไข้ออกจากเรือนรักษานั่นละ
“เพื่อนใหม่ลองยื่นแขนออกมาจากชุดนี้ได้ไหม” ท่านบาบาถาม ผมรู้สึกลังเลนิดหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดตะเข็บ ยื่นแขนออกจากชุดกันเชื้อ “อืม ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา” ท่านบาบาพึมพำ พลางยกแขนผมสำรวจไปมา ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอาการแพ้
“มา ให้ข้าลองดู” มุสที่ยืนมองอยู่ข้างๆ เสนอ แล้วก็เปลี่ยนร่างเป็นโคชาน จากนั้นก็บัดขนจนฟุ้งเต็มห้อง
เท่านั้นเอง ผื่นแดงพลันก่อตัวขึ้นตามแขนของผม ไม่นานก็มันก็เริ่มบวม และเปลี่ยนจากคันเป็นปวดเหมือนถูกบีบ
ท่านบาบารีบให้ผมหดแขนเข้าในชุดกันเชื้อ แล้วผมก็รีบออกคำสั่งให้สายรัดข้อมือให้พ่นยาฆ่าเชื้อจากกระบอกเล็กๆ ในชุดกันเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชุดกันเชื้อทุกชุดต้องมีไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน
แต่สายรัดข้อมือสีชมพูแหววของยายเกล็ดแก้วกลับเชื่อมต่อกับชุดกันเชื้อไม่ได้...
ผมลืมไปว่ายายนั่นปรับเปลี่ยนอะไรในสายรัดข้อมือตั้งมากมายเพื่อให้มันเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่ายายนั่นคงปิดระบบเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นไปด้วย
แขนผมปวดจนผมเริ่มน้ำตาซึม และสีหน้าอาจจะเปลี่ยนไปด้วย เพราะท่านบาบากับคนอื่นดูท่าทางตกใจ
“ทำอย่างไรดีท่านบาบา เพื่อนใหม่หน้าซีดไปหมดแล้ว” ซาร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ในขณะที่โคชานกลับเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่า
“ข้าจะพาเขากลับมิติ” หมอนั่นว่าพร้อมกับจับแขนข้างที่ไม่บวมของผมไว้
“เรามีทางแก้” ท่านบาบาบอกในระหว่างที่ก้าวยาวๆ (เท่าที่ขาป้อมๆ สั้นๆ จะก้าวได้) ไปทางตู้เก็บของ เปิดตู้แล้วรื้อเอาของบางอย่างออกมา มันเป็นแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสสีแดงสามแผ่น ขนาดกว้างยาวประมาณสองเซนติเมตร
“เอานี่ไป แปะไว้ที่แขน” ท่านบาบาบอกอย่างรวดเร็ว ผมก็ยื่นมือข้างที่ไม่บวมและยังอยู่ในชุดกันเชื้อออกไป จากนั้นก็หย่อนมันเข้ามาทางตะเข็บ แล้วหดแขนข้างเดิมกลับเข้ามาในชุดกันเชื้อเพื่อหยิบแผ่นผ้าสีแดงทั้งสามแผ่นนั้น แปะกระจายไว้บนแขนข้างที่บวม
ครู่ต่อมา อาการปวดก็ค่อยๆ ลดลง แขนก็บวมน้อยลงไปหน่อย แต่ยังแดงและรู้สึกร้อนๆ อยู่
“แปะไว้ก่อน ยากำลังซึมเข้าผิวหนัง” ท่านบาบาบอก แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “คนที่หมู่บ้านนี้ส่วนมากจะแพ้แค่แมลงกัดต่อย เราไม่เคยเห็นใครแพ้ขนสัตว์แบบนี้มาก่อนเลย”
“อันที่จริงไม่ใช่แค่ขนสัตว์นะครับ” ผมเอ่ยออกไป “ตอนที่ไปมิติของมุส ผมแพ้อากาศ แพ้น้ำ แพ้อาหาร แพ้ทุกอย่างในมิตินั้นเลย”
“แต่ตอนที่เพื่อนใหม่ยื่นแขนออกมาตอนแรก ไม่เห็นแพ้นี่นา” ซาตั้งข้อสังเกต
ท่านบาบาผงกศีรษะ “บางทีในเรือนรักษาอาจจะมีการดูแลทำความสะอาดมากเกินไป เอาอย่างนี้ เราขอเจาะเลือดเพื่อนใหม่ออกมาวิเคราะห์ดูก่อน เพื่อนใหม่จะว่าอย่างไร”
“เจาะเลือด!” มุสโพล่งออกมา (เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุสตั้งแต่เมื่อครู่ ตอนที่เห็นว่าแขนผมดีขึ้นแล้ว)
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๗
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๖ https://pantip.com/topic/40068622
###
บทที่ ๗
ท้องผมส่งเสียงคร่ำครวญจนผมนอนไม่หลับ
ผมพักอยู่ในบ้านบนต้นไม้ของซา (บ้านหลังที่ผมถูกโยนเข้าไปในตอนแรกนั่นละ) บ้านนี้มีห้องอยู่ สามสี่ห้อง ห้องที่ผมพักอยู่เป็นห้องว่าง ซาบอกว่าทุกบ้านที่นี่จะมีห้องว่างที่จัดเตรียมไว้ต้อนรับผู้มาเยือน นัยว่าชอบผูกมิตรกับคนแปลกหน้ากันทั้งหมู่บ้าน
มุสพักอยู่กับผมด้วย เขาเปลี่ยนร่างเป็นโคชานแล้วนอนหมอบอยู่ด้านหนึ่งของห้อง แต่เพราะผมอยู่ในชุดกันเชื้ออยู่แล้วจึงไม่ต้องกลัวว่าจะแพ้ขนมันอีก
ผมลุกขึ้นมาจากที่นอนเด้งดึ๋ง แล้วก้าวไปทางหน้าต่างไม้ซึ่งเป็นบานพับเปิดออกไปข้างนอก (ที่นั่งที่นอนของที่นี่เป็นเบาะเด้งดึ๋งกันหมด ดูเหมือนซาจะบอกว่าเบาะพวกนี้บุด้วยขนตัวอะไรสักอย่างทำให้นุ่มเด้ง) ผมค่อยๆ ผลักบานหน้าต่างออกไป แสงจันทร์สีนวลส่องเข้ามาในห้อง และคงแยงตาเพื่อนขนฟูของผมนิดหน่อย ผมได้ยินมันขยับจึงหันไปมองและเห็นมันลุกขึ้น หมุนตัวหลบแสงจันทร์แล้วจึงหมอบลงนอนใหม่
พอแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ปลุกเขาขึ้นมาอาละวาด ผมก็หันมองออกไปข้างนอกอีก บรรยากาศข้างนอกมืดสลัว แต่ยังมองเห็นเงาตะคุ่มใต้แสงจันทร์ ได้ยินเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดลอดระหว่างกิ่งไม้ แมลงและสัตว์อื่นต่างส่งเสียงร้องแข่งกัน นอกนั้นทุกอย่างก็ดูสงบเงียบ ไม่มีแสงไฟเล็ดลอดจากบ้านบนต้นไม้เลยสักหลัง
ซาบอกว่าพวกเขาไม่ได้ประหยัด แต่ไม่ต้องการให้แสงไฟไปรบกวนแสงจากธรรมชาติเช่นแสงจันทร์แสงดาว ซึ่งจะกระทบต่อวิถีชีวิตของพืชและแมลงที่อาศัยแสงเหล่านั้นในกิจกรรมต่างๆ เช่นการนำทางเป็นต้น และอาจจะกระทบต่อระบบนิเวศน์โดยรวม
ผมไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ที่มิติของผมไม่มีสัตว์ให้รบกวนอยู่แล้ว แต่ผมก็เคารพความคิดของพวกเขา
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ท้องของผมก็ประท้วงขึ้นอีก ผมจึงก้าวไปคว้ากระเป๋าเป้ซึ่งวางอยู่ข้างที่นอน หย่อนตัวนั่งลงกับพื้นแล้วเปิดเอาขวดอาหารเม็ดออกมา (ตอนที่มุสทำให้ตัวผมเล็กลง มันก็พลอยทำให้เป้และของในเป้ของผมหดเล็กลงด้วย) อาหารเม็ดนั้นกินง่ายมาก แค่เอาใส่ปากแล้วกลืน แต่เพราะมันอัดแน่นด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายในหนึ่งวัน ผมจึงไม่จำเป็นต้องกินบ่อยๆ
ผมหยิบอาหารเม็ดขนาดประมาณครึ่งข้อนิ้วชี้ของผมออกจากขวดมาเม็ดหนึ่ง แล้วหยิบเครื่องผลิตน้ำขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋า น้ำในกระบอกที่มีสายโยงกับเครื่องผลิตเหลืออีกสองสามอึก ผมจึงเขย่าๆ เครื่องผลิตน้ำจนได้ยินเสียงฟู่และมีน้ำหยดเข้ามาในกระบอกใส่ รออีกสักครู่หนึ่งน้ำก็เพิ่มมาอีกสามสี่อึก ผมจึงเอากระบอกน้ำกับอาหารเม็ดใส่เข้ามาในชุดกันเชื้อ หย่อนอาหารเม็ดเข้าปากแล้วดูดน้ำจากกระบอกตามเพื่อให้กลืนได้ง่าย
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเก็บของเข้ากระเป๋าเป้ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างอีก
ตอนนั้นเอง เงาอะไรบางอย่างโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตหมู่บ้าน (บ้านของซาอยู่สูงพอที่จะมองเห็นพื้นที่รอบๆ หมู่บ้านได้) เงานั้นขยับวูบไปหลบอยู่ที่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ท่าทางมันปราดเปรียว และดูคล้าย...
คล้ายเงาคน!
คนตัวโตเสียด้วย ไม่ใช่ร่างเล็กกระปุ๊กลุกอย่างคนในหมู่บ้านนี้
ผมขบริมฝีปากด้วยความรู้สึกหวั่นใจ หันไปมองโคชานที่ยังนอนอยู่ ไม่แน่ใจว่าควรเสี่ยงปลุกหมอนั่นขึ้นมาดีหรือไม่ หากปลุกขึ้นมาดูแล้วพบว่าเงานั่นกลายเป็นสัตว์ธรรมดาในมิตินี้ หมอนั่นคงกินหัวผมแน่ แต่หากเงานั้นเป็นอันตรายเล่า...ผมจะทำอย่างไรดี
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงตัดสินใจได้...เอาวะ ตายเป็นตาย!
ผมเดินกลับไปทางเพื่อนขนฟูของผม ย่อกายลงแล้วยื่นนิ้วจิ้มเข้าไปในขนตรงไหล่มันนิดหนึ่ง มันยังไม่รู้สึก ผมเปลี่ยนเป็นตบไหล่มัน มันก็พลิกตัวนิดหนึ่งแล้วนอนต่อ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงลุกขึ้น ก้าวกลับไปที่หน้าต่าง ชะโงกมองออกไปทางหลังต้นไม้อีก
เงานั้นไม่อยู่แล้ว หรือมันจะเป็นแค่สัตว์ในมิตินี้จริงๆ
นั่นสินะ สัตว์เขี้ยวแหลมตัวโตนั่นก็วิ่งด้วยสองเท้าเหมือนกัน บางทีผมอาจจะตาฝาดไปจริงๆ ก็ได้
นึกถึงสัตว์น่ากลัวนั้นแล้วกายผมก็สยิวขึ้นมาอีก เมื่อตอนกลางวันซาบอกกับผมว่ามันคือ จ้าวโหดหินทมิฬชาติ เป็นสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุดในแถบป่าทึบแล้ว แต่พอมานึกดูอีกที ผมว่าผมเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน...
ผมถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก้มลงมองที่มือตัวเอง เห็นสายรัดข้อมือสีชมพูหวานฉาบด้วยแสงจันทร์
จริงสิ ลักษณะมันคล้ายอัลโลซอรัสที่เกล็ดแก้วเคยให้ผมดู แต่พอคิดอีกที ไดโนเสาร์ที่เกล็ดแก้วชี้ให้ดูก็มีลักษณะคล้ายๆ แบบนี้หลายตัว หัวโต เขี้ยวเรียงเป็นตับ ขาหลังแข็งแรง ในขณะที่ขาหน้าสั้นเล็กเหมือนพิการ
อา...นึกออกแล้ว มันเหมือนไทรันโนซอรัส เร็กซ์!
แต่เดี๋ยวก่อน ทำไมมิตินี้ ถึงมีสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เคยอยู่ในมิติของผมได้เล่า
---
ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ พอตื่นขึ้นมาก็พบแดดส่งเข้ามาในห้องแล้ว
ซามาปลุกผม บอกว่าจะพาไปหาท่านบาบา ผมจึงรีบกุลีกุจอลุกขึ้น แล้ววิ่งลงบันไดตามซาไป จากนั้นจึงเห็นมุสยืนกอดอกรออยู่ข้างล่าง หรี่ตาเงยหน้ามองมาที่ผม เท้าข้างหนึ่งแตะกระทบพื้นด้วยความขัดใจ
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะเปลี่ยนเป็นโคชานแล้วเข้าไปโฉบเจ้าออกมาโยนเล่นกลางอากาศ” เขาบอกในระหว่างที่ผมก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย
ผมถอนหายใจนิดหนึ่ง “ฉันตื่นแล้ว” ผมบอกเสียงเบา ไม่อยากทุ่มเถียงกับเขา
จากนั้นซาก็พาผมกับมุสเดินตัดผ่านลานกลางหมู่บ้านที่จัดงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืน ผ่านต้นไม้อีกสี่ห้าต้น พลางทักทายคนกระปุ๊กลุกที่เดินผ่านไปมา คนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็ทักทายเขา แล้วหันมาทักผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงกว่าเดิม
ซาพามาถึงต้นไม้ใหญ่ลำต้นหนาต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้ใหญ่โตกว่าต้นอื่นที่ผมเดินผ่านมา บนต้นไม้ก็ไม่มีบ้าน แต่มีโพรงอยู่ที่โคนต้น ซึ่งเปิดให้คนเดินผ่านเข้าออกได้สะดวก
“ที่นี่เรียกว่าเรือนรักษา” ซาบอกผม เขายังบอกอีกว่ามันเป็นที่ที่ท่านบาบากับผู้ช่วยจำนวนหนึ่ง ผลัดกันมาอยู่ดูแลรักษาคนที่เจ็บป่วยจนกว่าจะกลับไปดูแลตัวเองที่บ้านได้ ผมคิดว่าคงคล้ายๆ กับโรงพยาบาลในมิติของผมนั่นเอง
พอก้าวเข้าไปในโพรงไม้แล้ว บรรยากาศกลับดูต่างจากภายนอกโดยสิ้นเชิง ข้างในนั้นแบ่งเป็นชั้นจำนวนเท่าใดไม่ทราบ ผมแหงนหน้าดูจนตาลายแล้วก็ยังนับไม่ถ้วน ตรงกลางเป็นโถงโล่งกว้างสำหรับลิฟต์โดยสารเจ็ดแปดตัว (ใช่ ในต้นไม้มีลิฟต์ด้วย) รอบๆ โถงกว้างในแต่ละชั้นแบ่งเป็นห้องและมีระเบียงทางเดินอยู่โดยรอบ ซึ่งเชื่อมต่อมายังลิฟต์ตรงกลาง
หญิงกระปุ๊กลุกคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับพวกเราพร้อมกับรอยยิ้ม ซาก็บอกเธอไปว่าเพื่อนใหม่มีนัดกับท่านบาบา หญิงกระปุ๊กลุกคนนั้นจึงเดินนำพวกเราขึ้นลิฟต์ตัวหนึ่ง ผมไม่แน่ใจว่าขึ้นมากี่ชั้นแต่มันทำให้ผมหูอื้อไปเล็กน้อย ครั้นออกจากลิฟต์แล้วหญิงกระปุ๊กลุกก็เดินนำเราไปตามทางบนระเบียง แล้วจึงหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องหนึ่ง เขายื่นนิ้วป้อมๆ ไปกดปุ่มบนอุปกรณ์สี่เหลี่ยมเล็กๆ ข้างประตูบานนั้น สักครู่ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังจากอุปกรณ์ที่ข้างประตู
“ซามาแล้วรึ เปิดประตูเข้ามาเลย” เสียงนั้นบอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังคลิ๊ก แล้วหญิงกระปุ๊กลุกก็ประตูให้เราก้าวเข้าไป
บรรยากาศในห้องนั้นดูคล้ายกับห้องของโรงพยาบาลในสมัยโบราณที่ผมเคยเห็นในรูป คือมีเตียงคนไข้วางอยู่ริมผนังด้านขวา ข้างๆ มีอ่างล้างมือกับตู้เก็บของทรงสูง ส่วนริมผนังทางซ้ายด้านในนั้นมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับผู้ทำการรักษา
ท่านบาบานั่งคิ้วดกอยู่ที่โต๊ะตัวนั้น พอเห็นพวกเขาเข้ามาในห้องแล้วก็ลุกจากเก้าอี้ พลางชี้มือไปที่เตียงคนไข้ บอกให้ผมนั่งลงบนนั้น จากนั้นจึงหันบอกหญิงกระปุ๊กลุกที่ยืนรออยู่ว่าไม่ต้องรอ ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเธอต้องรออะไร มารู้จากซาภายหลังว่าปกติแล้วเธอจะต้องคอยอำนวยความสะดวกให้คนไข้จนกระทั่งส่งคนไข้ออกจากเรือนรักษานั่นละ
“เพื่อนใหม่ลองยื่นแขนออกมาจากชุดนี้ได้ไหม” ท่านบาบาถาม ผมรู้สึกลังเลนิดหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดตะเข็บ ยื่นแขนออกจากชุดกันเชื้อ “อืม ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่นา” ท่านบาบาพึมพำ พลางยกแขนผมสำรวจไปมา ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอาการแพ้
“มา ให้ข้าลองดู” มุสที่ยืนมองอยู่ข้างๆ เสนอ แล้วก็เปลี่ยนร่างเป็นโคชาน จากนั้นก็บัดขนจนฟุ้งเต็มห้อง
เท่านั้นเอง ผื่นแดงพลันก่อตัวขึ้นตามแขนของผม ไม่นานก็มันก็เริ่มบวม และเปลี่ยนจากคันเป็นปวดเหมือนถูกบีบ
ท่านบาบารีบให้ผมหดแขนเข้าในชุดกันเชื้อ แล้วผมก็รีบออกคำสั่งให้สายรัดข้อมือให้พ่นยาฆ่าเชื้อจากกระบอกเล็กๆ ในชุดกันเชื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชุดกันเชื้อทุกชุดต้องมีไว้เผื่อเหตุฉุกเฉิน
แต่สายรัดข้อมือสีชมพูแหววของยายเกล็ดแก้วกลับเชื่อมต่อกับชุดกันเชื้อไม่ได้...
ผมลืมไปว่ายายนั่นปรับเปลี่ยนอะไรในสายรัดข้อมือตั้งมากมายเพื่อให้มันเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงเท่านั้น ซึ่งก็แปลว่ายายนั่นคงปิดระบบเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นไปด้วย
แขนผมปวดจนผมเริ่มน้ำตาซึม และสีหน้าอาจจะเปลี่ยนไปด้วย เพราะท่านบาบากับคนอื่นดูท่าทางตกใจ
“ทำอย่างไรดีท่านบาบา เพื่อนใหม่หน้าซีดไปหมดแล้ว” ซาร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ในขณะที่โคชานกลับเปลี่ยนร่างเป็นเอธร่า
“ข้าจะพาเขากลับมิติ” หมอนั่นว่าพร้อมกับจับแขนข้างที่ไม่บวมของผมไว้
“เรามีทางแก้” ท่านบาบาบอกในระหว่างที่ก้าวยาวๆ (เท่าที่ขาป้อมๆ สั้นๆ จะก้าวได้) ไปทางตู้เก็บของ เปิดตู้แล้วรื้อเอาของบางอย่างออกมา มันเป็นแผ่นผ้าสี่เหลี่ยมจตุรัสสีแดงสามแผ่น ขนาดกว้างยาวประมาณสองเซนติเมตร
“เอานี่ไป แปะไว้ที่แขน” ท่านบาบาบอกอย่างรวดเร็ว ผมก็ยื่นมือข้างที่ไม่บวมและยังอยู่ในชุดกันเชื้อออกไป จากนั้นก็หย่อนมันเข้ามาทางตะเข็บ แล้วหดแขนข้างเดิมกลับเข้ามาในชุดกันเชื้อเพื่อหยิบแผ่นผ้าสีแดงทั้งสามแผ่นนั้น แปะกระจายไว้บนแขนข้างที่บวม
ครู่ต่อมา อาการปวดก็ค่อยๆ ลดลง แขนก็บวมน้อยลงไปหน่อย แต่ยังแดงและรู้สึกร้อนๆ อยู่
“แปะไว้ก่อน ยากำลังซึมเข้าผิวหนัง” ท่านบาบาบอก แล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “คนที่หมู่บ้านนี้ส่วนมากจะแพ้แค่แมลงกัดต่อย เราไม่เคยเห็นใครแพ้ขนสัตว์แบบนี้มาก่อนเลย”
“อันที่จริงไม่ใช่แค่ขนสัตว์นะครับ” ผมเอ่ยออกไป “ตอนที่ไปมิติของมุส ผมแพ้อากาศ แพ้น้ำ แพ้อาหาร แพ้ทุกอย่างในมิตินั้นเลย”
“แต่ตอนที่เพื่อนใหม่ยื่นแขนออกมาตอนแรก ไม่เห็นแพ้นี่นา” ซาตั้งข้อสังเกต
ท่านบาบาผงกศีรษะ “บางทีในเรือนรักษาอาจจะมีการดูแลทำความสะอาดมากเกินไป เอาอย่างนี้ เราขอเจาะเลือดเพื่อนใหม่ออกมาวิเคราะห์ดูก่อน เพื่อนใหม่จะว่าอย่างไร”
“เจาะเลือด!” มุสโพล่งออกมา (เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุสตั้งแต่เมื่อครู่ ตอนที่เห็นว่าแขนผมดีขึ้นแล้ว)