มุสพาไอดินข้ามไปยังมิติใหม่อีกแล้ว ไอดินจะเจอกับอะไรบ้าง ตามไปอ่านกันเลยค่ะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๕
https://pantip.com/topic/40050178
###
บทที่ ๖
ต้นไม้สูงชะลูด แต่มีใบปรกอยู่แค่ยอดจนต้องแหงนคอมอง
สภาพรอบๆ มืดทึมเพราะต้นไม้ใบหนาเหล่านั้น ถึงกิ่งใบของมันจะอยู่สูง แต่ก็หนาทึบจนบดบังแสงอาทิตย์ไปเสียเกือบหมด
อากาศอบอ้าวจนผมอยากถอดชุดกันเชื้อออก แต่ก็กลัวว่าจะแพ้ทุกอย่างในมิตินี้แล้วเกิดเป็นผื่นบวมหายใจไม่ออก โดยเฉพาะละอองสีเหลืองที่ปลิวละล่องไปตามลม จับชุดกันเชื้อของผมจนเหมือนถูกย้อมเป็นสีเหลือง
รอบตัวมีสัตว์ประเภทแมลงที่ผมไม่รู้จักบินว่อนวนเวียนเต็มไปหมด พื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยพืชใบแผ่ลักษณะเป็นแฉกๆ ซี่ๆ สูงถึงหน้าอก ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่หญ้า (ผมมารู้ภายหลังว่ามันเรียกว่า เฟิร์น)
“ทีนี้ก็ต้องระวังตัวกันหน่อยละ” เอธร่าบอกหลังจากที่เราหลุดออกจากอุโมงค์แห่งแสงมายืนอยู่ในป่าทึบแปลกๆ นี้ได้เพียงครู่หนึ่ง
ผมสะบัดหันไปทางเขา เบิกตามองอย่างแตกตื่น ...หมายความว่ายังไงที่ต้องระวังตัวน่ะ
หมอนั่นไม่ตอบ เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส แล้วแหวกพืชที่ปรกพื้น ออกเดินไปอย่างระมัดระวัง ตัวผมเองเห็นแบบนั้นก็อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ เร่งเดินตามเขาไปติดๆ เช่นกัน
ผมเดินตามมุสไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบด้าน บรรยากาศในป่าช่างแตกต่างจากป่าในมิติของมุส ป่าที่มิติของมุสให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา รู้สึกสดชื่น (ถึงผมจะไม่ได้สัมผัสความสดชื่นนั้นโดยตรงเพราะต้องอยู่ในชุดกันเชื้อก็เถอะ) แต่ป่าแห่งนี้กลับให้ความรู้สึก...น่าเกรงขาม และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมใจหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เสียงใบไม้แสกสากดังขึ้นที่ด้านข้าง ผมสะดุ้งพร้อมกับสะบัดหันไปดู เห็นใบพืชซึ่งอยู่ห่างไปราวยี่สิบเมตรไหวแปลกๆ ผมรีบยื่นมือออกไปเพื่อดึงแขนเสื้อมุสให้หยุด แต่กลับพบว่าหมอนั่นหยุดแล้วและกำลังยืนมอง ณ จุดนั้นเช่นกัน
“ตะ...ตัวอะไรน่ะ” ผมกระซิบถามออกไป
“ไม่แน่ใจ” เพื่อนผมบอก “แต่ป่านี้เป็นถิ่นหากินของพวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยว เราต้องระวังกันหน่อย”
ผมอึ้งไป ‘หัวขโมยโฉบเฉี่ยว’ อีกแล้ว มันคืออะไรกันแน่
หมอนั่นนิ่งไปเป็นครู่ จากนั้นจึงยักไหล่ “แต่พวกมันตัวกะเปี๊ยก ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ว่าแล้วเขาก็ออกเดินต่อไป
มุสเดินนำผมมาจนถึงชายป่า เบื้องหน้าเป็นพื้นที่โล่ง มีลักษณะเป็นเนินสูงต่ำ ต้นไม้ใหญ่ก็หายไป เฟิร์นที่ขึ้นคลุมพื้นที่ก็ต่างจากในป่าทึบ คือใบของมันหงิกงอกว่า และดูเหมือนจะต้นเล็กกว่าด้วย
“อา พวกหน้าเขาอยู่แถวนี้ น่าจะปลอดภัยแล้วละนะ” มุสเอ่ยพลางชูแขนสูง สูดอากาศเสียเต็มปอด (ซึ่งทำให้ผมอิจฉา แต่ก็ต้องทำใจอยู่ในชุดกันเชื้อต่อไป) จากนั้นก็มองออกไปในทุ่งเวิ้งว้างเบื้องหน้า
ผมทอดมองตามเขา มองออกไปยังขอบฟ้าที่มีปุยเมฆลอยเป็นหย่อม ทว่าที่นั่นกลับไม่ใช่ทุ่งเวิ้งว้างอย่างที่คิด มีสัตว์บางอย่างกำลังเลาะเล็มพืชคลุมดินอยู่เป็นฝูงในที่นั้นด้วย
“ไปกันเถอะ” หมอนั่นว่า แล้ววิ่งพลางกระโดดลงจากเนินไปพร้อมกับส่งเสียงตะโกนราวกับคนบ้า ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็ก้าวตามไปบ้าง ทว่าชุดกันเชื้อกับเป้บนหลังทำให้ผมวิ่งช้า และผมเองก็ไม่อยากให้ชุดไปเกี่ยวถูกอะไรขาดเสียก่อนจะออกจากมิตินี้ด้วย
ตอนนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีเงาอะไรบางอย่างคืบคลานมาทาบทับเงาของผม อะไรบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าผมมากจนเงาของผมหายไป...
พอผมหันกลับไปมองก็เห็นฟันแหลมคมเรียงรายยื่นออกมานอกปากที่เปิดออกเล็กน้อย ได้กลิ่นคาวคลุ้งออกมาจากปากนั้น ทะลุเข้ามาในชุดกันเชื้อของผม ตอนนั้นผมไม่ทราบว่าตัวเองคิดอะไร รู้แต่ร่างกายแข็งทื่อขยับไม่ได้ จะร้องก็ร้องไม่ออก
อึดใจต่อมา ปากอันกว้างใหญ่ก็อ้าขึ้น!
“ว้าก!” ในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอ แต่ที่ร้องไม่ใช่เพราะแขนหรือขาถูกกินไป ทว่าเป็นเพราะอะไรบางอย่างพุ่งชนตัวผมอย่างแรงจนผมล้มลง รอดพ้นจากคมเขี้ยวอันแหลมคมไปได้
ได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ ดังอยู่รอบตัว สักครู่ร่างของผมก็ถูกผลักให้กลิ้งลงเนินไปในขณะที่สัตว์ร้ายฟันแหลมคมยังคงพยายามวิ่งตาม
ตัวผมกลิ้งอยู่นานเท่าไรไม่ทราบได้ ระหว่างนั้นผมหลับตาปี๋ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดันหลังผมให้หยุดกลิ้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ ดังขึ้นทางด้านหลังอีก
ผมลืมตาขึ้นมองและเห็นสัตว์ร้ายร่างกายใหญ่โตวิ่งด้วยขาหลังสองข้างตรงมาทางผม
“อ๊าก!” ผมร้องอย่างลืมตัว พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเอง หางตาผมก็เหลือบไปเห็นแสงสีฟ้าพุ่งมาจากด้านหลัง พุ่งใส่หน้าสัตว์ร้ายตัวนั้น และทำให้มันหันหลังหนีเข้าป่าทึบไป
“เป็นอะไรรึเปล่า” มุสถามในขณะที่วิ่งกลับมาหาผม
“มะ...ไม่เป็นไร” ผมตอบพลางหอบหายใจ ยังรู้สึกตระหนกไม่หาย ภาพสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ หัวโต ปากกว้างเต็มไปด้วยฟันเขี้ยวกำลังวิ่งไล่ล่าผมยังค้างอยู่ในสมอง มันดูคล้ายกับตัวอะไรสักอย่างที่ผมเคยเห็นมาก่อน ...จริงสิ อัลโลซอรัส มันคล้ายอัลโลซอรัส แต่เหนือดวงตาของมันไม่มีหงอน ทั้งมือทั้งสองข้างยังสั้นยิ่งกว่า สั้นจนน่าจะใช้การอะไรไม่ได้
“แล้วนายมัว...” ผมหันไปทางมุส กะจะถามว่าเขามัวไปทำอะไรอยู่ แต่คำถามของผมกลับชะงักไปกลางประโยค เพราะผมเห็นเขากำลังอุ้มสิ่งมีชีวิตแปลกๆ อยู่ในมือ
มันมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่ตัวเล็กกว่ามาก ใบหน้ากลมป้าน ตากลมโต หูกาง รูปร่างค่อนไปทางกลมดูกระปุ๊กลุก พอมันเห็นผมจ้องมองอยู่มันก็ยิ้มพลางส่งเสียงบู้ๆ บี้ๆ ที่ผมฟังไม่เข้าใจ
“เขาทักทายนายน่ะ” เพื่อนผมบอก พลางวางคนกระปุ๊กลุกลง ตอนนั้นเองผมจึงสังเกตว่ารอบตัวผมยังมีคนกระปุ๊กลุกอีกหลายคนรายล้อมอยู่ แต่ละคนยิ้มแป้นท่าทางดีใจ ต่างคนต่างส่งเสียงทักทายด้วยภาษาประหลาดนั้น
“พวกเขาดีใจที่มีคนข้ามมิติมา จะได้มีเพื่อนเพิ่มอีก” มุสอธิบาย “แน่ละ ปกติก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่นา”
ผมก้มมองคนกระปุ๊กลุกเหล่านั้น พวกเขาล้วนอยู่ในชุดสีเขียวใบไม้บ้าง สีน้ำตาลเปลือกไม้บ้าง เอาเป็นว่าสีสันไม่ฉูดฉาด รูปแบบก็เรียบง่าย ดูสวมใส่สบายแต่ก็รัดกุม ที่สำคัญ ทุกคนดูกระตือรือร้นและคึกคักกันมาก
ผมยิ้มตอบพวกเขา ทันทีที่เห็นริมฝีปากผมฉีกออกพวกเขาก็กระโดดโลดเต้นเฮฮา ผมไม่ทราบว่าควรจะทักทายพวกเขาอย่างไรจึงกล่าวเพียงสวัสดี เพื่อนผมก็แปลให้พวกเขาฟัง คนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็กระโดดขึ้นอีก กระโดดขึ้นมาปีนป่ายตัวผมเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นพวกคนกระปุ๊กลุกก็พาผมกับมุสไปยังที่อยู่ของพวกเขา ซึ่งอยู่ในป่าโปร่งอีกด้านหนึ่งของทุ่งกว้าง
บรรยากาศในป่าโปร่งนี้ให้ความรู้สึกผิดไปจากป่าทึบอีกด้านโดยสิ้นเชิง ที่ป่านี้มีบรรยากาศสดในรื่นเริงและน่าอยู่กว่ามาก
ที่อยู่ของพวกคนกระปุ๊กลุกก็ประหลาดมาก บ้านของพวกเขาสร้างจากไม้ ปลูกอยู่บนกิ่งใหญ่ๆ ของต้นไม้ ต้นที่มีมีขนาดเล็กอาจจะมีบ้านเพียงสองสามหลัง ต้นใหญ่มากๆ อาจจะมีบ้านอยู่นับสิบหลังเลยก็ได้
ที่โคนต้นไม้จะมีบันไดพันเป็นเกลียวเชื่อมต่อบ้านแต่ละหลัง ระหว่างต้นไม้แต่ละต้นก็มีสะพานเชื่อมถึงกัน กลายเป็นหมู่บ้านบนต้นไม้ที่ดูแปลกตาทีเดียว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือ พวกเขามีไฟฟ้า...
แต่ที่ผมประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างแสงสว่าง...
พวกเขามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นกระเช้าขนของ เครื่องหุงต้มอาหาร หรือแม้แต่เครื่องมือสื่อสาร ทว่าไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างแสงสว่างเลยสักนิด
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาใช้แสงสว่างแต่พอจำเป็นต่างหาก ผมสังเกตว่าพวกเขาแต่ละคนพกอุปกรณ์เล็กๆ ที่น่าจะเทียบได้กับไฟฉายในมิติของผม แต่ดูเหมือนจะมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น
นอกจากนี้ในบ้านของพวกเขาก็ใช้โคมไฟเช่นกัน แต่ในยามที่ผมไปถึงหมู่บ้านนั้นเป็นเวลากลางวัน พวกเขาไม่เปิดโคมไฟสักดวงเดียว
อันที่จริงผมเข้าไปในบ้านของพวกเขาไม่ได้ ผมตัวโตเกินไป ที่พอจะทำได้ก็แค่เปิดหน้าต่างส่องดูในบ้านที่อยู่ในระดับศีรษะเท่านั้น
แต่ก็นั่นละ มุสมันมีวิธี
“ยืนเฉยๆ” หมอนั่นสั่งผม
“นายจะทะ...” ผมยังไม่ทันถามว่าเขาจะทำอะไร หมอนั่นก็ดีดแสงสีฟ้าใส่ผม ทันใดนั้นตัวผมก็หดเล็กลงจนเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร พอตัวผมเล็กลงแล้วคนกระปุ๊กลุกก็เฮกันลั่น กรูเข้ามายกตัวผมขึ้น พากันวิ่งตื้อขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
พวกเขาทิ้งผมลงบนเบาะนุ่มเด้งใบหนึ่ง ตัวผมสะท้อนขึ้นลงไปตามแรงเด้งของเบาะนั้น จากนั้นคนกระปุ๊กลุกคนหนึ่งก็เดินมาด้านหน้า เขาตัวป้อมหน้าป้าน ผมดำ มีหนวดเคราหรอมแหรม พอมายืนตรงหน้าผมแล้วก็ฉีกยิ้ม พร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างให้ผม มันมีลักษณะคล้ายกระดุมเล็กๆ ผมยื่นมือรับมันมา (หลังจากที่ตัวหยุดเด้งแล้ว) ก้มลงมองกระดุมนั้นพลางพลิกมันไปมาในมือ แล้วเงยหน้ามองคนกระปุ๊กลุกหน้าป้านนั้นอีก เขายกนิ้วป้อมๆ ของตัวเองชี้ไปที่หู ผมจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นอุปกรณ์สำหรับฟังเสียง จึงหย่อนมันเข้ามาทางตะเข็บชุดกันเชื้อ แล้วหดมือเข้ามา หยิบมันเสียบมันในรูหูข้างขวา
“ได้ยินเราหรือไม่” ผมเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ มองหน้าคนกระปุ๊กลุกอีกครั้ง “ลองพูดอะไรสักอย่างสิ” ปากของคนกระปุ๊กลุกนั้นขยับ แต่เสียงเล็กๆ ที่ผมได้ยินกลับดังอยู่ในหูขวาแค่ข้างเดียว หูซ้ายยังได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ อยู่นั่นเอง
“ดะ...ดะ...ได้ยิน” ผมเอ่ยออกไปอย่างลังเล คนกระปุ๊กลุกก็เฮกันยกใหญ่ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปหมด
“เพื่อนใหม่ๆ” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูขวา
“เขาเข้าใจเราแล้ว” อีกเสียงดังขึ้น
“ต้องเลี้ยงฉลอง”
“ใช่ๆ เรียกคนทั้งหมู่บ้านมาเลย”
และอื่นๆ อีกมากมาย...
ระหว่างนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างทางด้านหลังของคนกระปุ๊กลุก พอชะเง้อมองเลยศีรษะพวกเขาไปก็เห็นประตูบ้านเปิดออก แล้วแง้มปิดลง ผมเอี้ยวตัวยื่นคอพยายามมองผ่านกลุ่มคนตัวเล็กไปเพื่อดูว่าผู้มาเป็นใคร แต่ยังไม่ทันเห็นตัว เสียงก็มาเสียก่อน
“ว่ายังไงไอดิน” มันคือเพื่อนตัวยุ่งของผมนั่นเอง “พวกเขาต้อนรับนายดีรึเปล่า” ขณะที่ผมยังไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร หมอนั้นก็โผล่มายืนอยู่ข้างตัว “ตอบดีๆ นะ นายใส่เครื่องแปลภาษาแล้ว พวกเขาฟังนายรู้เรื่องทุกคำ”
“เอ่อ...” ผมส่งเสียงออกไปได้แค่คำเดียว สายตาของคนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็จ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียว “ดี...ดีมากเลย” ผมบอกแล้วหัวเราะแหะๆ กับตัวเอง แต่คนกระปุ๊กลุกกลับส่งเสียงเฮลั่น
ดีใจขนาดนั้นเชียวเรอะ
พอหยุดเฮกันแล้ว คนกระปุ๊กลุกหนวดเคราหรอมแหรมก็สะกิดผม “เราชื่อ ซา” เขาบอก แล้วชี้ไปที่ผู้หญิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “ส่วนคนนี้ชื่อ ฟี” จากนั้นก็ชี้ไปที่ผู้หญิงคนถัดไป “คนนั้นชื่อ ลี” แล้วก็ผู้ชายคนถัดไป “อีกคนชื่อ วา คนโน้นชื่อ...”
เอ่อ...จำไม่ได้โว้ย!
---
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๖
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๕ https://pantip.com/topic/40050178
###
บทที่ ๖
ต้นไม้สูงชะลูด แต่มีใบปรกอยู่แค่ยอดจนต้องแหงนคอมอง
สภาพรอบๆ มืดทึมเพราะต้นไม้ใบหนาเหล่านั้น ถึงกิ่งใบของมันจะอยู่สูง แต่ก็หนาทึบจนบดบังแสงอาทิตย์ไปเสียเกือบหมด
อากาศอบอ้าวจนผมอยากถอดชุดกันเชื้อออก แต่ก็กลัวว่าจะแพ้ทุกอย่างในมิตินี้แล้วเกิดเป็นผื่นบวมหายใจไม่ออก โดยเฉพาะละอองสีเหลืองที่ปลิวละล่องไปตามลม จับชุดกันเชื้อของผมจนเหมือนถูกย้อมเป็นสีเหลือง
รอบตัวมีสัตว์ประเภทแมลงที่ผมไม่รู้จักบินว่อนวนเวียนเต็มไปหมด พื้นดินก็ปกคลุมไปด้วยพืชใบแผ่ลักษณะเป็นแฉกๆ ซี่ๆ สูงถึงหน้าอก ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าจะใช่หญ้า (ผมมารู้ภายหลังว่ามันเรียกว่า เฟิร์น)
“ทีนี้ก็ต้องระวังตัวกันหน่อยละ” เอธร่าบอกหลังจากที่เราหลุดออกจากอุโมงค์แห่งแสงมายืนอยู่ในป่าทึบแปลกๆ นี้ได้เพียงครู่หนึ่ง
ผมสะบัดหันไปทางเขา เบิกตามองอย่างแตกตื่น ...หมายความว่ายังไงที่ต้องระวังตัวน่ะ
หมอนั่นไม่ตอบ เขาเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุส แล้วแหวกพืชที่ปรกพื้น ออกเดินไปอย่างระมัดระวัง ตัวผมเองเห็นแบบนั้นก็อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้ เร่งเดินตามเขาไปติดๆ เช่นกัน
ผมเดินตามมุสไป แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบด้าน บรรยากาศในป่าช่างแตกต่างจากป่าในมิติของมุส ป่าที่มิติของมุสให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา รู้สึกสดชื่น (ถึงผมจะไม่ได้สัมผัสความสดชื่นนั้นโดยตรงเพราะต้องอยู่ในชุดกันเชื้อก็เถอะ) แต่ป่าแห่งนี้กลับให้ความรู้สึก...น่าเกรงขาม และในขณะเดียวกันก็ทำให้ผมใจหวิวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เสียงใบไม้แสกสากดังขึ้นที่ด้านข้าง ผมสะดุ้งพร้อมกับสะบัดหันไปดู เห็นใบพืชซึ่งอยู่ห่างไปราวยี่สิบเมตรไหวแปลกๆ ผมรีบยื่นมือออกไปเพื่อดึงแขนเสื้อมุสให้หยุด แต่กลับพบว่าหมอนั่นหยุดแล้วและกำลังยืนมอง ณ จุดนั้นเช่นกัน
“ตะ...ตัวอะไรน่ะ” ผมกระซิบถามออกไป
“ไม่แน่ใจ” เพื่อนผมบอก “แต่ป่านี้เป็นถิ่นหากินของพวกหัวขโมยโฉบเฉี่ยว เราต้องระวังกันหน่อย”
ผมอึ้งไป ‘หัวขโมยโฉบเฉี่ยว’ อีกแล้ว มันคืออะไรกันแน่
หมอนั่นนิ่งไปเป็นครู่ จากนั้นจึงยักไหล่ “แต่พวกมันตัวกะเปี๊ยก ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ว่าแล้วเขาก็ออกเดินต่อไป
มุสเดินนำผมมาจนถึงชายป่า เบื้องหน้าเป็นพื้นที่โล่ง มีลักษณะเป็นเนินสูงต่ำ ต้นไม้ใหญ่ก็หายไป เฟิร์นที่ขึ้นคลุมพื้นที่ก็ต่างจากในป่าทึบ คือใบของมันหงิกงอกว่า และดูเหมือนจะต้นเล็กกว่าด้วย
“อา พวกหน้าเขาอยู่แถวนี้ น่าจะปลอดภัยแล้วละนะ” มุสเอ่ยพลางชูแขนสูง สูดอากาศเสียเต็มปอด (ซึ่งทำให้ผมอิจฉา แต่ก็ต้องทำใจอยู่ในชุดกันเชื้อต่อไป) จากนั้นก็มองออกไปในทุ่งเวิ้งว้างเบื้องหน้า
ผมทอดมองตามเขา มองออกไปยังขอบฟ้าที่มีปุยเมฆลอยเป็นหย่อม ทว่าที่นั่นกลับไม่ใช่ทุ่งเวิ้งว้างอย่างที่คิด มีสัตว์บางอย่างกำลังเลาะเล็มพืชคลุมดินอยู่เป็นฝูงในที่นั้นด้วย
“ไปกันเถอะ” หมอนั่นว่า แล้ววิ่งพลางกระโดดลงจากเนินไปพร้อมกับส่งเสียงตะโกนราวกับคนบ้า ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็ก้าวตามไปบ้าง ทว่าชุดกันเชื้อกับเป้บนหลังทำให้ผมวิ่งช้า และผมเองก็ไม่อยากให้ชุดไปเกี่ยวถูกอะไรขาดเสียก่อนจะออกจากมิตินี้ด้วย
ตอนนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีเงาอะไรบางอย่างคืบคลานมาทาบทับเงาของผม อะไรบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าผมมากจนเงาของผมหายไป...
พอผมหันกลับไปมองก็เห็นฟันแหลมคมเรียงรายยื่นออกมานอกปากที่เปิดออกเล็กน้อย ได้กลิ่นคาวคลุ้งออกมาจากปากนั้น ทะลุเข้ามาในชุดกันเชื้อของผม ตอนนั้นผมไม่ทราบว่าตัวเองคิดอะไร รู้แต่ร่างกายแข็งทื่อขยับไม่ได้ จะร้องก็ร้องไม่ออก
อึดใจต่อมา ปากอันกว้างใหญ่ก็อ้าขึ้น!
“ว้าก!” ในที่สุดผมก็หาเสียงตัวเองเจอ แต่ที่ร้องไม่ใช่เพราะแขนหรือขาถูกกินไป ทว่าเป็นเพราะอะไรบางอย่างพุ่งชนตัวผมอย่างแรงจนผมล้มลง รอดพ้นจากคมเขี้ยวอันแหลมคมไปได้
ได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ ดังอยู่รอบตัว สักครู่ร่างของผมก็ถูกผลักให้กลิ้งลงเนินไปในขณะที่สัตว์ร้ายฟันแหลมคมยังคงพยายามวิ่งตาม
ตัวผมกลิ้งอยู่นานเท่าไรไม่ทราบได้ ระหว่างนั้นผมหลับตาปี๋ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พอรู้ตัวอีกทีก็เหมือนมีอะไรบางอย่างดันหลังผมให้หยุดกลิ้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ ดังขึ้นทางด้านหลังอีก
ผมลืมตาขึ้นมองและเห็นสัตว์ร้ายร่างกายใหญ่โตวิ่งด้วยขาหลังสองข้างตรงมาทางผม
“อ๊าก!” ผมร้องอย่างลืมตัว พยายามตะเกียกตะกายจะลุกขึ้น ทันใดนั้นเอง หางตาผมก็เหลือบไปเห็นแสงสีฟ้าพุ่งมาจากด้านหลัง พุ่งใส่หน้าสัตว์ร้ายตัวนั้น และทำให้มันหันหลังหนีเข้าป่าทึบไป
“เป็นอะไรรึเปล่า” มุสถามในขณะที่วิ่งกลับมาหาผม
“มะ...ไม่เป็นไร” ผมตอบพลางหอบหายใจ ยังรู้สึกตระหนกไม่หาย ภาพสัตว์ประหลาดร่างใหญ่ หัวโต ปากกว้างเต็มไปด้วยฟันเขี้ยวกำลังวิ่งไล่ล่าผมยังค้างอยู่ในสมอง มันดูคล้ายกับตัวอะไรสักอย่างที่ผมเคยเห็นมาก่อน ...จริงสิ อัลโลซอรัส มันคล้ายอัลโลซอรัส แต่เหนือดวงตาของมันไม่มีหงอน ทั้งมือทั้งสองข้างยังสั้นยิ่งกว่า สั้นจนน่าจะใช้การอะไรไม่ได้
“แล้วนายมัว...” ผมหันไปทางมุส กะจะถามว่าเขามัวไปทำอะไรอยู่ แต่คำถามของผมกลับชะงักไปกลางประโยค เพราะผมเห็นเขากำลังอุ้มสิ่งมีชีวิตแปลกๆ อยู่ในมือ
มันมีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่ตัวเล็กกว่ามาก ใบหน้ากลมป้าน ตากลมโต หูกาง รูปร่างค่อนไปทางกลมดูกระปุ๊กลุก พอมันเห็นผมจ้องมองอยู่มันก็ยิ้มพลางส่งเสียงบู้ๆ บี้ๆ ที่ผมฟังไม่เข้าใจ
“เขาทักทายนายน่ะ” เพื่อนผมบอก พลางวางคนกระปุ๊กลุกลง ตอนนั้นเองผมจึงสังเกตว่ารอบตัวผมยังมีคนกระปุ๊กลุกอีกหลายคนรายล้อมอยู่ แต่ละคนยิ้มแป้นท่าทางดีใจ ต่างคนต่างส่งเสียงทักทายด้วยภาษาประหลาดนั้น
“พวกเขาดีใจที่มีคนข้ามมิติมา จะได้มีเพื่อนเพิ่มอีก” มุสอธิบาย “แน่ละ ปกติก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่นา”
ผมก้มมองคนกระปุ๊กลุกเหล่านั้น พวกเขาล้วนอยู่ในชุดสีเขียวใบไม้บ้าง สีน้ำตาลเปลือกไม้บ้าง เอาเป็นว่าสีสันไม่ฉูดฉาด รูปแบบก็เรียบง่าย ดูสวมใส่สบายแต่ก็รัดกุม ที่สำคัญ ทุกคนดูกระตือรือร้นและคึกคักกันมาก
ผมยิ้มตอบพวกเขา ทันทีที่เห็นริมฝีปากผมฉีกออกพวกเขาก็กระโดดโลดเต้นเฮฮา ผมไม่ทราบว่าควรจะทักทายพวกเขาอย่างไรจึงกล่าวเพียงสวัสดี เพื่อนผมก็แปลให้พวกเขาฟัง คนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็กระโดดขึ้นอีก กระโดดขึ้นมาปีนป่ายตัวผมเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นพวกคนกระปุ๊กลุกก็พาผมกับมุสไปยังที่อยู่ของพวกเขา ซึ่งอยู่ในป่าโปร่งอีกด้านหนึ่งของทุ่งกว้าง
บรรยากาศในป่าโปร่งนี้ให้ความรู้สึกผิดไปจากป่าทึบอีกด้านโดยสิ้นเชิง ที่ป่านี้มีบรรยากาศสดในรื่นเริงและน่าอยู่กว่ามาก
ที่อยู่ของพวกคนกระปุ๊กลุกก็ประหลาดมาก บ้านของพวกเขาสร้างจากไม้ ปลูกอยู่บนกิ่งใหญ่ๆ ของต้นไม้ ต้นที่มีมีขนาดเล็กอาจจะมีบ้านเพียงสองสามหลัง ต้นใหญ่มากๆ อาจจะมีบ้านอยู่นับสิบหลังเลยก็ได้
ที่โคนต้นไม้จะมีบันไดพันเป็นเกลียวเชื่อมต่อบ้านแต่ละหลัง ระหว่างต้นไม้แต่ละต้นก็มีสะพานเชื่อมถึงกัน กลายเป็นหมู่บ้านบนต้นไม้ที่ดูแปลกตาทีเดียว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือ พวกเขามีไฟฟ้า...
แต่ที่ผมประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างแสงสว่าง...
พวกเขามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เช่นกระเช้าขนของ เครื่องหุงต้มอาหาร หรือแม้แต่เครื่องมือสื่อสาร ทว่าไม่ได้ใช้ไฟฟ้าเพื่อสร้างแสงสว่างเลยสักนิด
ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาใช้แสงสว่างแต่พอจำเป็นต่างหาก ผมสังเกตว่าพวกเขาแต่ละคนพกอุปกรณ์เล็กๆ ที่น่าจะเทียบได้กับไฟฉายในมิติของผม แต่ดูเหมือนจะมีไว้ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น
นอกจากนี้ในบ้านของพวกเขาก็ใช้โคมไฟเช่นกัน แต่ในยามที่ผมไปถึงหมู่บ้านนั้นเป็นเวลากลางวัน พวกเขาไม่เปิดโคมไฟสักดวงเดียว
อันที่จริงผมเข้าไปในบ้านของพวกเขาไม่ได้ ผมตัวโตเกินไป ที่พอจะทำได้ก็แค่เปิดหน้าต่างส่องดูในบ้านที่อยู่ในระดับศีรษะเท่านั้น
แต่ก็นั่นละ มุสมันมีวิธี
“ยืนเฉยๆ” หมอนั่นสั่งผม
“นายจะทะ...” ผมยังไม่ทันถามว่าเขาจะทำอะไร หมอนั่นก็ดีดแสงสีฟ้าใส่ผม ทันใดนั้นตัวผมก็หดเล็กลงจนเหลือไม่ถึงครึ่งเมตร พอตัวผมเล็กลงแล้วคนกระปุ๊กลุกก็เฮกันลั่น กรูเข้ามายกตัวผมขึ้น พากันวิ่งตื้อขึ้นบันไดเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
พวกเขาทิ้งผมลงบนเบาะนุ่มเด้งใบหนึ่ง ตัวผมสะท้อนขึ้นลงไปตามแรงเด้งของเบาะนั้น จากนั้นคนกระปุ๊กลุกคนหนึ่งก็เดินมาด้านหน้า เขาตัวป้อมหน้าป้าน ผมดำ มีหนวดเคราหรอมแหรม พอมายืนตรงหน้าผมแล้วก็ฉีกยิ้ม พร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างให้ผม มันมีลักษณะคล้ายกระดุมเล็กๆ ผมยื่นมือรับมันมา (หลังจากที่ตัวหยุดเด้งแล้ว) ก้มลงมองกระดุมนั้นพลางพลิกมันไปมาในมือ แล้วเงยหน้ามองคนกระปุ๊กลุกหน้าป้านนั้นอีก เขายกนิ้วป้อมๆ ของตัวเองชี้ไปที่หู ผมจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นอุปกรณ์สำหรับฟังเสียง จึงหย่อนมันเข้ามาทางตะเข็บชุดกันเชื้อ แล้วหดมือเข้ามา หยิบมันเสียบมันในรูหูข้างขวา
“ได้ยินเราหรือไม่” ผมเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ มองหน้าคนกระปุ๊กลุกอีกครั้ง “ลองพูดอะไรสักอย่างสิ” ปากของคนกระปุ๊กลุกนั้นขยับ แต่เสียงเล็กๆ ที่ผมได้ยินกลับดังอยู่ในหูขวาแค่ข้างเดียว หูซ้ายยังได้ยินเสียงบู้ๆ บี้ๆ อยู่นั่นเอง
“ดะ...ดะ...ได้ยิน” ผมเอ่ยออกไปอย่างลังเล คนกระปุ๊กลุกก็เฮกันยกใหญ่ จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไปหมด
“เพื่อนใหม่ๆ” เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูขวา
“เขาเข้าใจเราแล้ว” อีกเสียงดังขึ้น
“ต้องเลี้ยงฉลอง”
“ใช่ๆ เรียกคนทั้งหมู่บ้านมาเลย”
และอื่นๆ อีกมากมาย...
ระหว่างนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างทางด้านหลังของคนกระปุ๊กลุก พอชะเง้อมองเลยศีรษะพวกเขาไปก็เห็นประตูบ้านเปิดออก แล้วแง้มปิดลง ผมเอี้ยวตัวยื่นคอพยายามมองผ่านกลุ่มคนตัวเล็กไปเพื่อดูว่าผู้มาเป็นใคร แต่ยังไม่ทันเห็นตัว เสียงก็มาเสียก่อน
“ว่ายังไงไอดิน” มันคือเพื่อนตัวยุ่งของผมนั่นเอง “พวกเขาต้อนรับนายดีรึเปล่า” ขณะที่ผมยังไม่แน่ใจว่าจะตอบอย่างไร หมอนั้นก็โผล่มายืนอยู่ข้างตัว “ตอบดีๆ นะ นายใส่เครื่องแปลภาษาแล้ว พวกเขาฟังนายรู้เรื่องทุกคำ”
“เอ่อ...” ผมส่งเสียงออกไปได้แค่คำเดียว สายตาของคนกระปุ๊กลุกเหล่านั้นก็จ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียว “ดี...ดีมากเลย” ผมบอกแล้วหัวเราะแหะๆ กับตัวเอง แต่คนกระปุ๊กลุกกลับส่งเสียงเฮลั่น
ดีใจขนาดนั้นเชียวเรอะ
พอหยุดเฮกันแล้ว คนกระปุ๊กลุกหนวดเคราหรอมแหรมก็สะกิดผม “เราชื่อ ซา” เขาบอก แล้วชี้ไปที่ผู้หญิงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ “ส่วนคนนี้ชื่อ ฟี” จากนั้นก็ชี้ไปที่ผู้หญิงคนถัดไป “คนนั้นชื่อ ลี” แล้วก็ผู้ชายคนถัดไป “อีกคนชื่อ วา คนโน้นชื่อ...”
เอ่อ...จำไม่ได้โว้ย!
---