ก่อนไปพบไอดินกับมุส เฮมิสฝากมาบอกว่า สัปดาห์หนังสือนี้ พบกับ Back from the Dead ได้ที่บูธ Fantasia นะคะ
ภาคสี่ บทที่ ๑
https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๐
https://pantip.com/topic/40193836
###
บทที่ ๑๑
กลางดึกสงัด วังเวง ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง
รอบหมู่บ้านมืดมิด แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ส่องให้เห็นรอบด้านนั้นมาจากดวงจันทร์เกือบเต็มดวงซึ่งลอยเด่นอยู่บนฟ้า
ผมนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าต้นไม้ที่เป็นบ้านของซา เจ้าตัวก็นั่งอยู่กับผมด้วย ส่วนคนอื่นๆ หายเข้าบ้านเงียบกริบ
ระหว่างตัวผมกับซามีอาหารวางอยู่สองจาน จานหนึ่งเป็นเนื้อสัตว์ส่งกลิ่นคาวจนน่าเวียนหัว ผมไม่ทราบว่าได้จากตัวอะไร มันถูกสับจนเละแล้วต้มสุก เหลือให้เห็นแต่ขาสี่ข้างซึ่งแต่ละข้างมีสามนิ้ว ประกอบด้วยเกล็ดแข็งและเล็บแหลม ส่วนอีกจานเป็นเห็ดประเภทหนึ่ง ต้มสุกแล้วและดูแหยะหยึ๋ยกว่าผักที่พวกเขาเคยให้ผมกินอีก
“เพื่อนใหม่ไม่ลองชิมหน่อยหรือ” ซาถามพลางยกจากเนื้อส่งให้ ผมต้องบังคับตัวเองไม่ให้สั่นศีรษะปฏิเสธเร็วเกินไป
“ฉันเพิ่งกินอาหารเม็ดไป อิ่มแล้วละ” ผมบอกแกมโกหก ถึงผมจะฉีดยาแก้แพ้และ ‘น่า’ จะกินอาหารพวกนี้ได้แล้ว แต่ผมก็ยังทำใจลองมันไม่ไหว
ซาไม่ได้คะยั้นคะยอ เขาวางจานลงแล้วใช้ช้อนที่ทำจากไม้ตักเนื้อเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไม่แตะจานเห็ดเลย “น่าแปลกนะ อยู่ดีๆ ก็มีคนที่ข้ามมิติได้เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ สายตามองขึ้นไปบนฟ้า พอผมไม่ได้ตอบอะไร เขาจึงหันมาทางผม “ท่านมุสเคยบอกเพื่อนใหม่หรือไม่ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ข้ามมิติได้”
“บอกสิ” ผมตอบพลางแอบถอนหายใจเบาๆ ...เขาบอกหลายครั้งเลยละ ก่อนที่จะรู้ว่าปราบแดนก็มาจากต่างมิติเหมือนกัน
“เราสงสัยเหลือเกิน คนที่จะข้ามมิติได้ต้องเป็นอย่างไรหรือ” เขาบอกพลางหันมองขึ้นไปบนฟ้าอีก “ต้องใช้พลังงานประเภทไหน แล้วเอามาจากไหนกัน”
ผมก็สงสัยเหมือนกัน
“ท่านทีทาบอกว่า หากท่านมุสรู้จักตัวเองกว่านี้ เราคงได้รู้กันว่าเขาข้ามมิติได้อย่างไร”
“หมายความว่ายังไง ที่ว่าเขาไม่รู้จักตัวเอง” คำพูดของเขาสะกิดใจผมอย่างบอกไม่ถูก
“เพื่อนใหม่ไม่รู้หรือ เขาไม่รู้ว่าพลังของตัวเองเป็นอย่างไร แค่ใช้ตามความเคยชิน”
“นายรู้ได้อย่างไรว่าเขาแค่ใช้พลังตามความเคยชิน”
“ท่านทีทาเคยถามน่ะสิ” ซาบอก “ท่านทีทาสงสัยว่าพลังของเขามาจากไหน เขาก็ไม่รู้ ถามว่าเวลาใช้ต้องทำยังไง เขาก็บอกไม่ได้ บอกได้แต่ว่าแค่ปล่อยออกไป พอถามว่าใครสอนให้เขาใช้พลัง หรือเขาค้นพบว่าตัวเองใช้พลังได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็บอกว่าจำไม่ได้ รู้แต่ว่าใช้ได้เท่านั้น”
“หมายความว่าความทรงจำของเขาหายไปอย่างนั้นหรือ”
ซาเอียงศีรษะอย่าครุ่นคิด “ไม่รู้สิ ก็คงเป็นไปได้กระมัง ท่านทีทาไม่ได้บอกเรื่องนี้”
ผมขมวดคิ้วด้วยความฉงน พอจำได้เลาๆ ว่ามุสเคยเล่าให้ฟัง เขาว่าท่านตาทีแนร์ ท่านตาของเขาพบเขาในป่าเมื่อห้าปีก่อน ทว่าก่อนหน้านั้นเขาเป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครพูดถึงเลย
“พวกนายรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามออกไป
ซานั่งนับนิ้ว “สัก...ปีหนึ่งได้กระมัง” (เอ่อ ปีเดียวแล้วจะนับนิ้วทำไม)
ผมผงกศีรษะ นึกสงสัยว่าจะมีใครรู้จักเขาเกินห้าปีบ้าง แล้วก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
ตอนนั้นเอง จานใส่เห็ดต้มที่วางอยู่ระหว่างผมกับซาพลันกระตุกคว่ำลง พวกเราสะดุ้ง หันมองหน้ากัน
“เราจะเข้าบ้านไปเอาของมาเก็บกวาด” เขาบอก แล้วก็ลุกเดินไปที่ต้นไม้ซึ่งเป็นบ้านของเขา ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเขาก็หันกลับมาทางผม ท่าทางเหมือนยังกังวล ผมจึงผงกศีรษะให้เขาคราหนึ่ง
พอเขาหายเข้าไปในบ้านแล้วผมก็ลุกขึ้นจากม้านั่ง เดินเรื่อยเปื่อยไปที่หน้าหมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันพ้นจากเขตหมู่บ้าน ผมก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นเบาๆ จากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หมุนตัวหันหลัง ทำทีเหมือนจะเดินกลับไปที่ม้านั่งตามเดิม ทันใดนั้นเงาร่างสีดำขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นทางด้านหลัง ขณะเดียวกันแสงสีฟ้าก็พลันสว่างเรืองขึ้นจากในพุ่มใบของต้นไม้เหนือศีรษะ แสงนั้นบีบเหลือเป็นลำเล็กแล้วพุ่งไปยังร่างสีดำ กระแทกข้อมือขวาที่กำลังยกชูขึ้นสูงจนแขนข้างนั้นเหวี่ยงไปทางด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงกริ๊กและเสียงตุบเบาๆ
คนชุดดำกุมข้อมือตัวเอง รีบหมุนกายกลับ ทำท่าจะพุ่งตัวหลบหนี แต่โคชานกลับร่อนลงมาขวางเขาไว้ พร้อมกับพุ่งลำแสงสีฟ้าเรืองใส่ร่างเขา ทำให้ตัวเขาหดเล็กลง จากนั้นตาข่ายปากหนึ่งก็หล่นลงมาคลุมร่างเขาไว้
“ได้ตัวแล้ว!” คนกระปุ๊กลุกคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ยึดไว้ อย่าให้หลุดไปได้!” ท่านทีทาร้องบอกคนอื่นๆ อีกสามคน ในขณะที่ตัวเองก็จับมุมตาข่ายข้างหนึ่งไว้ แล้วทั้งหมดก็วิ่งวนรอบตัวคนชุดดำให้ตาข่ายพันร่างเขาราวกับเป็นดักแด้ (อืม ผมได้คำเปรียบเปรยนี้มาจากซานั่นละ) “เอาตัวไปที่เรือนประดิษฐ์” ท่านทีทาออกคำสั่ง คนอื่นๆ ก็ยกคนชุดดำขึ้นเหนือศีรษะแล้วแบกไป
“เจ้าไม่ไปรึ” โคชานซึ่งเพิ่งเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุสถาม หลังจากที่เห็นผมยืนรีรออยู่
“นายไปก่อนเถอะ” ผมบอกง่ายๆ หมอนั่นก็ยักไหล่แล้วเดินตามพวกนั้นไป
พอคนพวกนั้นเดินห่างไปได้สักพัก ผมก็อาศัยแสงจันทร์ก้มมองหาตามพื้นดินโล่งๆ นั้น ไม่นานนักผมก็พบสิ่งที่ต้องการหา
ผมฉวยมันขึ้นมาจากพื้น ปัดๆ มันสองสามที แล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวตามคนพวกนั้นไป
---
“ปล่อยข้า! จับข้าไว้ทำไม ปล่อยข้า!” นาร์คูลดิ้นอาละวาดทั้งตัวถูกตาข่ายพันเป็นตัวหนอนอยู่อย่างนั้น
เขาถูกนำตัวมายังเรือนประดิษฐ์ ซึ่งอยู่ในโพรงต้นไม้เช่นกัน แต่ไม่ใหญ่เท่าเรือนรักษา และไม่ได้มีการแบ่งเป็นห้องยิบย่อยเหมือนในเรือนรักษาด้วย แต่ละห้องของเรือนประดิษฐ์นั้นกินพื้นที่ทั้งชั้นเลยทีเดียว
เรือนประดิษฐ์นั้นอยู่ในต้นไม้สูงจึงมีหลายชั้น และถึงจะมีลิฟต์ให้โดยสารขึ้นลงระหว่างชั้น แต่ก็มีเพียงแค่สองตัวและอยู่ด้านในสุดของโพรงต้นไม้ ลิฟต์ทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่กว่าลิฟต์โดยสารในเรือนรักษา เพราะต้องเอาไว้ขนวัสดุอุปรณ์ต่างๆ ด้วย
ลิฟต์โดยสารเปิดเมื่อมาถึงชั้นที่สามสิบสอง (ผมไม่แน่ใจว่าเรือนประดิษฐ์มีอยู่กี่ชั้นกันแน่) จากนั้นท่านทีทาก็สั่งให้ลูกน้องนำตัวนาร์คูลไปโยนไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ที่ชั้นสามสิบสองนั้นดูโล่งๆ มีลังไม้วางระเกะระกะอยู่เพียงไม่กี่ลัง ซาบอกผมในภายหลังว่าพวกเขากำลังเตรียมห้องไว้ประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารทางไกล จะได้ไม่ต้องขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าไปเมืองอื่นบ่อยๆ
“ทำไมเขาจึงพูดภาษาเราได้” ลูกน้องของท่านทีทาคนหนึ่งสงสัยขึ้นดังๆ
“เขาไม่ได้พูดภาษาเรา” ท่านทีทาบอก แล้วก้าวไปใกล้นาร์คูลที่กำลังแยกเขี้ยวขู่แฟ่อย่างดุร้าย เอียงตัวมองด้านซ้ายขวาของใบหน้าเขาแล้วชี้ไปที่หูข้างขวา “เขาใส่เครื่องแปลภาษาอยู่นี่ไง”
“เอ๊ะ! แล้วเขามีเครื่องแปลภาษาได้อย่างไร” ลูกน้องคนเดิมยังคงสงสัย จากนั้นทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ผม
“เอ่อ...ก็ตอนนั้นฉันต้องคุยกับเขา ก็เลยให้เครื่องแปลภาษาไป” ผมละล่ำละลักตอบ คนอื่นๆ จึงละสายตาจากผม
“มีเครื่องแปลภาษาก็ดี จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย” มุสว่า แล้วจึงก้าวอาดเข้าไปใกล้เชลยของเรา ทั้งยังจับศีรษะของเขาเอียงไปด้านหนึ่งอีกด้วย “นี่หรือ ปลอกคอที่เจ้าว่าน่ะ ไอดิน”
“ใช่” ผมตอบสั้นๆ แต่ในใจคิดว่ามันน่าจะเรียก ‘ห่วงคอ’ มากกว่า
มุสยื่นมือจับห่วงคอนั้นโดยไม่กลัวอีกฝ่ายงับ จากนั้นก็ออกแรงดึงเบาๆ ได้ยินเสียงเปรี๊ยะกับประกายสีดำที่ทำให้นาร์คูลต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ถอดไม่ได้จริงๆ ด้วย” มุสว่า พร้อมกับสะบัดมือป้อยๆ แต่เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ทั้งยังไม่ถูกดีดกระเด็นออกมาอีกด้วย
“นิสเซ่” ได้ยินนาร์คูลเอ่ย พลางจ้องเขม็งไปที่มุส
เพื่อนผมกวาดตาไปรอบๆ เห็นคนอื่นๆ มองเขาสลับกับสลับกับคนชุดดำ เขาจึงเข้าใจว่านาร์คูลพูดจึงตนเอง
“เจ้าว่าอะไรนะ” มุสหันกลับไปถามเชลย แต่นาร์คูลกับเอียงคอด้วยความฉงน
“เจ้าจำไม่ได้รึ” เขาถาม “ทำไมถึงจำไม่ได้เล่า”
“ข้าจะไปรู้เรอะว่าเจ้าพูดถึงอะไร” เสียงเพื่อนผมเริ่มดังขึ้นด้วยความรำคาญ (อันที่จริงผมคิดว่านาร์คูลก็พูดจาน่ารำคาญจริงๆ นั่นละ)
“แล้วจำโอลีนได้หรือไม่” เชลยของเราถามขึ้นอีก
“ไม่รู้จักโว้ย!” มุสตวาดแล้วเขกศีรษะฝ่ายตรงข้ามไปทีหนึ่ง แต่นาร์คูลก็ยังไม่ละความพยายาม
“โอลีนเป็นหัวหน้าอินูเว เจ้าไม่รู้จักรึ”
“ไม่รู้จัก!” มุสตวาดกลับไปอีก
“เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้าอย่างไรเล่า!”
ทุกอย่างหยุดนิ่งไป
ทุกคนตื่นตระหนกกับคำพูดนั้น อย่าว่าแต่มุส แม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างผมและท่านทีทายังนิ่งงันไป ...คนผู้นี้รู้จักมุส รู้จักผู้ให้กำเนิดมุส เขารู้ว่ามุสมาจากไหน
แต่โอลีนผู้นี้ คือคนที่ล่ามนาร์คูลไว้ด้วยห่วงคอนั่นไม่ใช่หรือ
“เจ้าบอกว่า...ผู้ให้กำเนิดข้า...ชื่อโอลีนอย่างนั้นหรือ”
“ใช่” นาร์คูตอบสั้นๆ
“และชื่อจริงของข้าคือ...”
“นิสเซ่”
###
พันมิติ ภาคสี่ (The Parallel Dimensions 4) บทที่ ๑๑
ภาคสี่ บทที่ ๑ https://pantip.com/topic/39982002
ภาคสี่ บทที่ ๑๐ https://pantip.com/topic/40193836
###
บทที่ ๑๑
กลางดึกสงัด วังเวง ไม่มีแม้แต่เสียงแมลง
รอบหมู่บ้านมืดมิด แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ส่องให้เห็นรอบด้านนั้นมาจากดวงจันทร์เกือบเต็มดวงซึ่งลอยเด่นอยู่บนฟ้า
ผมนั่งอยู่บนม้านั่งหน้าต้นไม้ที่เป็นบ้านของซา เจ้าตัวก็นั่งอยู่กับผมด้วย ส่วนคนอื่นๆ หายเข้าบ้านเงียบกริบ
ระหว่างตัวผมกับซามีอาหารวางอยู่สองจาน จานหนึ่งเป็นเนื้อสัตว์ส่งกลิ่นคาวจนน่าเวียนหัว ผมไม่ทราบว่าได้จากตัวอะไร มันถูกสับจนเละแล้วต้มสุก เหลือให้เห็นแต่ขาสี่ข้างซึ่งแต่ละข้างมีสามนิ้ว ประกอบด้วยเกล็ดแข็งและเล็บแหลม ส่วนอีกจานเป็นเห็ดประเภทหนึ่ง ต้มสุกแล้วและดูแหยะหยึ๋ยกว่าผักที่พวกเขาเคยให้ผมกินอีก
“เพื่อนใหม่ไม่ลองชิมหน่อยหรือ” ซาถามพลางยกจากเนื้อส่งให้ ผมต้องบังคับตัวเองไม่ให้สั่นศีรษะปฏิเสธเร็วเกินไป
“ฉันเพิ่งกินอาหารเม็ดไป อิ่มแล้วละ” ผมบอกแกมโกหก ถึงผมจะฉีดยาแก้แพ้และ ‘น่า’ จะกินอาหารพวกนี้ได้แล้ว แต่ผมก็ยังทำใจลองมันไม่ไหว
ซาไม่ได้คะยั้นคะยอ เขาวางจานลงแล้วใช้ช้อนที่ทำจากไม้ตักเนื้อเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไม่แตะจานเห็ดเลย “น่าแปลกนะ อยู่ดีๆ ก็มีคนที่ข้ามมิติได้เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง” เขาเอ่ยขึ้นลอยๆ สายตามองขึ้นไปบนฟ้า พอผมไม่ได้ตอบอะไร เขาจึงหันมาทางผม “ท่านมุสเคยบอกเพื่อนใหม่หรือไม่ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ข้ามมิติได้”
“บอกสิ” ผมตอบพลางแอบถอนหายใจเบาๆ ...เขาบอกหลายครั้งเลยละ ก่อนที่จะรู้ว่าปราบแดนก็มาจากต่างมิติเหมือนกัน
“เราสงสัยเหลือเกิน คนที่จะข้ามมิติได้ต้องเป็นอย่างไรหรือ” เขาบอกพลางหันมองขึ้นไปบนฟ้าอีก “ต้องใช้พลังงานประเภทไหน แล้วเอามาจากไหนกัน”
ผมก็สงสัยเหมือนกัน
“ท่านทีทาบอกว่า หากท่านมุสรู้จักตัวเองกว่านี้ เราคงได้รู้กันว่าเขาข้ามมิติได้อย่างไร”
“หมายความว่ายังไง ที่ว่าเขาไม่รู้จักตัวเอง” คำพูดของเขาสะกิดใจผมอย่างบอกไม่ถูก
“เพื่อนใหม่ไม่รู้หรือ เขาไม่รู้ว่าพลังของตัวเองเป็นอย่างไร แค่ใช้ตามความเคยชิน”
“นายรู้ได้อย่างไรว่าเขาแค่ใช้พลังตามความเคยชิน”
“ท่านทีทาเคยถามน่ะสิ” ซาบอก “ท่านทีทาสงสัยว่าพลังของเขามาจากไหน เขาก็ไม่รู้ ถามว่าเวลาใช้ต้องทำยังไง เขาก็บอกไม่ได้ บอกได้แต่ว่าแค่ปล่อยออกไป พอถามว่าใครสอนให้เขาใช้พลัง หรือเขาค้นพบว่าตัวเองใช้พลังได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาก็บอกว่าจำไม่ได้ รู้แต่ว่าใช้ได้เท่านั้น”
“หมายความว่าความทรงจำของเขาหายไปอย่างนั้นหรือ”
ซาเอียงศีรษะอย่าครุ่นคิด “ไม่รู้สิ ก็คงเป็นไปได้กระมัง ท่านทีทาไม่ได้บอกเรื่องนี้”
ผมขมวดคิ้วด้วยความฉงน พอจำได้เลาๆ ว่ามุสเคยเล่าให้ฟัง เขาว่าท่านตาทีแนร์ ท่านตาของเขาพบเขาในป่าเมื่อห้าปีก่อน ทว่าก่อนหน้านั้นเขาเป็นใครมาจากไหน ไม่มีใครพูดถึงเลย
“พวกนายรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามออกไป
ซานั่งนับนิ้ว “สัก...ปีหนึ่งได้กระมัง” (เอ่อ ปีเดียวแล้วจะนับนิ้วทำไม)
ผมผงกศีรษะ นึกสงสัยว่าจะมีใครรู้จักเขาเกินห้าปีบ้าง แล้วก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
ตอนนั้นเอง จานใส่เห็ดต้มที่วางอยู่ระหว่างผมกับซาพลันกระตุกคว่ำลง พวกเราสะดุ้ง หันมองหน้ากัน
“เราจะเข้าบ้านไปเอาของมาเก็บกวาด” เขาบอก แล้วก็ลุกเดินไปที่ต้นไม้ซึ่งเป็นบ้านของเขา ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดเขาก็หันกลับมาทางผม ท่าทางเหมือนยังกังวล ผมจึงผงกศีรษะให้เขาคราหนึ่ง
พอเขาหายเข้าไปในบ้านแล้วผมก็ลุกขึ้นจากม้านั่ง เดินเรื่อยเปื่อยไปที่หน้าหมู่บ้าน แต่ยังไม่ทันพ้นจากเขตหมู่บ้าน ผมก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นเบาๆ จากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หมุนตัวหันหลัง ทำทีเหมือนจะเดินกลับไปที่ม้านั่งตามเดิม ทันใดนั้นเงาร่างสีดำขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นทางด้านหลัง ขณะเดียวกันแสงสีฟ้าก็พลันสว่างเรืองขึ้นจากในพุ่มใบของต้นไม้เหนือศีรษะ แสงนั้นบีบเหลือเป็นลำเล็กแล้วพุ่งไปยังร่างสีดำ กระแทกข้อมือขวาที่กำลังยกชูขึ้นสูงจนแขนข้างนั้นเหวี่ยงไปทางด้านหลัง ก่อนจะได้ยินเสียงกริ๊กและเสียงตุบเบาๆ
คนชุดดำกุมข้อมือตัวเอง รีบหมุนกายกลับ ทำท่าจะพุ่งตัวหลบหนี แต่โคชานกลับร่อนลงมาขวางเขาไว้ พร้อมกับพุ่งลำแสงสีฟ้าเรืองใส่ร่างเขา ทำให้ตัวเขาหดเล็กลง จากนั้นตาข่ายปากหนึ่งก็หล่นลงมาคลุมร่างเขาไว้
“ได้ตัวแล้ว!” คนกระปุ๊กลุกคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ยึดไว้ อย่าให้หลุดไปได้!” ท่านทีทาร้องบอกคนอื่นๆ อีกสามคน ในขณะที่ตัวเองก็จับมุมตาข่ายข้างหนึ่งไว้ แล้วทั้งหมดก็วิ่งวนรอบตัวคนชุดดำให้ตาข่ายพันร่างเขาราวกับเป็นดักแด้ (อืม ผมได้คำเปรียบเปรยนี้มาจากซานั่นละ) “เอาตัวไปที่เรือนประดิษฐ์” ท่านทีทาออกคำสั่ง คนอื่นๆ ก็ยกคนชุดดำขึ้นเหนือศีรษะแล้วแบกไป
“เจ้าไม่ไปรึ” โคชานซึ่งเพิ่งเปลี่ยนร่างกลับเป็นมุสถาม หลังจากที่เห็นผมยืนรีรออยู่
“นายไปก่อนเถอะ” ผมบอกง่ายๆ หมอนั่นก็ยักไหล่แล้วเดินตามพวกนั้นไป
พอคนพวกนั้นเดินห่างไปได้สักพัก ผมก็อาศัยแสงจันทร์ก้มมองหาตามพื้นดินโล่งๆ นั้น ไม่นานนักผมก็พบสิ่งที่ต้องการหา
ผมฉวยมันขึ้นมาจากพื้น ปัดๆ มันสองสามที แล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะก้าวตามคนพวกนั้นไป
---
“ปล่อยข้า! จับข้าไว้ทำไม ปล่อยข้า!” นาร์คูลดิ้นอาละวาดทั้งตัวถูกตาข่ายพันเป็นตัวหนอนอยู่อย่างนั้น
เขาถูกนำตัวมายังเรือนประดิษฐ์ ซึ่งอยู่ในโพรงต้นไม้เช่นกัน แต่ไม่ใหญ่เท่าเรือนรักษา และไม่ได้มีการแบ่งเป็นห้องยิบย่อยเหมือนในเรือนรักษาด้วย แต่ละห้องของเรือนประดิษฐ์นั้นกินพื้นที่ทั้งชั้นเลยทีเดียว
เรือนประดิษฐ์นั้นอยู่ในต้นไม้สูงจึงมีหลายชั้น และถึงจะมีลิฟต์ให้โดยสารขึ้นลงระหว่างชั้น แต่ก็มีเพียงแค่สองตัวและอยู่ด้านในสุดของโพรงต้นไม้ ลิฟต์ทั้งสองตัวมีขนาดใหญ่กว่าลิฟต์โดยสารในเรือนรักษา เพราะต้องเอาไว้ขนวัสดุอุปรณ์ต่างๆ ด้วย
ลิฟต์โดยสารเปิดเมื่อมาถึงชั้นที่สามสิบสอง (ผมไม่แน่ใจว่าเรือนประดิษฐ์มีอยู่กี่ชั้นกันแน่) จากนั้นท่านทีทาก็สั่งให้ลูกน้องนำตัวนาร์คูลไปโยนไว้ที่มุมห้องด้านหนึ่ง ที่ชั้นสามสิบสองนั้นดูโล่งๆ มีลังไม้วางระเกะระกะอยู่เพียงไม่กี่ลัง ซาบอกผมในภายหลังว่าพวกเขากำลังเตรียมห้องไว้ประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารทางไกล จะได้ไม่ต้องขี่ยักษ์ใหญ่เหินฟ้าไปเมืองอื่นบ่อยๆ
“ทำไมเขาจึงพูดภาษาเราได้” ลูกน้องของท่านทีทาคนหนึ่งสงสัยขึ้นดังๆ
“เขาไม่ได้พูดภาษาเรา” ท่านทีทาบอก แล้วก้าวไปใกล้นาร์คูลที่กำลังแยกเขี้ยวขู่แฟ่อย่างดุร้าย เอียงตัวมองด้านซ้ายขวาของใบหน้าเขาแล้วชี้ไปที่หูข้างขวา “เขาใส่เครื่องแปลภาษาอยู่นี่ไง”
“เอ๊ะ! แล้วเขามีเครื่องแปลภาษาได้อย่างไร” ลูกน้องคนเดิมยังคงสงสัย จากนั้นทุกสายตาก็จับจ้องมาที่ผม
“เอ่อ...ก็ตอนนั้นฉันต้องคุยกับเขา ก็เลยให้เครื่องแปลภาษาไป” ผมละล่ำละลักตอบ คนอื่นๆ จึงละสายตาจากผม
“มีเครื่องแปลภาษาก็ดี จะได้คุยกันรู้เรื่องหน่อย” มุสว่า แล้วจึงก้าวอาดเข้าไปใกล้เชลยของเรา ทั้งยังจับศีรษะของเขาเอียงไปด้านหนึ่งอีกด้วย “นี่หรือ ปลอกคอที่เจ้าว่าน่ะ ไอดิน”
“ใช่” ผมตอบสั้นๆ แต่ในใจคิดว่ามันน่าจะเรียก ‘ห่วงคอ’ มากกว่า
มุสยื่นมือจับห่วงคอนั้นโดยไม่กลัวอีกฝ่ายงับ จากนั้นก็ออกแรงดึงเบาๆ ได้ยินเสียงเปรี๊ยะกับประกายสีดำที่ทำให้นาร์คูลต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ถอดไม่ได้จริงๆ ด้วย” มุสว่า พร้อมกับสะบัดมือป้อยๆ แต่เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร ทั้งยังไม่ถูกดีดกระเด็นออกมาอีกด้วย
“นิสเซ่” ได้ยินนาร์คูลเอ่ย พลางจ้องเขม็งไปที่มุส
เพื่อนผมกวาดตาไปรอบๆ เห็นคนอื่นๆ มองเขาสลับกับสลับกับคนชุดดำ เขาจึงเข้าใจว่านาร์คูลพูดจึงตนเอง
“เจ้าว่าอะไรนะ” มุสหันกลับไปถามเชลย แต่นาร์คูลกับเอียงคอด้วยความฉงน
“เจ้าจำไม่ได้รึ” เขาถาม “ทำไมถึงจำไม่ได้เล่า”
“ข้าจะไปรู้เรอะว่าเจ้าพูดถึงอะไร” เสียงเพื่อนผมเริ่มดังขึ้นด้วยความรำคาญ (อันที่จริงผมคิดว่านาร์คูลก็พูดจาน่ารำคาญจริงๆ นั่นละ)
“แล้วจำโอลีนได้หรือไม่” เชลยของเราถามขึ้นอีก
“ไม่รู้จักโว้ย!” มุสตวาดแล้วเขกศีรษะฝ่ายตรงข้ามไปทีหนึ่ง แต่นาร์คูลก็ยังไม่ละความพยายาม
“โอลีนเป็นหัวหน้าอินูเว เจ้าไม่รู้จักรึ”
“ไม่รู้จัก!” มุสตวาดกลับไปอีก
“เขาเป็นผู้ให้กำเนิดเจ้าอย่างไรเล่า!”
ทุกอย่างหยุดนิ่งไป
ทุกคนตื่นตระหนกกับคำพูดนั้น อย่าว่าแต่มุส แม้แต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างผมและท่านทีทายังนิ่งงันไป ...คนผู้นี้รู้จักมุส รู้จักผู้ให้กำเนิดมุส เขารู้ว่ามุสมาจากไหน
แต่โอลีนผู้นี้ คือคนที่ล่ามนาร์คูลไว้ด้วยห่วงคอนั่นไม่ใช่หรือ
“เจ้าบอกว่า...ผู้ให้กำเนิดข้า...ชื่อโอลีนอย่างนั้นหรือ”
“ใช่” นาร์คูตอบสั้นๆ
“และชื่อจริงของข้าคือ...”
“นิสเซ่”
###